Un

UN เผย เฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา

UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา ทำเสียหายหนักสูงถึง 30% ของ GDP

เจ้าหน้าที่จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เปิดเผยว่า พายุเฮอริเคนเมลิสซา (Melissa) ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศจาเมกาเทียบเท่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

คิชาน โคเดย์ ผู้แทนของ UNDP ประจำบาฮามาส เบลีซ เบอร์มิวดา หมู่เกาะเคย์แมน จาเมกา หมู่เกาะเติกส์และเคคอส เปิดเผยในระหว่างการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอเมื่อวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) ว่า “จากการประเมินเบื้องต้นพบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเทียบเท่ากับ 30% ของ GDP ของจาเมกา และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวน่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก”

UNDP ประเมินว่า มีซากปรักหักพังเกือบ 5 ล้านเมตริกตันทั่วทั้งภาคตะวันตกของจาเมกา หลังพายุเฮอริเคนระดับ 5 พัดถล่มและสร้างความเสียหายอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกเลขาธิการ UN กล่าวว่า ทางการจาเมกายืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว 32 ราย และมีประชาชนราว 1.5 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนดังกล่าว

ฮักกล่าวเสริมว่า เพื่อสนับสนุนความพยายามในการรับมือและฟื้นฟู UNDP ได้จัดสรรเงินทุนเบื้องต้น 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการประเมินเบื้องต้นและให้การสนับสนุนในระยะแรกแก่พันธมิตรระดับชาติ ขณะที่โครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (WFP) กำลังจัดส่งอาหารทางอากาศจากบาร์เบโดส เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนกว่า 6,000 ครัวเรือนเป็นระยะเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจาก UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศเล็กๆ ที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเฮอริเคน “เมลิสซา”

ความเสียหายที่คิดเป็น 30% ของ GDP นั้นเป็นตัวเลขที่สูงมาก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของจาเมกา การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตดังเดิม จะต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรจำนวนมาก

นอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อม เช่น การท่องเที่ยวที่ลดลง การผลิตทางการเกษตรที่เสียหาย และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอีกด้วย การที่ UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา สร้างความเสียหายมากขนาดนี้ ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศ

การช่วยเหลือจากนานาชาติ เช่น การสนับสนุนจาก UNDP และ WFP เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและการฟื้นฟูประเทศ แต่ในระยะยาว จาเมกาจะต้องสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ

  • การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้า
  • การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อสภาพอากาศ
  • การพัฒนาแผนการอพยพและการช่วยเหลือประชาชน

สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการที่สำคัญในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต

การที่ UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปกป้องโลกของเราจากภัยพิบัติ

ที่มา – UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา ทำเสียหายหนักสูงถึง 30% ของ GDP

UN เผย เฮอริเคนเมลิสซา คร่า 30 ชีวิต

โฆษกองค์การสหประชาชาติ (UN) แถลงว่า เฮอริเคน “เมลิสซา” คร่า 30 ชีวิตในเฮติ และส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 1.5 ล้านคนในจาเมกา ข่าวเศร้าครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับทั้งสองประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกเลขาธิการ UN กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันว่า โครงสร้างพื้นฐานในจาเมกาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ถนนถูกปิดกั้นกว่า 130 สาย และเครือข่ายไฟฟ้าและการสื่อสารหยุดชะงัก ส่วนบริการด้านสุขภาพเผชิญกับภาวะตึงเครียดอย่างหนัก เนื่องจากโรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่งได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ส่งผลให้ต้องมีการจัดส่งทีมแพทย์ฉุกเฉินจากองค์การอนามัยทวีปอเมริกา (Pan American Health Organization – PAHO)

โครงการอาหารโลก (WFP) ประเมินว่า ประชาชนในจาเมกาอาจต้องการความช่วยเหลือด้านอาหารสูงถึง 360,000 คน ขณะที่ทีมประเมินและประสานงานภัยพิบัติของ UN กำลังประสานงานทีมช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ที่กำลังจะมาถึง เพื่อสนับสนุนรัฐบาลจาเมกา

