ข้อตกลงการค้า

กำแพงภาษี: หัวข้อหารือ สหรัฐฯ-อาเซียน

การประชุมระหว่างผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และรัฐมนตรีจากชาติอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันพุธนี้ (24 ก.ย.) ส่อแววว่าประเด็นเรื่องกำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน โดยจะเน้นไปที่ข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุน

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียนที่อาจเกิดขึ้น โดยอัตราภาษีที่เรียกเก็บในภูมิภาคนี้อยู่ที่ 19-20% สำหรับหลายประเทศ, 40% สำหรับลาวและเมียนมา, และ 10% สำหรับสิงคโปร์

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) คาดการณ์ว่าเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 6 ของโลกไปยังสหรัฐฯ, มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้สูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หากถูกเก็บภาษีสินค้า 20%, ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในภูมิภาค

เต็งกู ซาฟรูล อาซิซ รัฐมนตรีกระทรวงการค้ามาเลเซีย ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเศรษฐกิจกับรัฐมนตรีจาก 10 ชาติอาเซียน กล่าวว่า “เราจะได้หารือเรื่องภาษีหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่เราต้องรอดู”

“การที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนทุกคนยังคงอยู่ที่นี่เพื่อหารือกับสหรัฐฯ และการที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เดินทางมาด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าทั้งอาเซียนและสหรัฐฯ ต่างให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในด้านการค้าและการลงทุน และนั่นคือสิ่งสำคัญ” เต็งกู ซาฟรูลกล่าว

ที่ผ่านมา ชาติสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ต่างแยกกันเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นภาษีศุลกากรเป็นรายประเทศ แต่สถานการณ์ปัจจุบันอาจผลักดันให้ต้องสร้างจุดยืนร่วมกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความเสี่ยงในการถูกขึ้นภาษีในรายสาขาอุตสาหกรรม, โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทย มาเลเซีย และเวียดนาม

เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงการตั้งกำแพงภาษีเซมิคอนดักเตอร์ไว้ที่ 100% โดยจะยกเว้นให้กับบริษัทที่ผลิตในสหรัฐฯ หรือสัญญาว่าจะลงทุนผลิตในประเทศ

กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน

สถานการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายจับตาดูว่า กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าอย่างไร และอาเซียนจะรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร

ผลกระทบและแนวทางที่อาจเกิดขึ้นจากกำแพงภาษี

การที่สหรัฐฯ พิจารณาใช้ กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณการส่งออก การเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้า และอาจนำไปสู่การชะลอตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ แต่ละประเทศในอาเซียนก็มีแนวทางในการรับมือที่แตกต่างกัน บางประเทศอาจมุ่งเน้นการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เป็นรายประเทศ ในขณะที่บางประเทศอาจพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง

นอกจากนี้ การหาตลาดใหม่ๆ และการส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาคก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่อาเซียนสามารถนำมาใช้เพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน ได้

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการตอบสนองของอาเซียนต่อสถานการณ์นี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจในภูมิภาคในอนาคตอันใกล้นี้ การติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่สนใจในเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ที่มา – กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน

มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่ ปรับปรุงข้อตกลง

มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า

เต็งกู ซาฟรูล อาซิซ รัฐมนตรีกระทรวงการค้ามาเลเซียเปิดเผยในวันนี้ (22 ก.ย.) ว่า กลุ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า และหารือแนวทางพัฒนาการค้าครั้งแรกในรอบ 5 ปี ระหว่างการประชุมผู้นำที่จะจัดขึ้นในเดือนต.ค.นี้

ซาฟรูลระบุว่า การประชุมครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนะแนวทางปรับปรุงความตกลงการค้า RCEP และพิจารณาคำร้องจากประเทศที่สนใจเข้าร่วมกลุ่ม พร้อมย้ำว่าการประชุมจะมุ่งเป้าไปที่ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิก RCEP

