ข่าวต่างประเทศ

สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์” สะเทือนก่อนเลือกตั้ง

สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์” ซ้ำสอง สะเทือนคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งกลางเทอม

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (2 ต.ค.) สมาชิกรัฐสภาอาร์เจนตินาลงมติคว่ำคำสั่งวีโต้ 2 ฉบับของประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเลย์ นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของมิเลย์ ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งจะชี้อนาคตนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของปธน.มิเลย์

วุฒิสภาซึ่งฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก ได้ลงมติอย่างท่วมท้นเพื่อล้มล้างวีโต้ของปธน.มิเลย์ต่อร่างกฎหมายเพิ่มงบประมาณให้มหาวิทยาลัยของรัฐและระบบสาธารณสุขสำหรับเด็ก ด้วยคะแนน 59 ต่อ 7 เสียง และ 58 ต่อ 7 เสียง ตามลำดับ

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนก.ย. รัฐสภาอาร์เจนตินาเพิ่งล้มล้างวีโต้ของปธน.มิเลย์เป็นครั้งแรก โดยผ่านร่างกฎหมายเพิ่มสวัสดิการแก่ผู้พิการ

สถานการณ์ของปธน.มิเลย์ในขณะนี้ถือว่าเปราะบางอย่างยิ่ง ขณะที่ประเทศกำลังจะมีการเลือกตั้งกลางเทอม อีกทั้งคะแนนนิยมของปธน.มิเลย์ก็กำลังลดลง ท่ามกลางข่าวฉาวเรื่องคอร์รัปชันและความเอือมระอาของประชาชนต่อมาตรการรัดเข็มขัด นอกจากนี้ ปธน.มิเลย์ไม่สามารถสร้างพันธมิตรกับกลุ่มผู้ว่าการรัฐได้ ทั้ง ๆ ที่คนกลุ่มนี้มีอิทธิพลต่อเสียงโหวตของสมาชิกรัฐสภาในพื้นที่ของตน

เมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่งแสดงท่าทีสนับสนุนปธน.มิเลย์ โดยกล่าวว่าจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้ตลาดการเงินของอาร์เจนตินา

ผู้นำทั้งสองคาดว่าจะพบปะกันในเดือนต.ค. นี้ ขณะที่ปธน.มิเลย์กำลังพยายามเจรจาข้อตกลงเครดิตสวอป (credit swap line) กับทางสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าปธน.มิเลย์ยังจำเป็นต้องได้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมที่ดี เพื่อรักษาความคืบหน้าในการฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เขาทำไว้ไม่ให้ต้องสั่นคลอน

ผลกระทบจากการที่ สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์”

การที่สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์” ซ้ำสอง สะเทือนคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งกลางเทอมนั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะมาถึง ความพ่ายแพ้ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่ประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเลย์กำลังเผชิญในการผลักดันนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเขา

ไม่เพียงเท่านั้น เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนต่อมาตรการรัดเข็มขัดและความกังวลเกี่ยวกับปัญหาคอร์รัปชันที่เกิดขึ้น การที่สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์” ซ้ำสอง สะเทือนคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งกลางเทอม อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ หากผลการเลือกตั้งกลางเทอมไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้

การที่ทรัมป์ให้การสนับสนุนมิเลย์อาจช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์” ซ้ำสอง สะเทือนคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งกลางเทอม ได้ทั้งหมด มิเลย์ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมายในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดังนั้น การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของอาร์เจนตินา และผลการเลือกตั้งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต

ที่มา – สภาอาร์เจนตินาล้มวีโต้ “มิเลย์” ซ้ำสอง สะเทือนคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งกลางเทอม

เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ หนุน GDP ปีนี้

เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ หวังหนุน GDP โตตามเป้า 8.5% ปีนี้

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางเวียดนามเปิดเผยว่า ธนาคารกลางคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 19-20% ในปีนี้ โดยจะเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การผลักดันให้ เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ อย่างต่อเนื่องนี้ เป็นความหวังที่จะทำให้ GDP ของประเทศเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ฝ่าม จิ กวาง ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงิน กล่าวว่า ธนาคารกลางเวียดนามจะเข้มงวดในการจำกัดการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมควบคุมไม่ให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น สินเชื่อในระบบเพิ่มขึ้น 13.37% ณ วันที่ 29 ก.ย. เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา การควบคุมความเสี่ยงไปพร้อมๆ กับการ เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง

ฝ่าม ทันห์ ฮา รองผู้ว่าการธนาคารกลาง กล่าวในการแถลงข่าวว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์กำลังอยู่ในทิศทางขาลง และเรียกร้องให้ปรับลดลงเพิ่มเติม สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกในปีนี้ยังคงผันผวน ทั้งจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ความเสี่ยงของสงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ เวียดนามตั้งเป้าให้เศรษฐกิจเติบโต 8.3-8.5% ในปีนี้ เร่งตัวจาก 7.09% ในปีก่อน โดยการขยายตัวของสินเชื่อถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี นักวิชาการชั้นนำได้เตือนสภานิติบัญญัติเวียดนามเมื่อเดือนก่อนว่า การขยายตัวของสินเชื่อที่รวดเร็วเกินไปอาจก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์

ความท้าทายของการขยายสินเชื่อในเวียดนาม

ถึงแม้ว่าการ เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญคือการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น หากไม่มีการควบคุมและกำกับดูแลที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินได้

นอกจากนี้ การขยายตัวของสินเชื่อที่รวดเร็วเกินไป อาจก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ดังนั้น ธนาคารกลางเวียดนามจึงต้องมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน และให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมความเสี่ยง

อีกหนึ่งความท้าทายคือการกระจายสินเชื่อไปยังภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง หากสินเชื่อกระจุกตัวอยู่ในบางภาคส่วนเท่านั้น ก็จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น รัฐบาลและธนาคารกลางเวียดนามจึงต้องส่งเสริมให้มีการกระจายสินเชื่อไปยังภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง และภาคบริการ เพื่อให้ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้

โดยรวมแล้ว การ เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ หวังหนุน GDP โตตามเป้า 8.5% ปีนี้ ถือเป็นนโยบายที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม แต่ก็ต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงและความท้าทายต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้การขยายตัวของสินเชื่อเป็นไปอย่างยั่งยืน และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว

การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเวียดนาม เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตั้งไว้ได้

ที่มา – เวียดนามเดินหน้าขยายสินเชื่อ หวังหนุน GDP โตตามเป้า 8.5% ปีนี้

แอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock: เหตุผลและผลกระทบ

เกิดอะไรขึ้นกับแอปพลิเคชัน ICEBlock ใน App Store? มาเจาะลึกเหตุการณ์ที่ทำให้แอปเปิ้ลตัดสินใจแอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock ออกจากแพลตฟอร์มของตน หลังจากการกดดันจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา เรื่องราวนี้มีความซับซ้อนกว่าที่เห็น และมีหลายแง่มุมที่น่าสนใจที่เราจะมาพูดคุยกัน

ทำไมแอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock จาก App Store

เมื่อไม่นานมานี้ แอปเปิ้ล อิงค์ (Apple Inc.) ได้ทำการถอดแอปพลิเคชัน ICEBlock และแอปอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันออกจาก App Store การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของแอปเหล่านี้ในการติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐ (ICE) โดยไม่ระบุตัวตน ซึ่งอาจนำไปสู่การคุกคามหรือเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ได้

แรงกดดันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ, แพม บอนดี, เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ โดยบอนดีกล่าวว่าแอป ICEBlock เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ICE ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เธอเน้นย้ำว่าการกระทำใด ๆ ที่ทำให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายตกอยู่ในความเสี่ยงนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการเมืองสูงเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนและมีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง การที่แอปเปิ้ลตัดสินใจแอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock จึงเป็นการตอบสนองต่อความกังวลด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองนี้

เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถอดแอป ICEBlock

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีสำนักงาน ICE ในเมืองดัลลัส โดยมือปืนรายหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า โจชัว จาห์น ได้ก่อเหตุสังหารผู้อพยพที่ถูกควบคุมตัว 2 รายและทำให้ผู้อพยพอีก 1 รายได้รับบาดเจ็บ จากการสอบสวนพบว่าผู้อพยพเหล่านี้ได้ทำการค้นหาแอปที่ใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ ICE ก่อนเกิดเหตุ

เจ้าหน้าที่ FBI กล่าวว่ามือปืนมีเจตนาที่จะสังหารเจ้าหน้าที่ ICE และเหตุการณ์ดังกล่าวจบลงด้วยการที่มือปืนปลิดชีพตัวเอง เหตุการณ์นี้ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ ICE เผชิญอยู่ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แอปเปิ้ลตัดสินใจที่จะแอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock ออกจาก App Store

ทางด้านแอปเปิ้ลก็ได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงถึงเหตุผลในการถอดแอปดังกล่าว โดยระบุว่า App Store ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับผู้ใช้ในการค้นหาแอปพลิเคชันต่าง ๆ

“เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่เราได้รับจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ ICEBlock เราจึงได้นำแอปนี้และแอปที่คล้ายกันออกจาก App Store” แถลงการณ์ของแอปเปิ้ลระบุ

ข้อมูลจาก Appfigures ซึ่งเป็นบริษัทติดตามแอปพลิเคชัน แสดงให้เห็นว่าแอป ICEBlock มีจำนวนการดาวน์โหลดมากกว่า 1 ล้านครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวในปีนี้ โดยมียอดดาวน์โหลดสูงสุดเกือบ 114,000 ครั้งภายในวันเดียวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม แสดงให้เห็นถึงความนิยมของแอปนี้ก่อนที่จะถูกถอดออกจาก App Store

การตัดสินใจครั้งนี้ของแอปเปิ้ลเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน App Store และความรับผิดชอบของบริษัทในการปกป้องความปลอดภัยของผู้ใช้งานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

โดยรวมแล้ว การที่แอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock ออกจาก App Store เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท แม้ว่าการตัดสินใจนี้อาจทำให้ผู้ใช้งานบางส่วนไม่พอใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แอปพลิเคชันในทางที่ผิด

ที่มา – แอปเปิ้ลถอดแอป ICEBlock จาก App Store แล้ว หลังก.ยุติธรรมสหรัฐฯกดดัน หวั่นจนท.ถูกคุกคาม

พบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน ยกเลิก 17 เที่ยวบิน

เกิดเหตุวุ่นวายที่สนามบินมิวนิก ประเทศเยอรมนี เมื่อมีการพบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน ส่งผลให้เที่ยวบินจำนวนมากต้องถูกยกเลิกและเปลี่ยนเส้นทาง สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้โดยสารจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทำให้หอบังคับการบินต้องสั่งระงับการให้บริการเป็นการชั่วคราว

ตามแถลงการณ์ของสนามบินมิวนิก ระบุว่า การพบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน ส่งผลให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินไปถึง 17 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารเกือบ 3,000 คนได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีเที่ยวบินขาเข้าอีก 15 เที่ยวบินที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปลงจอดที่สนามบินอื่นแทน เช่น สนามบินในเมืองชตุทการ์ท นูเรมเบิร์ก เวียนนา และแฟรงก์เฟิร์ต

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็นอีกครั้งที่โดรนก่อให้เกิดปัญหาในการบินในทวีปยุโรป ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อน สนามบินในประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ก็เคยต้องปิดให้บริการชั่วคราวเนื่องจากเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้

ทางสนามบินมิวนิกได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หอบังคับการบินของเยอรมนีได้เริ่มจำกัดการขึ้นลงของอากาศยานที่สนามบินมิวนิกตั้งแต่เวลา 22:18 น. ของคืนวันพฤหัสบดี ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งระงับเที่ยวบินทั้งหมดในเวลาต่อมา หลังจากมีการพบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน หลายครั้งในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง

พบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน

สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างตึงเครียดในเมืองมิวนิกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเทศกาลเบียร์อ็อกโทเบอร์เฟสต์อันโด่งดังเพิ่งจะถูกสั่งปิดชั่วคราวเนื่องจากมีการขู่วางระเบิด นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบวัตถุระเบิดในอาคารที่พักอาศัยทางตอนเหนือของเมืองอีกด้วย