ในส่วนของเฮติ ฮักกล่าวว่า UN และพันธมิตรยังคงเดินหน้าประเมินความเสียหายที่เกิดจากเฮอริเคน “เมลิสซา” คร่า 30 ชีวิตในเฮติ และกำลังยกระดับความพยายามในการเข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

ด้านองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า มีพืชผล เช่น ถั่ว ข้าวโพด และผลไม้ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานการประมงได้รับความเสียหาย ซึ่งคาดว่าจะยิ่งซ้ำเติมภาวะความหิวโหยในประเทศที่ประชากรครึ่งหนึ่งประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารอยู่แล้ว

เอเตียน ลาบานเด ผู้อำนวยการ WFP ประจำคิวบา ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวผ่านวิดีโอลิงก์ว่า พายุเฮอริเคนได้ทิ้งร่องรอยน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง ไฟฟ้าดับ และความเสียหายอย่างหนัก โดยมีพืชผลเสียหายและอาคารหลายแห่งทางตะวันออกของคิวบาถูกทำลายบางส่วนหรือทั้งหมด

ลาบานเดกล่าวว่า การตอบสนองต่อพายุเฮอริเคนครั้งนี้มีปัจจัยช่วยอย่างหนึ่งคือกรอบการทำงานเชิงรุกที่คิวบานำมาใช้ ควบคู่กับการจัดสรรงบประมาณที่ UN อนุมัติล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้หน่วยงานของ UN เตรียมเสบียงสำคัญล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยงก่อนที่พายุเฮอริเคนจะขึ้นฝั่งได้

UN เผย เฮอริเคน “เมลิสซา” คร่า 30 ชีวิตในเฮติ, จาเมกาได้รับผลกระทบกว่า 1.5 ล้านคน

สถานการณ์ในเฮติและจาเมกายังคงน่าเป็นห่วง ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายทางกายภาพที่ขัดขวางความพยายามในการช่วยเหลือ องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานพันธมิตรกำลังทำงานแข่งกับเวลาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ผลกระทบจากเฮอริเคน “เมลิสซา” คร่า 30 ชีวิตในเฮติ และความช่วยเหลือจากนานาชาติ

สถานการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศเหล่านี้ต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว การสนับสนุนจากนานาชาติเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยให้เฮติและจาเมกาสามารถฟื้นตัวจากความเสียหายครั้งใหญ่นี้

ผลกระทบจากเฮอริเคน “เมลิสซา” คร่า 30 ชีวิตในเฮติ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสูญเสียชีวิตและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและการดำรงชีวิตของประชาชนในระยะยาว การฟื้นฟูเศรษฐกิจและการสนับสนุนเกษตรกรจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

ด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้น เราหวังว่านานาชาติจะร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่เฮติและจาเมกา เพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้น

ที่มา – UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” คร่า 30 ชีวิตในเฮติ, จาเมกาได้รับผลกระทบกว่า 1.5 ล้านคน

สหรัฐฯ จ่อเสนอ UN คว่ำบาตรเรือ เอี่ยวส่งออกสินค้าเกาหลีเหนือ

สหรัฐอเมริกาเตรียมยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติ (UN) เพื่อขอให้มีการคว่ำบาตรเรือ 7 ลำที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าจากเกาหลีเหนือ นี่คือประเด็นร้อนที่กำลังจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในเวทีโลก

เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ มีแผนที่จะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อขอให้มีการคว่ำบาตรเรือ 7 ลำ เอี่ยวส่งออกสินค้าเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหลังจากมีการส่งสัญญาณมานานหลายเดือน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเหตุใดจึงเลือกช่วงเวลานี้ในการดำเนินการ

ตามข้อมูลที่สหรัฐฯ เปิดเผย เรือทั้ง 7 ลำนี้ถูกกล่าวหาว่าลักลอบส่งออกถ่านหินและแร่เหล็กจากเกาหลีเหนือไปยังประเทศจีน ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดยมีมูลค่าระหว่าง 200 ถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของ UNSC ที่มีเป้าหมายเพื่อห้ามการส่งออกสินค้าจากเกาหลีเหนือ เช่น ถ่านหิน แร่เหล็ก ตะกั่ว สิ่งทอ และอาหารทะเล รวมถึงการจำกัดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น

