ฉนวนกาซา

ทรัมป์หนุนหยุดยิงกาซา แต่ไร้เงาอิสราเอล-ฮามาส

ทรัมป์ลงนามเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซา แต่ไร้เงาอิสราเอล-ฮามาสเข้าร่วม

ผู้นำจาก 4 ชาติผู้ไกล่เกลี่ย ได้ร่วมลงนามในเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ที่มีผลบังคับใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีผู้แทนจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเข้าร่วมก็ตาม

เอกสารดังกล่าวมีการลงนามในวันจันทร์ (13 ต.ค.) โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ, อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ประธานาธิบดีอียิปต์, เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี และเชค ตะมีม บิน ฮะมัด อาล ษานี เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ ในการประชุมสุดยอดสันติภาพ ณ เมืองชาร์มเอลชีค ประเทศอียิปต์ ซึ่งมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอียิปต์เป็นประธานร่วม โดยมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศ ตลอดจนตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรระดับภูมิภาคร่วมเป็นสักขีพยาน

ประธานาธิบดีอียิปต์กล่าวว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนข้อตกลงชาร์มเอลชีคเพื่อยุติสงครามในกาซา ซึ่งได้ข้อสรุปไปเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ผ่านการไกล่เกลี่ยโดยอียิปต์ สหรัฐอเมริกา กาตาร์ และตุรกี

“ผมขอต้อนรับทุกท่านสู่การประชุมสุดยอดสันติภาพชาร์มเอลชีค ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งเช่นนี้ ซึ่งเราทุกคนได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการบรรลุข้อตกลงชาร์มเอลชีคเพื่อยุติสงครามในกาซา” ประธานาธิบดีอียิปต์กล่าว

เขากล่าวเสริมว่า ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็น “แสงแห่งความหวัง” ว่าข้อตกลงนี้จะเป็นการปิดฉากหน้าประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดของมนุษยชาติ และเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งสันติภาพและเสถียรภาพในตะวันออกกลาง เพื่อมอบอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ประชาชนในภูมิภาคที่ต่างเหนื่อยล้าจากความขัดแย้งยาวนาน

ผู้นำอียิปต์ได้เน้นย้ำจุดยืนสนับสนุนการดำเนินการตามแผนหยุดยิงในกาซา โดยย้ำว่าข้อตกลงดังกล่าวจะต้องได้รับการเสริมสร้างให้มั่นคง และดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างครบถ้วน เพื่อมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสองรัฐ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังตอกย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดเตรียมปัจจัยและทรัพยากรที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อให้สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้อย่างสมบูรณ์และต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงในกาซาอย่างถาวร การแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษให้เสร็จสิ้น การถอนกองกำลังอิสราเอลออกจากกาซา รวมถึงการลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซา

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แผนการในระยะแรกประกอบด้วยการถอนทหารอิสราเอลออกจากกาซาซิตี ราฟาห์ ข่านยูนิส และพื้นที่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา รวมถึงการแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษ และการเปิดจุดผ่านแดน 5 จุดเพื่อลำเลียงความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา

ทั้งนี้ ในวันจันทร์ ฮามาสได้ส่งมอบตัวประกันที่ยังมีชีวิตอยู่กลุ่มสุดท้ายจำนวน 20 คนกลับคืนสู่อิสราเอลเป็นที่เรียบร้อย ส่วนทางด้านอิสราเอลได้เริ่มปล่อยตัวนักโทษและผู้ถูกควบคุมตัวชาวปาเลสไตน์ราว 2,000 คน

ข้อตกลงหยุดยิงในกาซา: ก้าวสำคัญที่ยังต้องจับตา

ถึงแม้ว่าการลงนามในเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซาโดยผู้นำจากหลายชาติ จะเป็นสัญญาณบวกที่แสดงถึงความพยายามในการยุติความขัดแย้ง แต่การที่อิสราเอลและฮามาสไม่ได้เข้าร่วมลงนามด้วยตนเอง ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีความซับซ้อน การบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง การผลักดันให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันและเจรจาอย่างจริงจัง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในภูมิภาค

ที่มา – ทรัมป์ลงนามเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซา แต่ไร้เงาอิสราเอล-ฮามาสเข้าร่วม

ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสมีผลบังคับใช้แล้ว

สถานการณ์ตึงเครียดในฉนวนกาซาเริ่มคลี่คลาย เมื่อข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส เริ่มมีผลบังคับใช้ตามเวลาที่กำหนด สร้างความหวังให้กับประชาชนในพื้นที่และทั่วโลก หลังจากเผชิญกับความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว

แหล่งข่าวรายงานว่า ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส เริ่มมีผลบังคับใช้ในฉนวนกาซา เมื่อเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย บรรยากาศโดยทั่วไปเป็นไปอย่างสงบภายหลังการประกาศหยุดยิง

กองทัพอิสราเอลได้ออกมายืนยันในแถลงการณ์ว่า การหยุดยิงนั้นมีผลบังคับใช้แล้ว สถานการณ์ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของฉนวนกาซาอยู่ในความสงบ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นกระบวนการตามข้อตกลงนี้ ที่เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยมีอียิปต์และชาติอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย

ความหวังและความท้าทายของข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส

การเริ่มต้นของ ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ไม่ได้หมายความว่าปัญหาและความขัดแย้งทั้งหมดจะหายไปในทันที แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดความรุนแรง และเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนกว่าเดิม ความท้าทายที่สำคัญคือการรักษาข้อตกลงนี้ให้คงอยู่ต่อไป และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งสองฝ่ายว่าการเจรจาและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีเป็นทางออกที่ดีที่สุด

หลายฝ่ายแสดงความหวังว่าการหยุดยิงครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซาได้อย่างเต็มที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหาย และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสนับสนุนจากนานาชาติ การสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การเจรจาอย่างต่อเนื่องและการเคารพในข้อตกลงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

การหยุดยิงครั้งนี้เป็นเพียงก้าวแรกบนเส้นทางที่ยาวไกล การสร้างสันติภาพที่แท้จริงต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความอดทน และความเข้าใจจากทุกฝ่าย เราหวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนสู่ฉนวนกาซา และประชาชนในพื้นที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

ที่มา – ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว

UN ช่วยกาซา! ยกระดับหลังหยุดยิง

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ประกาศความพร้อมของ UN ในการยกระดับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวกาซา หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงครั้งล่าสุด สถานการณ์ในกาซายังคงน่ากังวลและ UN เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

UN พร้อมยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

กูเตอร์เรสกล่าวว่า “สหประชาชาติจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เราและองค์กรพันธมิตรพร้อมปฏิบัติการทันที เรามีความพร้อมทั้งด้านความเชี่ยวชาญ เครือข่ายการกระจายความช่วยเหลือ และความสัมพันธ์ในระดับชุมชน” เขายังเน้นย้ำว่าสิ่งของบรรเทาทุกข์ได้รับการจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว และทีมงานของ UN อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมสำหรับการขยายความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำ เวชภัณฑ์ และที่พักพิงได้ในทันที

อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ UN เน้นย้ำว่าการหยุดยิงเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงได้ “เราต้องการการเข้าถึงอย่างเต็มรูปแบบ ปลอดภัย และต่อเนื่องสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม การขจัดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนและอุปสรรคต่าง ๆ และการบูรณะโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายยับเยินขึ้นมาใหม่” เขากล่าว นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐสมาชิกของ UN สนับสนุนปฏิบัติการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วยเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการอันมหาศาลของประชาชนในกาซา

กูเตอร์เรสชี้ว่า ข้อตกลงหยุดยิงเปรียบเสมือนประกายแสงแห่งความหวังสำหรับทั้งชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ และเขาหวังว่าประกายแสงนี้จะนำไปสู่รุ่งอรุณแห่งสันติภาพและการสิ้นสุดของความขัดแย้งที่ยาวนาน

UN เรียกร้องทุกฝ่ายใช้โอกาสสร้างสันติภาพ

กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้โอกาสนี้ในการสร้างเส้นทางทางการเมืองที่น่าเชื่อถือไปสู่การยุติการยึดครอง การรับรองสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวปาเลสไตน์ และการบรรลุทางออกแบบสองรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพที่ยุติธรรมและยั่งยืนระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ตลอดจนสันติภาพและความมั่นคงในวงกว้างยิ่งขึ้นในตะวันออกกลาง

เขายังแสดงความยินดีกับการประกาศข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาและการปล่อยตัวประกัน พร้อมทั้งชื่นชมความพยายามทางการทูตของสหรัฐฯ กาตาร์ อียิปต์ และตุรกี ในการเป็นตัวกลางในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าครั้งนี้

กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และเปิดรับโอกาสต่างๆ ที่มาพร้อมกับข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ UN สามารถยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนในพื้นที่

สถานการณ์ในกาซายังคงเปราะบางและต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากนานาชาติ การที่ UN ยืนยันถึงความพร้อมในการ ยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

ในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงและการสร้างอนาคตที่มั่นคงสำหรับชาวกาซาต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามร่วมกันในระยะยาวจากทุกภาคส่วน

ที่มา – UN ยืนยัน พร้อมยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อันวาร์หนุนปาเลสไตน์ เสี่ยงสหรัฐฯ ไม่พอใจ