ความเป็นไปได้และข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับโดรนปริศนา

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเดนมาร์กเมื่อสัปดาห์ก่อน ทางการเดนมาร์กได้เรียกโดรนเหล่านี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจู่โจมแบบผสมผสาน แต่ก็ปฏิเสธที่จะระบุว่าใครเป็นผู้กระทำหรือกลุ่มใดที่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี เมตเต เฟรเดอริกเซน ได้คาดการณ์ว่า อาจจะเป็นฝีมือของรัสเซีย โดยชี้ว่ารัสเซียเป็นประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของยุโรป

ในขณะเดียวกัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้กล่าวติดตลกว่าจะไม่ส่งโดรนไปบินเหนือเดนมาร์กอีก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลรัสเซียยังคงยืนกรานปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน และความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากโดรน การนำเทคโนโลยีตรวจจับและต่อต้านโดรนมาใช้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสนามบินจะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารทุกคน นอกจากนี้ การสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดและแรงจูงใจเบื้องหลังการพบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

ที่มา – พบโดรนปริศนาทำสนามบินมิวนิกป่วน สั่งยกเลิก 17 เที่ยวบิน กระทบผู้โดยสารเกือบ 3 พัน

PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. ยังโตแกร่ง!

ผลสำรวจล่าสุดเผยว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนทางกับภาคการผลิตที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย นี่เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม

PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นจาก S&P Global ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 53.3 ในเดือนกันยายน จาก 53.1 ในเดือนสิงหาคม ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของภาคบริการอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น

การเติบโตของ PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. นี้ ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดคำสั่งซื้อใหม่ภายในประเทศ ในขณะที่ยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศกลับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ภาคบริการยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับปริมาณงานที่มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่มีต่อแนวโน้มในอนาคต

ปัจจัยขับเคลื่อน PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.

ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคบริการของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแผนการขยายธุรกิจและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทต่าง ๆ ยังคงต้องรับมือกับต้นทุนค่าแรง ค่าวัตถุดิบ และค่าเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้จำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคโดยการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ

ถึงแม้ว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. จะแสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับไม่ได้สดใสเท่าที่ควร ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนกันยายน จาก 52.0 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม สาเหตุหลักมาจากการหดตัวอย่างรุนแรงของภาคการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลและต้องได้รับการแก้ไข

นักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า ผลสำรวจนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของอุปสงค์ภายในประเทศในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ ทั้งผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการต่างประสบปัญหาการลดลงของยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการพึ่งพาการส่งออกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น การมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาจเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่าในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวสำหรับประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานและการลดต้นทุนการผลิตก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ภาคการผลิตสามารถกลับมาฟื้นตัวและมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

โดยสรุปแล้ว แม้ว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. จะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของภาคบริการ แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การผสมผสานนโยบายที่เน้นการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การสนับสนุนภาคธุรกิจ และการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม

ที่มา – PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.ยังโตแกร่ง สวนทางภาคการผลิตซบเซา

ญี่ปุ่น: อัตราว่างงานพุ่ง 2.6% สูงสุดในรอบ 13 เดือน

สถานการณ์ตลาดแรงงานในญี่ปุ่นกำลังเป็นที่จับตามอง เมื่อกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งไปแตะ 2.6% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือนเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในเดือนกรกฎาคม สาเหตุหลักมาจากการที่พนักงานจำนวนมากมองหางานใหม่ที่ให้ผลตอบแทนและโอกาสที่ดีกว่าเดิม

อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง: เกิดอะไรขึ้น?