สหรัฐฯ ต้องการ คว่ำบาตรเรือ 7 ลำ เอี่ยวส่งออกสินค้าเกาหลีเหนือ

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า การเสนอชื่อเรือเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของขั้นตอนทางราชการ แต่เป็นเรื่องของการสร้างความรับผิดชอบต่อการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของ UN และการหยุดยั้งการส่งออกที่นำไปสู่การระดมทุนโดยตรงให้กับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของคณะกรรมการคว่ำบาตรฯ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ จะต้องเป็นไปตามหลักฉันทามติ ทำให้ยังไม่แน่ชัดว่ารัสเซียและจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเกาหลีเหนือ จะเห็นชอบกับข้อเสนอนี้หรือไม่ ตัวแทนถาวรของรัสเซียและจีนประจำ UN ในนิวยอร์กยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ ในขณะนี้

เกาหลีเหนือเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจาก UN มาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศ แม้ว่ามาตรการเหล่านี้จะได้รับการยกระดับความเข้มงวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่คณะมนตรีฯ กำลังเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากจีนและรัสเซียพยายามผลักดันให้มีการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร เพื่อจูงใจให้เกาหลีเหนือกลับสู่โต๊ะเจรจาเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง

ทำไมต้อง คว่ำบาตรเรือ 7 ลำ เอี่ยวส่งออกสินค้าเกาหลีเหนือ

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ย้ำว่า หากไม่มีการลงโทษสำหรับการละเมิด มาตรการคว่ำบาตรก็จะไม่มีความหมาย และภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น โครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศ และความท้าทายในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค การที่สหรัฐฯ เสนอให้คว่ำบาตรเรือ 7 ลำ เอี่ยวส่งออกสินค้าเกาหลีเหนือ เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในการพยายามควบคุมสถานการณ์ แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป

การตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในเรื่องนี้ จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเกาหลีเหนือ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การจับตาดูท่าทีของจีนและรัสเซียจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของมาตรการคว่ำบาตรนี้

ในขณะที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ความพยายามในการควบคุมโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข และการตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเรือ 7 ลำนี้ จะเป็นตัวชี้วัดถึงความมุ่งมั่นของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหานี้

ที่มา – สหรัฐฯ เตรียมเสนอ UN คว่ำบาตรเรือ 7 ลำ เอี่ยวส่งออกสินค้าเกาหลีเหนือ

UN ช่วยกาซา! ยกระดับหลังหยุดยิง

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ประกาศความพร้อมของ UN ในการยกระดับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวกาซา หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงครั้งล่าสุด สถานการณ์ในกาซายังคงน่ากังวลและ UN เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

UN พร้อมยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

กูเตอร์เรสกล่าวว่า “สหประชาชาติจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เราและองค์กรพันธมิตรพร้อมปฏิบัติการทันที เรามีความพร้อมทั้งด้านความเชี่ยวชาญ เครือข่ายการกระจายความช่วยเหลือ และความสัมพันธ์ในระดับชุมชน” เขายังเน้นย้ำว่าสิ่งของบรรเทาทุกข์ได้รับการจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว และทีมงานของ UN อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมสำหรับการขยายความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำ เวชภัณฑ์ และที่พักพิงได้ในทันที

อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ UN เน้นย้ำว่าการหยุดยิงเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงได้ “เราต้องการการเข้าถึงอย่างเต็มรูปแบบ ปลอดภัย และต่อเนื่องสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม การขจัดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนและอุปสรรคต่าง ๆ และการบูรณะโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายยับเยินขึ้นมาใหม่” เขากล่าว นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐสมาชิกของ UN สนับสนุนปฏิบัติการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วยเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการอันมหาศาลของประชาชนในกาซา

กูเตอร์เรสชี้ว่า ข้อตกลงหยุดยิงเปรียบเสมือนประกายแสงแห่งความหวังสำหรับทั้งชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ และเขาหวังว่าประกายแสงนี้จะนำไปสู่รุ่งอรุณแห่งสันติภาพและการสิ้นสุดของความขัดแย้งที่ยาวนาน