อันวาร์ปราศรัยหนุนปาเลสไตน์: นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ขึ้นกล่าวปราศรัยในการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (8 ต.ค.) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของอิสราเอลในฉนวนกาซาอย่างดุเดือด ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่อันวาร์จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญของอิสราเอล

อันวาร์กล่าวต่อผู้ชุมนุมหลายพันคนว่า “สิ่งที่เรากำลังต่อสู้คือยักษ์ใหญ่อิสราเอล แต่เราไม่หวาดกลัวหรือวิตกกังวลแม้แต่น้อย” พร้อมยืนยันว่าไม่มีแผนยกเลิกคำเชิญทรัมป์ และเน้นย้ำว่า “ผมต้องการเจรจา”

การชุมนุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากทางการอิสราเอลได้ควบคุมตัวนักกิจกรรมชาวมาเลเซียซึ่งเข้าร่วมกองเรือที่พยายามส่งมอบความช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซา นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชาวมาเลเซียหลายพันคนก็ได้รวมตัวกันประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลวอชิงตันเข้ามาดำเนินการต่อกรณีอิสราเอล

ความขัดแย้งในฉนวนกาซาส่อเค้าว่าจะสร้างความซับซ้อนให้กับการเดินทางเยือนของทรัมป์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค. นี้ ขณะเดียวกัน พรรคฝ่ายค้านหลักของมาเลเซียได้เรียกร้องขอเข้าพบผู้นำสหรัฐฯ เพื่อประท้วงการกระทำของอิสราเอล และมีแผนจัดการชุมนุมสาธารณะระหว่างการเยือนดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ อันวาร์กำลังเผชิญบททดสอบทางการเมืองที่ละเอียดอ่อน ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวที่เพิ่มสูงขึ้นในหมู่ประชาชนต่อความเสียหายและวิกฤตมนุษยธรรมในกาซา ขณะที่สหรัฐฯ ได้ให้การรับรองอย่างแข็งขันถึงสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง และในขณะเดียวกัน อันวาร์ก็จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับทรัมป์ด้วย

นอกจากนี้ นายกฯ มาเลเซียยังต้องเอาใจฐานเสียงในประเทศที่มองว่าการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์เป็นหน้าที่ทางศาสนา โดยนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปลายปี 2565 อันวาร์ได้พยายามเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำอิสลามผ่านการขยายบทบาทของหน่วยงานรัฐบาลกลางที่กำกับดูแลกิจการศาสนาอิสลาม

อันวาร์ปราศรัยหนุนปาเลสไตน์: ความท้าทายทางการเมือง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่ อันวาร์ปราศรัยหนุนปาเลสไตน์ นั้น นับเป็นความท้าทายทางการเมืองที่ละเอียดอ่อนสำหรับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชนชาวมาเลเซียต่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา นโยบายต่างประเทศของมาเลเซียจึงต้องมีความสมดุลเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การที่นายกฯ อันวาร์ อันวาร์ปราศรัยหนุนปาเลสไตน์ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของอิสราเอล ในขณะเดียวกัน มาเลเซียก็ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับประเทศในโลกมุสลิม ซึ่งให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างแข็งขัน การบริหารจัดการความสัมพันธ์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง

  • การเจรจากับสหรัฐฯ: อันวาร์จำเป็นต้องใช้ทักษะทางการทูตเพื่อเจรจาและทำความเข้าใจกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับจุดยืนของมาเลเซียในประเด็นปาเลสไตน์
  • การรักษาความสัมพันธ์กับโลกมุสลิม: มาเลเซียต้องแสดงบทบาทในการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศในโลกมุสลิม

ในภาพรวมแล้ว การที่ อันวาร์ปราศรัยหนุนปาเลสไตน์ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศ และความจำเป็นที่ผู้นำต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ที่มา – อันวาร์ปราศรัยหนุนปาเลสไตน์ สุ่มเสี่ยงทำสหรัฐฯ ไม่พอใจก่อนทรัมป์เยือนมาเลเซีย

ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน แลกถอนกำลังอิสราเอล

ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน แลกกับการถอนกำลังของอิสราเอล

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันพุธ (8 ต.ค.) ว่า อิสราเอลและกลุ่มฮามาสได้ลงนามในแผนสันติภาพฉนวนกาซาระยะแรกของเขาแล้ว ภายใต้แผนดังกล่าว กลุ่มฮามาสจะปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่เหลือทั้งหมด “ในเร็ว ๆ นี้”

ทรัมป์กล่าวว่า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อิสราเอลจะถอนกำลังไปยัง “แนวที่ได้ตกลงกันไว้” และย้ำว่าข้อตกลงนี้จะปูทางไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน

ทรัมป์โพสต์บนทรูธโซเชียลว่า “ทุกฝ่ายจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม! นี่เป็นวันที่ยอดเยี่ยมสำหรับโลกอาหรับและมุสลิม อิสราเอล ทุกประเทศโดยรอบ และสหรัฐอเมริกา”

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ทรัมป์ระบุว่าเขาอาจเดินทางไปอียิปต์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่การเจรจาเพื่อยุติสงครามในกาซาดูเหมือนจะใกล้ได้ข้อสรุป

ทรัมป์กล่าวในงานอีเวนต์ ณ ทำเนียบขาวว่า การเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่นั้น “เป็นไปได้ด้วยดีมาก” และเขาจะเดินทางไปยังตะวันออกกลาง “น่าจะเป็นวันอาทิตย์… อาจจะช้ากว่าเย็นวันเสาร์เล็กน้อย”

ต่อมา เมื่อนักข่าวถามว่าจะไปประเทศใด ทรัมป์ตอบว่า “เรายังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัด แต่น่าจะเป็นอียิปต์ เพราะตอนนี้ทุกคนไปรวมตัวกันที่นั่น”

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่การเจรจาทางอ้อมระหว่างอิสราเอลกับฮามาสยังคงดำเนินต่อไปที่เมืองชาร์มเอลชีค ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลแดงของอียิปต์

การเจรจานี้เริ่มขึ้นเมื่อวันจันทร์ (6 ต.ค.) โดยมีสหรัฐฯ อียิปต์ และกาตาร์เป็นคนกลาง ซึ่งเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังจากที่ทรัมป์เสนอแผน 20 ข้อเพื่อยุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในกาซาที่ดำเนินมานาน 2 ปี การเจรจามุ่งเน้นไปที่การดำเนินการตามแผนสันติภาพระยะแรกของสหรัฐฯ ซึ่งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันจากกาซาและชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังในอิสราเอล

ทรัมป์กล่าวว่า เขาเพิ่งได้รับบันทึกจากมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ใจความว่า “เราใกล้จะบรรลุข้อตกลงในตะวันออกกลางแล้ว และพวกเขาต้องการให้ผมไปที่นั่นโดยเร็ว”

หลังจากที่ทรัมป์กล่าวในงานดังกล่าวไม่นาน แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ก็ได้แถลงว่า ประธานาธิบดีกำลังพิจารณาเดินทางไปยังตะวันออกกลางอย่างเร็วที่สุดในวันศุกร์นี้ (10 ต.ค.)

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน

สถานการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาค การที่ทรัมป์เข้ามามีบทบาทในการเจรจาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างจริงจัง การปล่อยตัวประกันถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายฝ่ายที่ยังคงแสดงความไม่เชื่อมั่นต่อข้อตกลงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขที่ว่าอิสราเอลจะต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความกังวลด้านความมั่นคงของอิสราเอลเอง

การเดินทางไปอียิปต์ของทรัมป์ หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการเป็นคนกลางในการเจรจาครั้งนี้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ในอนาคต

การที่ ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน ถือเป็นข่าวดี แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าข้อตกลงนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร

ในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าการที่ ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน เป็นสัญญาณบวก แต่ก็มีคำถามสำคัญที่ต้องพิจารณา เช่น เงื่อนไขการถอนกำลังของอิสราเอลคืออะไร และจะมีการรับประกันความปลอดภัยในระยะยาวได้อย่างไร

สำหรับผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด การที่ ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน เป็นประเด็นที่ไม่ควรพลาด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสถียรภาพในภูมิภาค

ที่มา – ทรัมป์เผยฮามาสเตรียมปล่อยตัวประกัน แลกกับการถอนกำลังของอิสราเอล

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอล

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อชาวมาเลเซียหลายพันคนออกมาประท้วงด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ เร่งกดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนกาซา

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นต่อการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดการเดินทางมายังมาเลเซียในเดือนนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

กองทัพเรืออิสราเอลได้เข้าสกัดกั้นเรือหลายลำในขบวนเรือ “โกลบอล ซูมูด โฟลทิลลา” (Global Sumud Flotilla หรือ GSF) ขณะกำลังเดินทางเข้าสู่ชายฝั่งกาซาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีการควบคุมตัวผู้โดยสารทั้งหมดไปยังท่าเรือของอิสราเอล

สำนักข่าวเบอร์นามารายงานว่า กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้สหรัฐฯ กดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือเหล่านี้สามารถนำความช่วยเหลือไปยังชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และปล่อยตัวผู้ที่อยู่บนกองเรือดังกล่าว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุว่า ชาวมาเลเซีย 23 คนที่อยู่บนเรือเหล่านั้นถูกอิสราเอลควบคุมตัว