นอกจากนี้ ซาฟรูลยังยืนยันว่า การประชุมจะไม่ถูกจีนครอบงำ เพราะสมาชิกอาเซียนและสมาชิก RCEP รายอื่น ๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ต่างแสดงจุดยืนสนับสนุนกรอบพหุภาคี ขณะที่จีนเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคสนับสนุนกรอบพหุภาคี เช่น RCEP เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า RCEP อาจช่วยป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากประเทศในเอเชียระหว่าง 10–40% ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจสำคัญในอาเซียนส่วนใหญ่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 19%

รายงานระบุว่า RCEP ซึ่งประด้วยประเทศสมาชิกทั้ง 10 ชาติของอาเซียน รวมถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยังไม่เคยจัดการประชุมผู้นำอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนพ.ย. 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บรรดาผู้นำกลุ่มได้ลงนามข้อตกลงการค้าที่มุ่งลดภาษี กระตุ้นการลงทุน และอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในภูมิภาค

ทั้งนี้ มาเลเซียประกาศความตั้งใจที่จะจัดการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ในเดือนต.ค.นี้ พร้อมกับการประชุมประจำปีของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย

ทำไมการพิจารณา RCEP จึงสำคัญ

การที่มาเลเซียแย้มถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณาสมาชิกใหม่และปรับปรุงข้อตกลง RCEP ถือเป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับอนาคตของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การเปิดรับสมาชิกใหม่จะช่วยขยายขอบเขตของ RCEP และเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้า นอกจากนี้ การปรับปรุงข้อตกลงให้ทันสมัยจะช่วยให้ RCEP สามารถตอบสนองต่อความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับประเทศไทย การที่ มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า ถือเป็นโอกาสในการติดตามความคืบหน้าและพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมหรือปรับปรุงข้อตกลงดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาข้อมูลและเตรียมพร้อมเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการค้าและการลงทุนที่อาจเกิดขึ้น

ประเด็นที่ต้องจับตามองคือ ท่าทีของประเทศสมาชิกปัจจุบันและความเป็นไปได้ในการหาข้อตกลงร่วมกันในการปรับปรุงข้อตกลง RCEP รวมถึงเงื่อนไขและเกณฑ์ในการรับสมาชิกใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของประเทศที่สนใจเข้าร่วม

โดยรวมแล้ว มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า เป็นข่าวที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเป็นโอกาสสำหรับประเทศต่าง ๆ ในการเข้าร่วมและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้

นี่เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย การปรับปรุงข้อตกลงให้ทันสมัยจะส่งผลดีต่อการค้าและการลงทุนในระยะยาวอย่างแน่นอน

ที่มา – มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า

ทรัมป์ไม่ให้เงินช่วยไต้หวัน หวังดีลจีน จริงหรือ?

มีรายงานจากสื่อนอกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่อนุมัติความช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ให้แก่ไต้หวัน โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน ข่าวดังกล่าวสร้างความฮือฮาและเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้กัน

ทรัมป์ไม่อนุมัติความช่วยเหลือทางทหาร $400 ล้านให้ไต้หวัน, หวังบรรลุดีลการค้ากับจีน

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ทรัมป์ปฏิเสธที่จะอนุมัติความช่วยเหลือทางทหารจำนวนดังกล่าว ซึ่งรวมถึงโดรนและอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ การตัดสินใจครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการพยายามผ่อนคลายความตึงเครียดกับจีน

แหล่งข่าววงในระบุว่า การระงับความช่วยเหลือนี้สอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมกับจีน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักอย่างหนึ่งของเขาในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หากเป็นจริง การกระทำดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ, ไต้หวัน และจีน

ทำไมทรัมป์ถึง ทรัมป์ไม่อนุมัติความช่วยเหลือทางทหาร $400 ล้านให้ไต้หวัน, หวังบรรลุดีลการค้ากับจีน?