นอกจาก อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง แล้ว ทางการญี่ปุ่นยังได้เปิดเผยข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่น่าสนใจอีกด้วย อัตราส่วนตำแหน่งงานต่อผู้สมัครงานในเดือนสิงหาคมลดลง 0.02 จุดจากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.20 จุด ซึ่งหมายความว่า ในปัจจุบัน มีตำแหน่งงานว่าง 120 ตำแหน่งสำหรับผู้สมัครงานทุกๆ 100 คน

ในส่วนของจำนวนผู้ที่มีงานทำนั้น พบว่าลดลง 0.3% สู่ระดับ 68.1 ล้านคน ในขณะที่จำนวนผู้ที่ว่างงานกลับเพิ่มขึ้นถึง 9.1% หรือคิดเป็นจำนวน 1.79 ล้านคน

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของกลุ่มผู้ว่างงาน พบว่ามีจำนวน 770,000 คนที่ลาออกจากงานโดยสมัครใจ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะลาออกเพื่อมองหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 13.2% จากเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ยังมีจำนวน 430,000 คนที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งเพิ่มขึ้น 19.4%

ทำไมอัตราว่างงานญี่ปุ่นถึงพุ่งสูงขึ้น?

การที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี สะท้อนให้เห็นว่าภาวะตลาดแรงงานของญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอลงเล็กน้อย สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่นักลงทุนในตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้

ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเรื้อรังยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำเนินงานของธุรกิจในญี่ปุ่น ข้อมูลจาก Tokyo Shoko Research ระบุว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ มีบริษัทถึง 237 แห่งที่ต้องยื่นล้มละลายเนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริษัทจำนวนมากระบุว่าไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของผู้สมัครงานที่ต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้นได้

เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว หลายบริษัทในญี่ปุ่นจึงหันไปพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น รายงานระบุว่า ณ เดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานญี่ปุ่นจำนวน 2.3 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์ อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง สูงขึ้นนี้ เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหางานในญี่ปุ่น หรือผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดแรงงานของญี่ปุ่น การติดตามข้อมูลและแนวโน้มต่างๆ อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

การที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน หรือหางานใหม่ที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ และการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้งานที่ใช่และผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ที่มา – อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งแตะ 2.6% ในเดือนส.ค. สูงสุดในรอบ 13 เดือน

ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดแทงหน้าโบสถ์ยิวแมนเชสเตอร์

เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อตำรวจอังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายราย เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงและความเสียใจให้กับผู้คนในชุมชนและทั่วโลก

ตำรวจเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ ได้ยืนยันถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย จากเหตุแทงกันที่เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกโบสถ์ยิวฮีตันพาร์ค บนถนนมิดเดิลตัน ในย่านครัมป์ซอลล์ เมืองแมนเชสเตอร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา สร้างความโศกเศร้าให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้

นอกจากผู้เสียชีวิต 2 รายแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 ราย ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในอาการสาหัส และได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชายคนที่ 3 ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงวิสามัญ และคาดว่าเสียชีวิตแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังรอการยืนยันอย่างเป็นทางการ เนื่องจากพบวัตถุต้องสงสัยบนร่างกายของผู้เสียชีวิต ทำให้ต้องมีการส่งหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ามาตรวจสอบพื้นที่

ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำอังกฤษ ได้ออกมาแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยกล่าวว่า “ตำรวจกำลังระดมกำลังเพิ่มเติมไปยังโบสถ์ยิวทั่วประเทศ” เพื่อรักษาความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่

ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลา 9.31 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีผู้แจ้งว่าพบคนขับรถพุ่งชนคนบนทางเท้า และมีชายคนหนึ่งถูกแทง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะยิงใส่ผู้ต้องสงสัยเมื่อเวลา 9.38 น. การตอบสนองอย่างรวดเร็วของเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นมากกว่านี้

ผลกระทบจากเหตุการณ์ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์

เหตุการณ์ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์ ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความเชื่อมั่นของประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน

แอนดี เบิร์นแฮม นายกเทศมนตรีเมืองแมนเชสเตอร์ ได้กล่าวกับสำนักข่าวบีบีซีก่อนหน้านี้ว่า ประชาชนควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว แต่รับประกันกับประชาชนว่า “อันตรายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ดูเหมือนจะจบลงแล้ว” เพื่อให้ประชาชนคลายความกังวลและสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในสังคม การป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน

การสร้างสังคมที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคนต้องอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกัน การเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองในสังคม

เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหายจากอาการป่วยโดยเร็ว เราหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต และขอให้สังคมของเรามีความสงบสุขและปลอดภัยสำหรับทุกคน

ที่มา – ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์ เหยื่อดับ 2 ศพ

EU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 50% สอดคล้องสหรัฐฯ

สื่อต่างประเทศรายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) เตรียมเสนอปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 50% สอดคล้องสหรัฐฯ หลังเหล็กจีนทะลัก

สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณามาตรการใหม่ในการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 50% ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับมาตรการที่สหรัฐฯ ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์เหล็กล้นตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กที่มาจากประเทศจีน

ปัจจุบัน EU ใช้มาตรการชั่วคราวในการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของตนเอง โดยมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กที่นำเข้าเกินกว่าโควตาที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม มาตรการชั่วคราวดังกล่าวมีกำหนดจะหมดอายุลงในปีหน้า ทำให้ EU ต้องเร่งดำเนินการเพื่อออกมาตรการถาวรมาทดแทน ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดของมาตรการดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า

คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ระบุว่า แผนการปรับขึ้นภาษีเป็น 50% นี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเบี่ยงเบนทางการค้า และจะมีการบังคับใช้มาตรการนี้ทันทีหลังจากที่สินค้านำเข้ามีปริมาณเกินกว่าโควตาที่กำหนดไว้

ที่น่าสนใจคือ แผนการดังกล่าวจะมีการกำหนดโควตาแยกตามประเภทของสินค้า โดยอิงจากค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา และ EC ยังเตรียมที่จะขออำนาจในการกำหนดโควตาตามแต่ละประเทศอีกด้วย ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการการนำเข้าเหล็กมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น

EU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 50%

การตัดสินใจของ EU ในการEU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 50% นี้ นับเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า EU ให้ความสำคัญกับการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศอย่างจริงจัง และพร้อมที่จะใช้มาตรการทางการค้าต่างๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กของตนเอง

ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกเหล็กจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก การที่ EU และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่สองแห่งพร้อมใจกันใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ อาจทำให้ผู้ผลิตเหล็กจากจีนต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาตลาดใหม่เพื่อรองรับปริมาณเหล็กที่อาจจะไม่สามารถส่งออกไปยัง EU และสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป

นอกจากผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กแล้ว การปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคใน EU เองด้วย เนื่องจากราคาเหล็กที่สูงขึ้นอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต่างๆ ที่ต้องใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม EU เชื่อว่าการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาการจ้างงานและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

EU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 50% ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กในระยะยาว การที่ EU สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศได้ จะช่วยให้ EU สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น และลดการพึ่งพาการนำเข้าเหล็กจากภายนอก

การEU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 50% เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายจากภาวะเหล็กล้นตลาด และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า EU พร้อมที่จะปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง

การปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของ EU ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดเหล็กโลกหรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ผู้ผลิตเหล็กจากทั่วโลกจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ที่มา – EU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 50% สอดคล้องสหรัฐฯ หลังเหล็กจีนทะลัก

Shein เตรียมเปิดหน้าร้านถาวรครั้งแรกในฝรั่งเศส พ.ย.นี้

Shein ปักหมุดฝรั่งเศส! เตรียมเปิดหน้าร้านถาวรครั้งแรก

ชีอิน (Shein) แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นออนไลน์ยักษ์ใหญ่ เตรียมสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศแผนเปิดหน้าร้านถาวรเป็นครั้งแรกในฝรั่งเศสภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นกับ Société des Grands Magasins (SGM) ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แม้ว่าการตัดสินใจนี้จะจุดประกายเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ค้าปลีกในฝรั่งเศสอย่างหนักก็ตาม

การเปิดตัวร้านค้า ณ ห้างเบ-อัช-เว (BHV) ในกรุงปารีส และห้างแกลเลอรี ลาฟาแยต (Galeries Lafayette) ในอีก 5 เมือง ถือเป็นก้าวสำคัญของชีอิน ที่ปกติมักจะจัดกิจกรรมป๊อปอัปสโตร์ระยะสั้นเพื่อสร้างกระแสเท่านั้น โดยสาขาแรกจะเปิดบนชั้น 6 ของห้าง BHV ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และตามด้วยการเปิดตัวในห้างแกลเลอรี ลาฟาแยต ที่เมืองดีฌง, เกรอน็อบล์, แร็งส์, ลีมอฌ และอ็องเฌในเวลาต่อมา