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเปิดเผยว่า ทางกระทรวงได้รับข้อมูลว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดบนเรือปลอดภัยและมีสุขภาพดี และจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศที่ 3 โดยรัฐบาลจะยังคงดำเนินการเพื่อปกป้องความปลอดภัยของชาวมาเลเซียในต่างประเทศต่อไป

เดิมทีนั้น แผนการของปธน.ทรัมป์ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมทั้งกลุ่มอาเซียนและมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพ แต่ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากในมาเลเซียซึ่งมีความกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับสงครามในฉนวนกาซา ต่างก็รู้สึกโกรธเคืองจากข่าวการควบคุมตัวนักกิจกรรมบนเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

รายงานระบุว่า พรรคพีเอเอส (PAS) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียกำลังวางแผนจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ หากทรัมป์เดินทางมาเยือน เพื่อประท้วงการที่สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอล ขณะที่มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกคำเชิญทรัมป์ เนื่องจากมองว่าทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

ขณะที่อิสราเอลมองว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของกองเรือดังกล่าวคือการยั่วยุ โดยกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลระบุว่า มีหลักฐานว่ากองเรือเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มฮามาส

มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26-28 ต.ค. โดยอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุว่า ปธน.ทรัมป์ได้ยืนยันการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่านเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะเข้าร่วมการประชุมเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า หลังจากปธน.ทรัมป์เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดอาเซียน เขาจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจูในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นในตะวันออกกลาง รวมถึงความเห็นต่างและการแสดงออกทางการเมืองในระดับนานาชาติ การที่ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงจุดยืนของประชาชนชาวมาเลเซียต่อประเด็นดังกล่าว

ทำไมชาวมาเลเซียถึงประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา?

การประท้วงเกิดขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา และความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการกดดันให้อิสราเอลเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าไปถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้คนทั่วโลก รวมถึงในมาเลเซีย การที่ประชาชนออกมาแสดงออกอย่างสันติวิธีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและเคารพ

เหตุการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้อย่างแท้จริง และเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

การที่ชาวมาเลเซียออกมาแสดงออกถึงความกังวลและความห่วงใยต่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์และความปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ท่าทีของนานาชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

ที่มา – ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

ยุโรปประณามอิสราเอล ปมสกัดเรือกาซา

หลายชาติยุโรปร่วมประณามอิสราเอเอลกรณีสกัดขบวนเรือ “โฟลทิลลา” ที่มุ่งหน้าสู่กาซา พร้อมเรียกร้องให้รับประกันความปลอดภัยของพลเมืองตนที่ร่วมเดินทางไปกับขบวนเรือช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมดังกล่าว หลังกองทัพอิสราเอลเข้าสกัดกั้นขบวนเรือ “โกลบอล ซูมูด โฟลทิลลา” (Global Sumud Flotilla หรือ GSF) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ขบวนเรือ GSF เป็นการรวมตัวของภาคประชาสังคมระหว่างประเทศ ประกอบด้วยเรือพลเรือนราว 50 ลำ พร้อมอาสาสมัครกว่า 500 คน จากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก มีเป้าหมายเพื่อท้าทายมาตรการปิดล้อมทางทะเลของอิสราเอล ด้วยการจัดส่งอาหารและเวชภัณฑ์ให้แก่ชาวปาเลสไตน์ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ยังคงดำเนินอยู่ ด้านกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลได้ออกมายืนยันว่า ได้ทำการ “ควบคุมเรือหลายลำจากขบวนเรือ” ดังกล่าวจริง โดยระบุว่ากระบวนการเป็นไปอย่าง “ปลอดภัย” และกำลัง “นำตัวผู้โดยสารไปยังท่าเรือของอิสราเอล”

ชาติยุโรปรุมประณามอิสราเอล ปมสกัดขบวนเรือ “โฟลทิลลา” ที่มุ่งหน้าสู่กาซา

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้จุดกระแสความไม่พอใจและกังวลใจไปทั่วยุโรป โดยโปรตุเกสยืนยันว่ามีพลเมืองของตน 3 รายถูกควบคุมตัว ซึ่งในจำนวนนี้มีสมาชิกรัฐสภารวมอยู่ด้วย ด้านประธานาธิบดีมาร์เซโล เรเบโล เด โซซา ให้คำมั่นว่าจะให้ “ความช่วยเหลือด้านกงสุลอย่างเต็มที่” ผ่านสถานทูตในกรุงเทลอาวีฟ เพื่อคุ้มครองสิทธิและดูแลให้พลเมืองเดินทางกลับประเทศอย่างปลอดภัย