เหตุผลหลักที่อ้างถึงคือความต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน รัฐบาลทรัมป์ให้ความสำคัญกับการเจรจาทางการค้ากับจีนมาโดยตลอด และการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ไต้หวันอาจถูกมองว่าเป็นการยั่วยุจีน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการเจรจาได้

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์ต้องการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีนในด้านอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี หรือทรัพย์สินทางปัญญา ในขณะเดียวกันก็ต้องการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าเอาไว้

สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ ทรัมป์ไม่อนุมัติความช่วยเหลือทางทหาร $400 ล้านให้ไต้หวัน, หวังบรรลุดีลการค้ากับจีน นั้น อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีทางการทูตครั้งสำคัญ หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีความซับซ้อนและตึงเครียดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า เทคโนโลยี และความมั่นคง

การตัดสินใจครั้งนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณที่สำคัญไปยังไต้หวัน จีน และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

นอกจากเรื่องไต้หวันแล้ว ทรัมป์ยังมีกำหนดการสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการหารือครั้งแรกในรอบหลายเดือน

คาดว่าประเด็นการหารือจะครอบคลุมถึงเรื่องติ๊กต๊อก (TikTok) และอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นประเด็นร้อนแรงในขณะนี้

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะจัดการกับความขัดแย้งและหาทางออกร่วมกัน แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ

โดยสรุปแล้ว ข่าวที่ว่า ทรัมป์ไม่อนุมัติความช่วยเหลือทางทหาร $400 ล้านให้ไต้หวัน, หวังบรรลุดีลการค้ากับจีน เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และยังต้องรอดูว่าการหารือระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง จะนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างไร

แน่นอนว่าการตัดสินใจทางนโยบายต่างประเทศมีความซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราคงต้องจับตาดูสถานการณ์ต่อไปว่าการกระทำดังกล่าวของทรัมป์ จะส่งผลอย่างไรต่อสมดุลอำนาจในเวทีโลก

ที่มา – สื่อนอกเผย ทรัมป์ไม่อนุมัติความช่วยเหลือทางทหาร $400 ล้านให้ไต้หวัน, หวังบรรลุดีลการค้ากับจีน

“ฟอน เดอร์ เลเยน” เตรียมมาตรการเล่นงานอิสราเอล

เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้แถลงว่า EC เตรียมเสนอมาตรการคว่ำบาตรรัฐมนตรีอิสราเอลฝ่ายสุดโต่ง รวมถึงการระงับข้อตกลงความร่วมมือกับอิสราเอลในบางหมวด โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการค้า นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า “ฟอน เดอร์ เลเยน” เตรียมออกมาตรการใหม่เล่นงานการค้าอิสราเอล จริง

ในระหว่างการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภายุโรป ณ เมืองสทราซบูร์ ฟอน เดอร์ เลเยน กล่าวว่า “สถานการณ์ในกาซาได้สั่นคลอนมโนธรรมสำนึกของชาวโลก” พลางยอมรับว่าชาติยุโรปยังเสียงแตกในเรื่องนี้ แต่ EC ก็พร้อมจะดำเนินการเท่าที่มีอำนาจโดยลำพัง

เอกสารทางเลือกซึ่งฝ่ายการทูตของสหภาพยุโรป (EU) ได้ยกร่างไว้เมื่อเดือนก.ค. ระบุว่า การระงับข้อตกลงในหมวดที่ว่าด้วยการค้านั้น จะหมายถึงการยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอิสราเอลที่จะเข้ามายังตลาด EU ซึ่งมติดังกล่าวจำต้องอาศัยเสียงข้างมากจากรัฐบาลชาติสมาชิกตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ เงื่อนไขของเสียงข้างมากดังกล่าวคือต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก 15 ใน 27 ชาติสมาชิก และต้องมีประชากรรวมกันไม่ต่ำกว่า 65% ของทั้ง EU

อนึ่ง EU นับเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอิสราเอล โดยมูลค่าการค้าระหว่างกันเมื่อปีที่แล้วนั้น คิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของอิสราเอล

ฟอน เดอร์ เลเยน ยังกล่าวเสริมว่า EC จะชะลอการให้ความช่วยเหลือแก่อิสราเอลในระดับทวิภาคีไว้ก่อน อย่างไรก็ดี มาตรการนี้จะไม่กระทบกระเทือนความร่วมมือกับภาคประชาสังคมและศูนย์ยาด วาเชม (Yad Vashem) อันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในการรำลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว

ก่อนหน้านี้ EC เคยมีความพยายามที่จะจำกัดสิทธิของอิสราเอลในการเข้าถึงโครงการวิจัยหลักของ EU แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากชาติสมาชิกมากพอ

ในแวดวงการทูตต่างมองว่าท่าทีของเยอรมนีคือตัวแปรสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายเยอรมนีเองก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีคล้อยตามข้อเสนอนี้แต่ประการใด

ประธาน EC กล่าวว่า ในเดือนหน้า ทางคณะฯ จะริเริ่มจัดตั้งกลุ่มผู้บริจาคเพื่อปาเลสไตน์ขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมถึงการจัดตั้งกลไกเพื่อการบูรณะกาซาขึ้นด้วย

“ฟอน เดอร์ เลเยน” เตรียมออกมาตรการใหม่เล่นงานการค้าอิสราเอล

สถานการณ์ที่ “ฟอน เดอร์ เลเยน” เตรียมออกมาตรการใหม่เล่นงานการค้าอิสราเอลนี้ ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ของ EU เอง มาตรการดังกล่าวอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง EU และอิสราเอล รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ผลกระทบจากมาตรการ “ฟอน เดอร์ เลเยน” เตรียมออกมาตรการใหม่เล่นงานการค้าอิสราเอล

การที่ “ฟอน เดอร์ เลเยน” เตรียมออกมาตรการใหม่เล่นงานการค้าอิสราเอล อาจส่งผลให้สินค้าจากอิสราเอลมีราคาสูงขึ้นในตลาด EU เนื่องจากต้องเสียภาษีศุลกากร ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง นอกจากนี้ ยังอาจกระทบต่อการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองฝ่าย

ในขณะเดียวกัน มาตรการนี้อาจได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศใน EU ที่มีความเห็นอกเห็นใจชาวปาเลสไตน์ และมองว่าอิสราเอลควรรับผิดชอบต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ EU ในครั้งนี้ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งภายในองค์กรเอง เนื่องจากแต่ละประเทศสมาชิกมีจุดยืนที่แตกต่างกันในประเด็นนี้

อนาคตความสัมพันธ์ระหว่าง EU และอิสราเอล

อนาคตความสัมพันธ์ระหว่าง EU และอิสราเอล ขึ้นอยู่กับการเจรจาและการประนีประนอมของทั้งสองฝ่าย หากสามารถหาทางออกร่วมกันได้ ก็อาจหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นได้

แต่หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่าง EU และอิสราเอล อาจเข้าสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ

การตัดสินใจของ “ฟอน เดอร์ เลเยน” ในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

ที่มา – “ฟอน เดอร์ เลเยน” ส่งสัญญาณ เตรียมออกมาตรการใหม่เล่นงานการค้าอิสราเอล

ฟอน เดอร์ เลเยน ป้องดีล EU-สหรัฐฯ ดีสุดแล้ว!

เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ยืนยันว่า ข้อตกลงการค้าที่สหภาพยุโรป (EU) บรรลุร่วมกับสหรัฐฯ ถือเป็นข้อตกลงที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อีกทั้งยังเอื้อให้ภาคธุรกิจของ EU ชิงความได้เปรียบเหนือบรรดาคู่แข่งจากนานาชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ

ฟอน เดอร์ เลเยน กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภายุโรปในวันนี้ (10 ก.ย.) ว่า “เราได้ยืนหยัดจนยุโรปบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และได้วางรากฐานให้บริษัทต่าง ๆ ของเราอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ เพราะคู่แข่งโดยตรงบางรายต้องแบกรับภาระภาษีของสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงกว่ามาก”

ถ้อยแถลงของเธอมีขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์จากบรรดาสมาชิกรัฐสภายุโรป เนื่องจากสาระสำคัญของข้อตกลงคือ EU จะยอมลดอัตราภาษีของตนลง แต่สหรัฐฯ กลับตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจาก EU ที่อัตรา 15% ทั้งนี้ รัฐสภายุโรปจะต้องลงมติในข้อเสนอของ EC ว่าด้วยการยกเลิกภาษีต่อสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