UN เรียกร้องทุกฝ่ายใช้โอกาสสร้างสันติภาพ

กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้โอกาสนี้ในการสร้างเส้นทางทางการเมืองที่น่าเชื่อถือไปสู่การยุติการยึดครอง การรับรองสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวปาเลสไตน์ และการบรรลุทางออกแบบสองรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพที่ยุติธรรมและยั่งยืนระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ตลอดจนสันติภาพและความมั่นคงในวงกว้างยิ่งขึ้นในตะวันออกกลาง

เขายังแสดงความยินดีกับการประกาศข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาและการปล่อยตัวประกัน พร้อมทั้งชื่นชมความพยายามทางการทูตของสหรัฐฯ กาตาร์ อียิปต์ และตุรกี ในการเป็นตัวกลางในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าครั้งนี้

กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และเปิดรับโอกาสต่างๆ ที่มาพร้อมกับข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ UN สามารถยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนในพื้นที่

สถานการณ์ในกาซายังคงเปราะบางและต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากนานาชาติ การที่ UN ยืนยันถึงความพร้อมในการ ยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

ในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงและการสร้างอนาคตที่มั่นคงสำหรับชาวกาซาต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามร่วมกันในระยะยาวจากทุกภาคส่วน

ที่มา – UN ยืนยัน พร้อมยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อี แจ-มยอง เผย! เกาหลีเหนือใกล้ผลิตนิวเคลียร์ ICBM

อี แจ-มยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีเหนือกำลังอยู่ในขั้นสุดท้ายของการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ได้

ปธน.อีให้คำมั่นว่าจะลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือลงเพื่อดึงดูดการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ระหว่างการเดินทางเยือนนิวยอร์ก เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่เป็นเจ้าภาพจัดการเสวนานักลงทุนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

ปธน.อีกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเพื่อเจรจากับสหรัฐฯ หรือเพื่อการปกครองของตัวเองก็ตาม พวกเขายังคงเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปที่สามารถยิงถึงสหรัฐฯ ได้ และสามารถบรรจุระเบิดนิวเคลียร์มาถล่มสหรัฐฯ ได้ แต่ถึงจะดูเหมือนว่าพวกเขายังทำไม่สำเร็จ แต่ก็ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ขาดแต่เพียงเทคโนโลยีสำหรับการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเท่านั้น ซึ่งนั่นก็น่าจะได้รับการแก้ไขในเร็ว ๆ นี้”

ปีที่แล้วเกาหลีเหนือได้ยิง ฮวาซอง-19 (Hwasong-19) ขีปนาวุธ ICBM ลูกใหญ่ที่สุดพุ่งขึ้นไปในอวกาศ โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ขีปนาวุธดังกล่าวมีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายในสหรัฐฯ แม้ว่าความสามารถของเกาหลีเหนือในการนำวิถีขีปนาวุธและป้องกันหัวรบนิวเคลียร์ขณะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจะยังคงเป็นที่กังขาก็ตาม

ปธน.อีย้ำว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเป็นคู่เจรจากับเกาหลีเหนือได้ โดยทรัมป์กล่าวในเดือนส.ค.ว่าต้องการพบกับคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดภายในปีนี้ ซึ่งคิม จองอึน ก็ยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจากับสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ หยุดยืนกรานให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์

ทั้งนี้ ปธน.อี ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำเกาหลีใต้เมื่อเดือนมิ.ย. ได้พยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ และเสนอให้มีการเจรจาระหว่างสองชาติเกาหลีขึ้น แต่เกาหลีเหนือปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

ปธน.อีเสริมว่า เกาหลีเหนือดูเหมือนจะมีอาวุธนิวเคลียร์เพียงพอที่จะค้ำจุนระบอบการปกครองของตนเองแล้ว และได้เรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อหยุดยั้งการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มเติม ซึ่งอาจถูกนำไปขายให้กับต่างประเทศได้ ตลอดจนชักชวนให้ลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในระยะกลางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคต สิ่งที่ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง กังวลคือการที่อาวุธเหล่านี้จะถูกส่งออกไปขายให้กับกลุ่มก่อการร้ายซึ่งจะส่งผลเสียต่อสันติภาพโลก