ด้านอิตาลี กุยโด โครเซตโต รัฐมนตรีกลาโหม ได้ประณามการกระทำของอิสราเอล “อย่างรุนแรงที่สุด” เนื่องจากมีพลเมืองอิตาลีอยู่บนเรือด้วย พร้อมกันนี้ยังได้อนุมัติให้หน่วยรบของกองทัพเรือ “เข้าแทรกแซงโดยทันที” โดยกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการช่วยเหลือที่อาจจำเป็น

ขณะที่ฝรั่งเศสและสเปนก็ได้ร่วมแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้อิสราเอลรับรองความปลอดภัยของพลเมืองของตน คุ้มครองสิทธิตามหลักกงสุล และอำนวยความสะดวกให้สามารถเดินทางกลับประเทศได้โดยเร็วที่สุด หลายประเทศในยุโรปกำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ทำไมชาติยุโรปถึงประณามอิสราเอล ปมสกัดขบวนเรือ “โฟลทิลลา” ที่มุ่งหน้าสู่กาซา

เหตุผลหลักที่ชาติยุโรปออกมาประณามอิสราเอลในครั้งนี้ เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยของพลเมืองตนเองที่อยู่บนเรือ และมองว่าการกระทำของอิสราเอลเป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุกับขบวนเรือที่อ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการปิดล้อมฉนวนกาซาที่ยังคงเป็นข้อถกเถียงในระดับนานาชาติ

ในช่วงค่ำวันพุธ ฝ่ายผู้จัดขบวนเรือได้ออกแถลงการณ์ผ่านแอปพลิเคชันเทเลแกรม ประณามการกระทำของกองทัพอิสราเอลว่าเป็น “การรุกรานอย่างแข็งขัน” โดยให้ข้อมูลว่าเรือ “ฟลอริดา” ถูก “พุ่งชนกลางทะเลอย่างจงใจ” ขณะที่เรือลำอื่น ๆ เช่น “ยูลารา” และ “เมเทค” ถูกฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ แม้จะไม่มีลูกเรือคนใดได้รับบาดเจ็บ แต่แถลงการณ์ระบุว่า “การโจมตีเรือเพื่อมนุษยธรรมที่ปราศจากอาวุธเช่นนี้ ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม”

สถานการณ์ชาติยุโรปรุมประณามอิสราเอล ปมสกัดขบวนเรือ “โฟลทิลลา” ที่มุ่งหน้าสู่กาซานี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่ยังคงคุกรุ่นในความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับนานาชาติ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในยุโรปที่ให้ความสำคัญกับหลักการด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน การที่หลายประเทศออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ อาจนำไปสู่แรงกดดันต่ออิสราเอลให้ทบทวนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับฉนวนกาซาและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธีต่อไป

เหตุการณ์ชาติยุโรปรุมประณามอิสราเอล ปมสกัดขบวนเรือ “โฟลทิลลา” ที่มุ่งหน้าสู่กาซา จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร และจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในอนาคตอย่างไร คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ที่มา – ชาติยุโรปรุมประณามอิสราเอล ปมสกัดขบวนเรือ “โฟลทิลลา” ที่มุ่งหน้าสู่กาซา

อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้ สกัดผู้พลัดถิ่น

สถานการณ์ในฉนวนกาซายังคงตึงเครียด เมื่อกองทัพอิสราเอลประกาศ อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการเดินทางของประชาชน งานนี้ส่งผลกระทบต่อชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่นอย่างมาก ทำให้โอกาสในการกลับไปยังบ้านเกิดของตนเองนั้นยากยิ่งขึ้นไปอีก

กองทัพอิสราเอลได้ยืนยันการปิดถนนเลียบชายฝั่งอัล-ราชีด ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างฉนวนกาซาตอนเหนือและตอนใต้ จุดประสงค์หลักคือเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่นสามารถเดินทางกลับไปยังพื้นที่เดิมได้ อวิไช อาดราอี โฆษกกองทัพอิสราเอล ได้เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า เส้นทางดังกล่าวถูกปิดตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันที่ 1 ตุลาคม โดยอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ยังอยู่ในกาซาซิตีสามารถเดินทางลงใต้ได้เท่านั้น นั่นหมายความว่า ชาวปาเลสไตน์ที่อพยพไปยังตอนใต้ของฉนวนกาซาจะไม่สามารถเดินทางกลับขึ้นไปทางเหนือได้อีกต่อไป

การตัดสินใจ อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้กองทัพอิสราเอลได้ทำการปิดกั้นเส้นทางหลายครั้งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ซึ่งส่งผลให้ฉนวนกาซาตอนเหนือถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่นั้นเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง การเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น

อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เกิดขึ้นในขณะที่กองทัพอิสราเอลกำลังดำเนินปฏิบัติการภาคพื้นดินในกาซาซิตีอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีกลุ่มฮามาสและช่วยเหลือตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังคงถูกจับกุมอยู่ กองทัพระบุว่า รถถังได้เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากและความเสี่ยงอย่างมาก