เฟรเดริก แมร์แล็ง ประธาน SGM มองว่าการเปิดตัวครั้งนี้จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นให้เข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าลูกค้าคนเดียวกันอาจจะสามารถซื้อสินค้าจากชีอินควบคู่ไปกับการเลือกซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมได้ในวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เครือแกลเลอรี ลาฟาแยต ซึ่งเป็นผู้ให้สิทธิ์ SGM ในการบริหารห้างภายใต้ชื่อของตนในรูปแบบแฟรนไชส์ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้อย่างชัดเจน โดยอ้างถึงการละเมิดข้อตกลง และยืนยันว่าจะหาทางยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้น

แถลงการณ์จากเครือแกลเลอรี ลาฟาแยต ระบุว่า “แกลเลอรี ลาฟาแยต ไม่สนับสนุนการตัดสินใจนี้ เนื่องจากจุดยืนและแนวทางของแบรนด์อัลตร้าฟาสต์แฟชั่นรายนี้ ขัดแย้งกับสินค้าและคุณค่าของแบรนด์เราอย่างสิ้นเชิง”

ชีอิน ซึ่งเป็นที่รู้จักจากสินค้าราคาประหยัด กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากผู้ค้าปลีก นักการเมือง และหน่วยงานภาครัฐในฝรั่งเศส ก่อนหน้านี้ สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาร่างกฎหมายควบคุมฟาสต์แฟชั่น ซึ่งหากมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ชีอินไม่สามารถทำการโฆษณาในประเทศได้

ความสามารถในการจำหน่ายสินค้าในราคาที่ต่ำของชีอิน มาจากรูปแบบธุรกิจที่เน้นการส่งสินค้าตรงจากโรงงานในประเทศจีนไปยังลูกค้าทั่วโลก โดยได้รับประโยชน์จากกฎหมายศุลกากรที่ยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำ

ผู้บริหารของชีอินเคยกล่าวว่า ความสำเร็จของบริษัทมาจากรูปแบบธุรกิจออนไลน์ ที่ช่วยลดปัญหาเรื่องสินค้าค้างสต๊อก ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งกับร้านค้าทั่วไป ดังนั้น การตัดสินใจเปิดหน้าร้านจริงจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่อาจส่งผลให้บริษัทต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการสต๊อกสินค้าหน้าร้าน

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชีอินกำลังปรับตัวในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ ซึ่งได้ยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ (de minimis) อย่างถาวร เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป (EU) ที่กำลังพิจารณามาตรการที่คล้ายคลึงกัน

Shein เตรียมเปิดหน้าร้านถาวรครั้งแรกในฝรั่งเศส พ.ย.นี้

การขยายธุรกิจของ Shein สู่การมีหน้าร้านจริงในฝรั่งเศส ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น การบริหารจัดการต้นทุน และการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของ Shein ในตลาดฝรั่งเศส จะเป็นบทพิสูจน์ถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นออนไลน์ยักษ์ใหญ่นี้

การเคลื่อนไหวของ Shein ในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแบรนด์กำลังพยายามปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในด้านกฎหมายและการแข่งขันในตลาด แต่การเปิดหน้าร้านถาวรครั้งแรกในฝรั่งเศสนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ที่มา – Shein ปักหมุดห้างดังฝรั่งเศส จ่อเปิดหน้าร้านถาวรครั้งแรกพ.ย.นี้ แม้เจอเสียงค้าน

ผู้นำลาวเยือนเกาหลีเหนือ ฉลอง 80 ปีพรรคแรงงาน

นายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป. ลาว เตรียมเดินทางเยือนเกาหลีเหนือเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี การก่อตั้งพรรคแรงงานเกาหลี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเกาหลีเหนือ และเป็นแขกต่างชาติรายแรกที่เกาหลีเหนือยืนยันว่าจะเข้าร่วมงานนี้ การเดินทางเยือนครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