อี แจ-มยอง เผย เกาหลีเหนือใกล้ผลิตนิวเคลียร์ ICBM สำเร็จแล้ว

สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังคงเป็นที่น่าจับตามอง การที่ อี แจ-มยอง ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและหาทางออกทางการทูตเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาคและโลก และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

สำหรับนักวิเคราะห์แล้ว ข้อมูลที่ อี แจ-มยอง เปิดเผยนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนัก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าเกาหลีเหนือพยายามพัฒนาขีดความสามารถทางทหารของตนเองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การยืนยันอย่างเป็นทางการจากผู้นำเกาหลีใต้ ย่อมส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการดำเนินมาตรการป้องกันและทางการทูตที่เข้มข้นยิ่งขึ้น

การที่เกาหลีเหนือใกล้ที่จะประสบความสำเร็จในการพัฒนา ICBM ที่สามารถยิงไปถึงสหรัฐฯ ได้สำเร็จนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการเร่งแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี การเจรจาและการทูตยังคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการลดความตึงเครียดและป้องกันความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่หายนะ การที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันหน้าเข้าหากันและหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจังเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้

ที่มา – “อี แจ-มยอง” เผย เกาหลีเหนือใกล้ผลิตนิวเคลียร์ ICBM ที่ยิงไกลถึงสหรัฐฯ สำเร็จแล้ว

UN ชี้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

คณะกรรมการไต่สวนของสหประชาชาติ (UN) ได้ข้อสรุปว่า อิสราเอลได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอล รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เป็นผู้ยุยงให้เกิดการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิสราเอลตอบโต้ว่าน่าอัปยศ

รายงานของ UN อ้างถึงขอบเขตการสังหาร การปิดกั้นความช่วยเหลือ การบังคับพลัดถิ่น และการทำลายคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก เพื่อสนับสนุนข้อสรุปเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของกลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรอื่น ๆ

“การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซากำลังเกิดขึ้น” นาวี พิลเลย์ ประธานคณะกรรมการไต่สวนดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และอดีตผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศ กล่าว “ความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมอันโหดร้ายเหล่านี้ตกอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของอิสราเอล ผู้บงการปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาเกือบสองปี ด้วยเจตนาที่จะทำลายล้างกลุ่มชาวปาเลสไตน์ในกาซาโดยเฉพาะ”

คณะกรรมการชุดนี้เป็นองค์กรอิสระและไม่ได้เป็นท่าทีอย่างเป็นทางการของ UN โดยปัจจุบัน UN ยังไม่ได้ใช้คำว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่กำลังเผชิญแรงกดดันให้ใช้คำดังกล่าวเพิ่มขึ้น

ด้านแดเนียล เมรอน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำ UN ณ นครเจนีวา เรียกรายงานฉบับนี้ว่า “น่าอัปยศ” และ “ปลอม” โดยกล่าวหาว่าจัดทำขึ้นโดย “ตัวแทนของกลุ่มฮามาส”

“อิสราเอลขอปฏิเสธรายงานที่ใส่ร้ายป้ายสีฉบับนี้อย่างสิ้นเชิง” เมรอนกล่าวกับผู้สื่อข่าว

อิสราเอลกล่าวหาคณะกรรมการชุดนี้ว่ามีวาระทางการเมืองต่อต้านตนและทำงานนอกเหนืออำนาจหน้าที่ จึงปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ พบว่าอิสราเอลได้กระทำตามองค์ประกอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้ว 4 ข้อ ได้แก่ การฆ่า การก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายหรือจิตใจ การจงใจสร้างสภาวะความเป็นอยู่ที่มุ่งทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดหรือบางส่วน และการใช้มาตรการเพื่อยับยั้งการเกิด

คณะกรรมการฯ อ้างหลักฐานจากการสัมภาษณ์ผู้เสียหาย พยาน แพทย์ รวมถึงเอกสารจากข้อมูลเปิด (open-source) ที่ผ่านการตรวจสอบ และการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมที่รวบรวมมาตั้งแต่สงครามเริ่มต้น

คณะกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่า ถ้อยแถลงของเนทันยาฮูและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เป็น “หลักฐานโดยตรงที่บ่งชี้เจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” โดยอ้างถึงจดหมายที่เขาเขียนถึงทหารอิสราเอลในเดือนพ.ย. 2566 ซึ่งเปรียบเทียบปฏิบัติการในกาซากับสิ่งที่คณะกรรมการเรียกว่า “สงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อการทำลายล้างอย่างสิ้นซาก” ในพระคัมภีร์ฮีบรู

ทั้งนี้ รายงานยังระบุชื่อประธานาธิบดีไอแซค เฮอร์ซอก และอดีตรัฐมนตรีกลาโหมโยอาฟ กัลแลนต์ ของอิสราเอลด้วย

UN ชี้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

รายงานฉบับนี้เป็นผลมาจากการไต่สวนอย่างละเอียด โดยคณะกรรมการได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เพื่อสนับสนุนข้อสรุปที่ว่าอิสราเอลได้กระทำการที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

ความรุนแรงและการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในกาซาเป็นสิ่งที่น่าสลดใจ การพิจารณาข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเช่นนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

การที่คณะกรรมการ UN ออกมาเปิดเผยผลการไต่สวนในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศ และอาจนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายในอนาคต

  • การตอบสนองของนานาชาติต่อรายงานฉบับนี้จะเป็นอย่างไร
  • ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอิสราเอล
  • ความเป็นไปได้ในการดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ

สถานการณ์ในกาซายังคงมีความซับซ้อนและเปราะบาง การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

การตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ยุติธรรมและยั่งยืน

ที่มา – คกก.ไต่สวน UN ชี้ อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา โดยมีเนทันยาฮู-จนท.ระดับสูงยุยง

UN รับทราบ! อิหร่านบรรลุข้อตกลง IAEA ตรวจสอบนิวเคลียร์

สหประชาชาติ (UN) ขานรับข่าวดี! อิหร่านบรรลุข้อตกลงกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เปิดทางให้กลับมาตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ได้อีกครั้ง สร้างความหวังในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของโครงการนิวเคลียร์

UN ขานรับอิหร่านบรรลุข้อตกลง IAEA เปิดทางตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์

สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกเลขาธิการ UN กล่าวว่า UN ยินดีอย่างยิ่งที่อิหร่านและ IAEA สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติสำหรับการกลับมาตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่านอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญในการกลับมาร่วมมือกันอย่างเต็มที่ตามข้อตกลงการป้องกันที่ครอบคลุมของอิหร่าน และUN คาดหวังว่าข้อตกลงนี้จะถูกนำไปปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

เลขาธิการ UN ยังเน้นย้ำว่า ความร่วมมืออย่างเต็มรูปแบบของอิหร่านกับ IAEA มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายระยะยาวที่สามารถรับประกันได้ว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านจะดำเนินไปอย่างสันติเท่านั้น

ซัยยิด อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวว่า อิหร่านและ IAEA ได้ลงนามในข้อตกลงเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยกระดับความร่วมมือในลักษณะที่เคารพอธิปไตยของอิหร่านและปกป้องความปลอดภัยของประชาชนชาวอิหร่าน พร้อมทั้งยืนยันว่าอิหร่านจะไม่ประนีประนอมกับนโยบายหรือสิทธิด้านนิวเคลียร์ของตน

สถานการณ์ก่อนหน้านี้ อิหร่านได้ระงับความร่วมมือกับ IAEA หลังจากที่อิสราเอลและสหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ล่าสุดนี้ การที่ UN ขานรับอิหร่านบรรลุข้อตกลง IAEA เปิดทางตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ ถือเป็นสัญญาณที่ดี

ทำไมการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์อิหร่านถึงสำคัญ?

การตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านโดย IAEA มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยให้ประชาคมโลกมีความมั่นใจว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นไปเพื่อสันติ และไม่ได้มีเป้าหมายในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดและความขัดแย้งในภูมิภาค

  • สร้างความโปร่งใส: การตรวจสอบช่วยให้มั่นใจได้ว่าอิหร่านปฏิบัติตามข้อตกลงและกฎระเบียบระหว่างประเทศ
  • ป้องกันการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์: การตรวจสอบอย่างเข้มงวดช่วยป้องกันการเบี่ยงเบนโครงการนิวเคลียร์ไปสู่การพัฒนาอาวุธ
  • สร้างความมั่นใจ: ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมีความปลอดภัยและสันติ

การที่ UN ขานรับอิหร่านบรรลุข้อตกลง IAEA เปิดทางตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ นี้ เป็นผลมาจากการเจรจาและความพยายามทางการทูตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การกลับมาตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง และเป็นตัวอย่างที่ดีของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการทางการทูตและการเจรจา

การที่ UN ขานรับอิหร่านบรรลุข้อตกลง IAEA เปิดทางตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่นานาชาติและอิหร่านพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากันเพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างสันติภาพ

ข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นว่า การเจรจาและการทูตยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และการที่ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือและเคารพซึ่งกันและกัน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

ที่มา – UN ขานรับอิหร่านบรรลุข้อตกลง IAEA เปิดทางตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์

UN แฉ! เกาหลีเหนือทดลองกับผู้พิการ ละเมิดสิทธิ!

คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ (CRPD) ออกมากล่าวหาว่า เกาหลีเหนือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ด้วยการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับผู้พิการ และเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้กับนานาชาติและจุดประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศ

CRPD ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระและผู้ที่เกี่ยวข้องในคณะกรรมการฯ ได้ตรวจสอบสถานการณ์ดังกล่าวในเกาหลีเหนืออย่างละเอียด

“รายงานที่เชื่อถือได้ระบุว่า มีการทดลองทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์กับบุคคลที่มีความพิการทางจิตสังคมและ/หรือความพิการทางสติปัญญา” คณะกรรมการฯ ระบุในรายงาน

รายงานยังระบุอีกว่า มีการบังคับทำแท้งและทำหมันผู้หญิงที่มีความพิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการฆ่าเด็กทารกที่มีความพิการ โดยบางกรณีเกิดขึ้นในสถานพยาบาลโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าหน้าที่รัฐ

UN กล่าวหาเกาหลีเหนือทำการทดลองกับผู้พิการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง

มารา กาบริลลี ตัวแทนจาก CRPD ได้แถลงข่าวออนไลน์ว่า ทางคณะกรรมการฯ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการกักขังคนพิการในเกาหลีเหนือ โดยรายงานระบุว่าบุคคลกลุ่มนี้ถูกขังเดี่ยวและเผชิญ “การปฏิบัติอย่างเลวร้าย” ทั้งยังถูกปฏิเสธการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็น

กาบริลลีย้ำว่า “ผู้พิการไม่ใช่หนูทดลอง แต่เป็นมนุษย์ที่มีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ซึ่งพึงได้รับการคุ้มครองในเรื่องความปลอดภัยของร่างกาย ความเป็นอิสระในการตัดสินใจ และการได้รับความเคารพในฐานะมนุษย์” ถ้อยแถลงนี้สะท้อนถึงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เกาหลีเหนือไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกังวลที่คณะกรรมการฯ หยิบยกขึ้นมา และปฏิเสธว่าไม่ได้มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิดังกล่าว การปฏิเสธนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์มีความซับซ้อนและยากต่อการแก้ไข

ผลกระทบจากการกล่าวหาว่า เกาหลีเหนือทำการทดลองกับผู้พิการ

การถูกกล่าวหาว่า UN กล่าวหาเกาหลีเหนือทำการทดลองกับผู้พิการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง สร้างผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือในเวทีโลก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ และอาจนำไปสู่การกดดันจากนานาชาติให้เกาหลีเหนือปรับปรุงนโยบายและแนวปฏิบัติของตนเอง