ฟอน เดอร์ เลเยน ชี้แจงต่อไปว่า แม้เป็นความจริงที่คู่แข่งบางรายได้รับการลดหย่อนภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตราต่ำกว่า 15% ที่ EU ต้องเผชิญ ทว่าจุดแข็งของ EU คือการยืนกรานจนเป็นผลสำเร็จที่จะไม่ต้องแบกรับภาระภาษีที่มีอยู่เดิมซ้อนเข้ามาอีก อันเป็นเงื่อนไขที่คู่แข่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับ

ประธาน EC ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในแต่ละปี EU ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านยูโร (5.852 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) อันเป็นมูลค่ามหาศาลที่หล่อเลี้ยงการจ้างงานของผู้คนหลายล้าน

ฟอน เดอร์ เลเยน กล่าวว่า “ข้อตกลงฉบับนี้เป็นหลักประกันเสถียรภาพอันสำคัญยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสหรัฐฯ ในยามที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงอย่างรุนแรง ลองนึกดูว่าหากสงครามการค้าปะทุขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ผลสะท้อนที่เกิดขึ้นจะวุ่นวายเพียงใด”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ย. 68)

ทำไมฟอน เดอร์ เลเยน ป้องดีล EU-สหรัฐฯ ดีสุดแล้ว ถึงสำคัญ?

ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความซับซ้อนของเงื่อนไขและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก การที่ เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ออกมาปกป้องข้อตกลงนี้ ย่อมส่งสัญญาณที่สำคัญหลายประการ

หนึ่งในประเด็นหลักที่ฟอน เดอร์ เลเยน เน้นย้ำคือ ข้อตกลงนี้เป็น “ข้อตกลงที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” สำหรับ EU ซึ่งหมายความว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความท้าทายและความไม่แน่นอนสูง EU ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับสมาชิก

นอกจากนี้ ฟอน เดอร์ เลเยน ยังชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบที่บริษัทใน EU จะได้รับจากข้อตกลงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากประเทศอื่น ๆ ที่อาจต้องเผชิญกับภาระภาษีที่สูงกว่าในสหรัฐฯ การที่ EU สามารถรักษาข้อตกลงที่ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีซ้อน ทำให้บริษัทใน EU มีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในรัฐสภายุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ว่า EU จะต้องลดอัตราภาษีของตนเอง ในขณะที่สหรัฐฯ ยังคงตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจาก EU ในอัตรา 15% ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่ารัฐสภายุโรปจะลงมติอย่างไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ฟอน เดอร์ เลเยน ป้องดีล EU-สหรัฐฯ ดีสุดแล้ว ท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การรักษาเสถียรภาพในความสัมพันธ์ระหว่าง EU และสหรัฐฯ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ข้อตกลงทางการค้าฉบับนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการเกิดสงครามการค้าที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก

ทำไมดีล EU-สหรัฐฯ จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก?

การค้าระหว่าง EU และสหรัฐฯ มีมูลค่ามหาศาล โดยในแต่ละปี EU ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ การที่ฟอน เดอร์ เลเยน ออกมาปกป้องข้อตกลงนี้ จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า EU ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพและความต่อเนื่องในการค้ากับสหรัฐฯ

ดังนั้น การที่ฟอน เดอร์ เลเยนออกมาปกป้องข้อตกลงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ EU ในการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเอง ท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ข้อตกลงนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและประชาชนใน EU ว่า EU จะยังคงเป็นผู้เล่นที่สำคัญในเวทีการค้าโลกต่อไป

จับตาการลงมติของรัฐสภายุโรปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะการตัดสินใจของพวกเขาจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออนาคตของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง EU และสหรัฐฯ

ที่มา – ฟอน เดอร์ เลเยน ป้องดีล EU-สหรัฐฯ ดีสุดแล้ว ชาติอื่นเจอภาษีสูงกว่า

ลุตนิกเผย สหรัฐฯ เตรียมประกาศข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้

โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ เตรียมประกาศเกี่ยวกับข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้

ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันจันทร์ (25 ส.ค.) ลุตนิกได้กล่าวถึงแผนการดังกล่าวขณะพูดถึงความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และภาคเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์อื่น ๆ ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์ไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“เราจำเป็นต้องผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ยาปฏิชีวนะ และแร่หายากในอเมริกา และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ให้ความสำคัญ” ลุตนิกกล่าว พร้อมเสริมว่า “ข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้ซึ่งเราจะประกาศ มีมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ เกิดขึ้นได้โดยโดนัลด์ ทรัมป์ และเขาสามารถนำไปใช้ลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้”

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อตกลงที่ลุตนิกเอ่ยถึงคือ เอกสารร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่แจกแจงรายละเอียดของข้อตกลงการค้าที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกันเมื่อวันที่ 22 ก.ค. แต่ยังไม่ได้จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร

ภายใต้ข้อตกลงนี้ ญี่ปุ่นให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงหลายปีข้างหน้า โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และทีมงานของเขาเคยกล่าวว่า การลงทุนของญี่ปุ่นในสหรัฐฯ จะเป็นไปตามการชี้แนะของปธน.ทรัมป์ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นอธิบายว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงตัวเลขที่คาดว่าจะเป็นไปได้ ด้วยการรวมการลงทุน เงินกู้ และการค้ำประกันเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่บริษัทญี่ปุ่นจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ หรือไม่ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน ลุตนิกเคยกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนจะเผยแพร่เอกสารอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อตกลงภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ลุตนิกเผย สหรัฐฯ เตรียมประกาศข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้

ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกในวงกว้าง การลงทุนจำนวนมหาศาลจากญี่ปุ่นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสร้างงานจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ข้อตกลงนี้จะช่วยให้ญี่ปุ่นเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจของญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น รายละเอียดของข้อตกลงที่ยังไม่เปิดเผยทั้งหมด และความตั้งใจจริงของบริษัทญี่ปุ่นในการลงทุนในสหรัฐฯ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะสนับสนุน แต่การตัดสินใจลงทุนจริงจะขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางธุรกิจของแต่ละบริษัทเป็นหลัก

ผลกระทบของข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้

  • การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
  • การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
  • การสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ

การประกาศข้อตกลงการค้าดังกล่าวถือเป็นข่าวดีสำหรับทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่สิ่งสำคัญคือต้องติดตามรายละเอียดและผลกระทบที่แท้จริงของข้อตกลงนี้ในระยะยาว การวิเคราะห์อย่างรอบคอบจะช่วยให้เราเข้าใจถึงศักยภาพและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจครั้งนี้

จับตาดูรายละเอียดของข้อตกลงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ!

ที่มา – ลุตนิกเผย สหรัฐฯ เตรียมประกาศข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นภายในสัปดาห์นี้

ขุนคลังสหรัฐฯ ปัดจีนลงทุน แลกดีลการค้า

สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่า จีนจะลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้า เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมจำเป็นต้องลดการพึ่งพาจีน

เบสเซนต์กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันอังคาร (12 ส.ค.) โดยเขาเชื่อว่า การลงทุนจากจีนจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม่เหล็กแร่หายาก ยา หรือเหล็กกล้า เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการหรือเงินทุนจากการเข้าซื้อกิจการจะมุ่งตรงไปยังอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งหลายอุตสาหกรรมจำเป็นต้องลดการพึ่งพาจีน

การแสดงความเห็นดังกล่าวของเบสเซนต์สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งรวมถึงประเด็นปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ขณะเดียวกัน เบสเซนต์ยังเปิดเผยด้วยว่า เขามีแผนจะพบปะหารือกับเจ้าหน้าที่จีนอีกครั้งภายใน 2–3 เดือนข้างหน้า พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการให้จีนดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตเฟนทานิล ก่อนที่สหรัฐฯ จะพิจารณาลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว ตามที่ผู้นำสหรัฐฯ เคยประกาศไว้