สำนักข่าวกลางเกาหลีรายงานว่า ผู้นำลาวเตรียมเดินทางเยือนเกาหลีเหนือตามคำเชิญของคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองการครบรอบในวันที่ 10 ต.ค. การเฉลิมฉลองครั้งนี้คาดว่าจะยิ่งใหญ่และมีการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร

หลายฝ่ายคาดว่า ดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซีย จะเดินทางไปยังเกาหลีเหนือเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจะยิ่งทำให้การรวมตัวครั้งนี้มีความสำคัญในระดับนานาชาติ

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม อาจเดินทางเยือนเกาหลีเหนือในเดือนต.ค. เช่นกัน ซึ่งจะเป็นทริปแรกในรอบเกือบ 20 ปีที่ผู้นำเวียดนามเยือนเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองชาติยังไม่ได้ยืนยันการเดินทางเยือนดังกล่าว

ทั้งนี้ เกาหลีเหนืออาจจัดขบวนสวนสนามครั้งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบการก่อตั้งพรรค โดยอาจจัดขบวนสวนสนามในเวลากลางคืน และมีกำลังพลหลายหมื่นนายเข้าร่วม การเฉลิมฉลองนี้ถูกจับตามองจากทั่วโลกเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี

ผู้นำลาวเตรียมเยือนเกาหลีเหนือ ร่วมงานฉลองครบรอบ 80 ปี ก่อตั้งพรรคแรงงาน

การเดินทางเยือนเกาหลีเหนือของผู้นำลาวในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ และยังเป็นโอกาสให้ผู้นำจากหลายประเทศได้พบปะหารือกันในบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคนี้จะมีความตึงเครียดอยู่บ้างก็ตาม

ความสำคัญของการเยือนเกาหลีเหนือของผู้นำลาว

การเยือนเกาหลีเหนือของผู้นำลาวเป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศลาวและเกาหลีเหนือ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามเย็น การที่ผู้นำลาวเดินทางไปร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี การก่อตั้งพรรคแรงงาน แสดงให้เห็นถึงความเคารพและความเชื่อมั่นที่ลาวมีต่อเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ การเยือนครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้ทั้งสองประเทศได้หารือถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน

นอกจากนี้ การที่ผู้นำลาวเตรียมเยือนเกาหลีเหนือ ร่วมงานฉลองครบรอบ 80 ปี ก่อตั้งพรรคแรงงาน ยังเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญไปยังประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ การปรากฏตัวของผู้นำจากประเทศอื่นในการเฉลิมฉลองนี้ แสดงให้เห็นว่าเกาหลีเหนือยังมีมิตรประเทศที่พร้อมจะสนับสนุนและให้ความร่วมมือ

อย่างไรก็ตาม การเยือนเกาหลีเหนือของผู้นำลาวก็อาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกระแสโลกที่ต้องการให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นโอกาสให้ลาวสามารถใช้ความสัมพันธ์อันดีกับเกาหลีเหนือในการเป็นตัวกลางเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดในภูมิภาคได้เช่นกัน

การที่รัสเซียและเวียดนามอาจเข้าร่วมงานนี้ด้วย แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเกาหลีเหนือ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจทางการเมืองในภูมิภาคนี้ได้

การเฉลิมฉลองครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้เกาหลีเหนือแสดงแสนยานุภาพทางทหาร ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังประเทศต่างๆ ที่มีความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ

สรุปแล้ว การที่ผู้นำลาวเตรียมเยือนเกาหลีเหนือ ร่วมงานฉลองครบรอบ 80 ปี ก่อตั้งพรรคแรงงาน เป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนและมีความหมายหลายนัย ซึ่งต้องติดตามดูต่อไปว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อสถานการณ์ทางการเมืองในคาบสมุทรเกาหลีและในระดับโลก

ที่มา – ผู้นำลาวเตรียมเยือนเกาหลีเหนือ ร่วมงานฉลองครบรอบ 80 ปี ก่อตั้งพรรคแรงงาน