  • การเรียกร้องจากนานาชาติให้มีการตรวจสอบอย่างอิสระ: หลายองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาลต่างๆ อาจเรียกร้องให้มีการตรวจสอบสถานการณ์ในเกาหลีเหนืออย่างอิสระ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงและประเมินขอบเขตของการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • การเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ: หากข้อกล่าวหาเป็นจริง อาจมีการเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจต่อเกาหลีเหนือ เพื่อบังคับให้ประเทศเคารพสิทธิมนุษยชนและยุติการกระทำที่ละเมิดสิทธิ
  • การสนับสนุนเหยื่อและการให้ความช่วยเหลือ: องค์กรต่างๆ อาจให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ รวมถึงการให้การสนับสนุนทางการแพทย์ จิตวิทยา และทางกฎหมาย

การที่ UN กล่าวหาเกาหลีเหนือทำการทดลองกับผู้พิการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และหวังว่านานาชาติจะสามารถร่วมมือกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์และปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้พิการในเกาหลีเหนือได้อย่างแท้จริง

ที่มา – UN กล่าวหาเกาหลีเหนือทำการทดลองกับผู้พิการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง

UN วอน เร่งคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัด

องค์การสหประชาชาติ (UN) ออกโรงเตือน! วอนทุกฝ่ายเร่งออกมาตรการคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเรื่องเล่นๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลต่อชีวิตและสุขภาพของเหล่าคนงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

UN วอนทุกฝ่ายเร่งออกมาตรการคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัด

จากรายงานล่าสุดของ UN ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้คลื่นความร้อนเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของคนงานในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร คนงานก่อสร้าง หรือแม้แต่ชาวประมง ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเสี่ยง

รายงานฉบับปรับปรุงใหม่นี้ เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงมาตรการที่มีอยู่ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยระบุว่าเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 20 องศาเซลเซียส ประสิทธิภาพการทำงานของคนงานจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด และประชากรโลกกว่าครึ่งหนึ่งกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่

ทำไมต้องเร่งคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัด?

ภัยสุขภาพจากความร้อนมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคลมแดด (ฮีตสโตรก) ภาวะร่างกายขาดน้ำ ไตทำงานบกพร่อง หรือแม้แต่ความผิดปกติทางระบบประสาท องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ต่างออกมาเตือนถึงอันตรายเหล่านี้ และเน้นย้ำว่ากลุ่มคนที่ทำงานกลางแจ้งคือกลุ่มเสี่ยงสูงสุด

โค บาร์เร็ตต์ รองเลขาธิการ WMO กล่าวว่า การปกป้องคนงานจากสภาพอากาศร้อนจัดไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะเมื่อคนงานสุขภาพไม่ดี ประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลง ส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของทั้งตัวคนงานเองและภาคธุรกิจ

UN จึงเรียกร้องให้มีการจัดทำแผนรับมือภัยความร้อนสำหรับแต่ละภูมิภาคและอุตสาหกรรม โดยต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างคนงาน นายจ้าง สหภาพแรงงาน และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เพื่อให้แผนที่ออกมานั้นเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง

ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศ สหภาพแรงงานได้ผลักดันให้มีกฎหมายควบคุมอุณหภูมิสูงสุดในที่ทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางที่ UN เห็นว่าสามารถนำไปปรับใช้ได้ แต่รายละเอียดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้จัดการฝึกอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์และหน่วยกู้ภัย เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและรักษาอาการเจ็บป่วยจากความร้อนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพราะที่ผ่านมา มักมีการวินิจฉัยผิดพลาดอยู่เสมอ

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) พบว่าทั่วโลกมีคนงานกว่า 2.4 พันล้านคนที่ต้องทำงานในสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการทำงานปีละกว่า 22.85 ล้านครั้ง ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร้ายแรงของปัญหาและการคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัดนั้นสำคัญอย่างไร

รือดิเกอร์ เครช จาก WHO กล่าวว่า “ไม่ควรมีใครต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกกับค่าแรง” เป็นคำพูดที่บาดใจและชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

ดังนั้น การคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัดจึงเป็นวาระสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม เพราะสุขภาพของคนงานคือรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจและสังคม หากเราไม่ดูแลพวกเขา แล้วใครจะขับเคลื่อนประเทศชาติของเราต่อไป?

ที่มา – UN วอนทุกฝ่ายเร่งออกมาตรการคุ้มครองสุขภาพคนงานจากอากาศร้อนจัด