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายเวลาชะลอการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พ.ย. ซึ่งการขยายระยะเวลาสงบศึกทางการค้านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายมีเวลามากขึ้นในการหาข้อตกลงร่วมกัน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เห็นถึงความตึงเครียดที่ยังคงมีอยู่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าจะมีสัญญาณของการเจรจาและการผ่อนปรนทางการค้าบ้าง แต่ประเด็นเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีก็ยังคงเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จีนจะลงทุนในสหรัฐฯ แลกดีลการค้า แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงระมัดระวังในการ التعامل กับจีนในด้านการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์

ขุนคลังสหรัฐฯ ปฏิเสธความเป็นไปได้จีนลงทุนในสหรัฐฯ แลกดีลการค้า

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ และอาจนำไปสู่การตอบโต้จากจีนในอนาคต อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

ทำไมขุนคลังสหรัฐฯ ถึงปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จีนจะลงทุนในสหรัฐฯ แลกดีลการค้า?

เหตุผลหลักที่ขุนคลังสหรัฐฯ ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จีนจะลงทุนในสหรัฐฯ แลกดีลการค้า คือความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ สหรัฐฯ มองว่าการลงทุนของจีนในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แม่เหล็กแร่หายาก และยา อาจทำให้จีนมีอำนาจควบคุมเหนืออุตสาหกรรมเหล่านี้ และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในระยะยาว

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการจารกรรมทางเศรษฐกิจของจีน การที่จีนเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ อาจทำให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลที่เป็นความลับของสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการจารกรรมทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ก็อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ และอาจนำไปสู่การตอบโต้จากจีนในอนาคต สหรัฐฯ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม

โดยสรุปแล้ว ประเด็นเรื่อง ขุนคลังสหรัฐฯ ปฏิเสธความเป็นไปได้จีนลงทุนในสหรัฐฯ แลกดีลการค้า เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีหลายแง่มุมที่ต้องพิจารณา สหรัฐฯ ต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและยั่งยืน

ที่มา – ขุนคลังสหรัฐฯ ปฏิเสธความเป็นไปได้จีนลงทุนในสหรัฐฯ แลกดีลการค้า

สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วันแล้ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะกลับไปสูงถึงเลขหลักร้อย

เดิมที ข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีกำหนดจะสิ้นสุดในวันนี้ (12 ส.ค.) เวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หรือ 11:01 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย คำสั่งดังกล่าวจึงช่วยยับยั้งไม่ให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ พุ่งแตะ 125%

ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีในอัตรา 30% ซึ่งประกอบด้วยอัตราพื้นฐาน 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลอีก 20% ส่วนจีนก็ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ลงมาที่ 10% เช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายเคยประกาศพักรบในข้อพิพาทการค้าหลังการเจรจาที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค. โดยตกลงระยะเวลา 90 วันสำหรับเจรจาต่อไป ก่อนจะพบกันอีกครั้งที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ปลายเดือนก.ค. แต่ไม่ได้ประกาศขยายเวลาพักรบการค้าเพิ่มเติม

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากช่วยลดความผันผวนและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเลื่อนขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลามากขึ้นในการเจรจาและหาทางออกร่วมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน นี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในหลายประเทศ ผู้ประกอบการจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน

การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน นั้น มีนัยสำคัญหลายประการ ประการแรก แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจากับจีน และพร้อมที่จะหาทางออกร่วมกันผ่านการเจรจา ประการที่สอง สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นต่อเศรษฐกิจของตนเอง

การเลื่อนขึ้นภาษียังมีผลต่อตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย ข่าวนี้อาจช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนและช่วยให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง

ในส่วนของผู้บริโภค การเลื่อนขึ้นภาษีอาจช่วยชะลอการขึ้นราคาสินค้าบางประเภทที่นำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ผู้บริโภคอาจยังคงต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป

ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้บริโภคควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดโลก การติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การเจรจาและการประนีประนอมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถหาทางออกร่วมกันได้ แต่การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน

ที่มา – สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ก่อนเส้นตายไม่กี่ชั่วโมง