สหประชาชาติ (UN) ได้ประเมินสถานการณ์และพบว่า ประชาชนจำนวนมากถึง 1.9 ล้านคน จากทั้งหมด 2.3 ล้านคนในฉนวนกาซา ต้องพลัดถิ่นหลายครั้งนับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มขึ้น ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงของความขัดแย้งต่อประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ กลุ่มองค์กรด้านมนุษยธรรมยังได้ออกมาเตือนว่า การ อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้ จะยิ่งทำให้ตอนเหนือถูกตัดขาดมากขึ้น และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังพื้นที่

ผลกระทบต่อพลเรือนจาก อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้

การปิดเส้นทางดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องการกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง หลายครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน และไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตได้ การจำกัดการเดินทางยังส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการศึกษา ทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

นานาชาติต่างเรียกร้องให้มีการเปิดเส้นทางเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอน และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในระยะยาวนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย

สถานการณ์ อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาค การให้ความสำคัญกับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

ที่มา – อิสราเอลปิดเส้นทางเชื่อมกาซาเหนือ-ใต้ สกัดชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นกลับพื้นที่

ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม หาทางออกวิกฤตกาซา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เตรียมพบปะกับผู้นำและเจ้าหน้าที่จากหลายประเทศมุสลิมในวันนี้ (23 ก.ย.) เพื่อหารือสถานการณ์ในกาซาที่ยังคงถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องจากอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายในการ ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม หาทางออกวิกฤตกาซา

แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ปธน.ทรัมป์จะจัดการประชุมพหุภาคีกับตัวแทนจากซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ อียิปต์ จอร์แดน ตุรกี อินโดนีเซีย และปากีสถาน เพื่อหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

ด้านเว็บไซต์ Axios รายงานว่า ทรัมป์มีแผนจะเสนอแนวทางสันติภาพและกรอบการจัดการกาซาหลังสิ้นสุดสงคราม นอกจากการเจรจาเพื่อปล่อยตัวประกันและยุติการสู้รบแล้ว ยังรวมถึงการหารือเรื่องการถอนกำลังของอิสราเอล และการจัดตั้งระบบบริหารกาซาใหม่ที่ไม่มีกลุ่มฮามาสเข้ามาเกี่ยวข้อง การ ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม หาทางออกวิกฤตกาซา ครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

สหรัฐฯ ต้องการให้ชาติอาหรับและมุสลิมเห็นชอบเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปในกาซา เพื่อเปิดทางให้อิสราเอลถอนทัพ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านงบประมาณสำหรับการเปลี่ยนผ่านและการฟื้นฟูบูรณะในระยะยาว

ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ในวันเดียวกัน โดยเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ผู้นำหลายสิบประเทศร่วมประกาศสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญทางการทูต ท่ามกลางแรงต่อต้านจากอิสราเอลและสหรัฐฯ

ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม หาทางออกวิกฤตกาซา

สถานการณ์ในกาซายังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และการ ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม หาทางออกวิกฤตกาซา ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการหาทางออกอย่างสันติวิธี การประชุมครั้งนี้มีความซับซ้อนเนื่องจากความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกและความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละฝ่าย แต่การที่ผู้นำจากหลากหลายประเทศมารวมตัวกันเพื่อหารือ ทำให้มีความหวังว่าจะสามารถหาจุดร่วมและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนได้

เป้าหมายของการประชุม

เป้าหมายหลักของการประชุมคือการยุติการสู้รบและการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในกาซา นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นไปที่การหาแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาว เช่น การฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การจัดตั้งระบบบริหารจัดการที่เป็นธรรม และการสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

  • ยุติการสู้รบ: การเจรจาเพื่อหยุดยิงและการปล่อยตัวประกัน
  • บรรเทาความเดือดร้อน: การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา
  • ฟื้นฟูบูรณะ: การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในกาซา
  • สร้างความมั่นคง: การจัดตั้งระบบบริหารจัดการที่เป็นธรรมและป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

ความท้าทายและอุปสรรค

ถึงแม้ว่าการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย ความขัดแย้งที่ยาวนานและความไม่ไว้วางใจระหว่างฝ่ายต่างๆ ทำให้การเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ ความต้องการและผลประโยชน์ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการหาข้อตกลงร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ริเริ่มการประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาในภูมิภาค การมีส่วนร่วมของผู้นำจากประเทศมุสลิมต่างๆ ยังเป็นสัญญาณที่ดีว่ามีความพยายามร่วมกันในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในกาซา

การ ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม หาทางออกวิกฤตกาซา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างความเข้าใจและหาทางออกร่วมกัน แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ความหวังในการสร้างสันติภาพยังคงอยู่

ที่มา – ทรัมป์เปิดเวทีถกผู้นำมุสลิม เดินหน้าหาทางออกวิกฤตกาซา

UN ชี้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

คณะกรรมการไต่สวนของสหประชาชาติ (UN) ได้ข้อสรุปว่า อิสราเอลได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอล รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เป็นผู้ยุยงให้เกิดการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิสราเอลตอบโต้ว่าน่าอัปยศ

รายงานของ UN อ้างถึงขอบเขตการสังหาร การปิดกั้นความช่วยเหลือ การบังคับพลัดถิ่น และการทำลายคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก เพื่อสนับสนุนข้อสรุปเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของกลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรอื่น ๆ

“การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซากำลังเกิดขึ้น” นาวี พิลเลย์ ประธานคณะกรรมการไต่สวนดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และอดีตผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศ กล่าว “ความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมอันโหดร้ายเหล่านี้ตกอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของอิสราเอล ผู้บงการปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาเกือบสองปี ด้วยเจตนาที่จะทำลายล้างกลุ่มชาวปาเลสไตน์ในกาซาโดยเฉพาะ”

คณะกรรมการชุดนี้เป็นองค์กรอิสระและไม่ได้เป็นท่าทีอย่างเป็นทางการของ UN โดยปัจจุบัน UN ยังไม่ได้ใช้คำว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่กำลังเผชิญแรงกดดันให้ใช้คำดังกล่าวเพิ่มขึ้น

ด้านแดเนียล เมรอน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำ UN ณ นครเจนีวา เรียกรายงานฉบับนี้ว่า “น่าอัปยศ” และ “ปลอม” โดยกล่าวหาว่าจัดทำขึ้นโดย “ตัวแทนของกลุ่มฮามาส”

“อิสราเอลขอปฏิเสธรายงานที่ใส่ร้ายป้ายสีฉบับนี้อย่างสิ้นเชิง” เมรอนกล่าวกับผู้สื่อข่าว

อิสราเอลกล่าวหาคณะกรรมการชุดนี้ว่ามีวาระทางการเมืองต่อต้านตนและทำงานนอกเหนืออำนาจหน้าที่ จึงปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ พบว่าอิสราเอลได้กระทำตามองค์ประกอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้ว 4 ข้อ ได้แก่ การฆ่า การก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายหรือจิตใจ การจงใจสร้างสภาวะความเป็นอยู่ที่มุ่งทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดหรือบางส่วน และการใช้มาตรการเพื่อยับยั้งการเกิด

คณะกรรมการฯ อ้างหลักฐานจากการสัมภาษณ์ผู้เสียหาย พยาน แพทย์ รวมถึงเอกสารจากข้อมูลเปิด (open-source) ที่ผ่านการตรวจสอบ และการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมที่รวบรวมมาตั้งแต่สงครามเริ่มต้น

คณะกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่า ถ้อยแถลงของเนทันยาฮูและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เป็น “หลักฐานโดยตรงที่บ่งชี้เจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” โดยอ้างถึงจดหมายที่เขาเขียนถึงทหารอิสราเอลในเดือนพ.ย. 2566 ซึ่งเปรียบเทียบปฏิบัติการในกาซากับสิ่งที่คณะกรรมการเรียกว่า “สงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อการทำลายล้างอย่างสิ้นซาก” ในพระคัมภีร์ฮีบรู

ทั้งนี้ รายงานยังระบุชื่อประธานาธิบดีไอแซค เฮอร์ซอก และอดีตรัฐมนตรีกลาโหมโยอาฟ กัลแลนต์ ของอิสราเอลด้วย

UN ชี้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

รายงานฉบับนี้เป็นผลมาจากการไต่สวนอย่างละเอียด โดยคณะกรรมการได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เพื่อสนับสนุนข้อสรุปที่ว่าอิสราเอลได้กระทำการที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา

ความรุนแรงและการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในกาซาเป็นสิ่งที่น่าสลดใจ การพิจารณาข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเช่นนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

การที่คณะกรรมการ UN ออกมาเปิดเผยผลการไต่สวนในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศ และอาจนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายในอนาคต

  • การตอบสนองของนานาชาติต่อรายงานฉบับนี้จะเป็นอย่างไร
  • ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอิสราเอล
  • ความเป็นไปได้ในการดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ

สถานการณ์ในกาซายังคงมีความซับซ้อนและเปราะบาง การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

การตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ยุติธรรมและยั่งยืน

ที่มา – คกก.ไต่สวน UN ชี้ อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา โดยมีเนทันยาฮู-จนท.ระดับสูงยุยง