โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี

ทรัมป์-เซเลนสกี หารือเสริมแกร่งป้องกันทางอากาศยูเครน

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยว่า เขาได้หารือถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งเสริมการป้องกันทางอากาศของยูเครน ในการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ นี่เป็นประเด็นสำคัญในการเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครน

ปธน.เซเลนสกีเปิดเผยผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ว่า “ผมได้แจ้งกับปธน.ทรัมป์เกี่ยวกับการที่รัสเซียโจมตีระบบพลังงานของเรา และผมรู้สึกซาบซึ้งต่อความเต็มใจที่จะสนับสนุนเรา” ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครนในปัจจุบัน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้นำทั้งสองได้หารือกันถึงโอกาสในการยกระดับการป้องกันทางอากาศของยูเครน รวมถึงข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยเซเลนสกีกล่าวว่า มีทางเลือกที่ดีและแนวคิดที่มั่นคงเกี่ยวกับวิธีการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับยูเครน การหารือนี้เน้นไปที่การเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ยูเครนได้ประกาศระงับการจ่ายไฟฉุกเฉินในกรุงเคียฟและอีก 9 ภูมิภาคทั่วประเทศในช่วงต้นสัปดาห์นี้ หลังการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนของรัสเซียส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่โรงไฟฟ้าของประเทศ ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทำให้ความจำเป็นในการเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครนทวีความสำคัญยิ่งขึ้น

ด้านเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ว่า รัสเซียยังคงเปิดรับการเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน

ทรัมป์-เซเลนสกี หารือแนวทางเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครน

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียด และการโจมตีทางอากาศยังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ การหารือระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีจึงมุ่งเน้นไปที่การหาแนวทางในการเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครน เพื่อปกป้องพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ บทสนทนานี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนยูเครนในภาวะสงคราม

เป้าหมายหลักของการหารือ: เสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครน

การเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครนไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากร การแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง และการพัฒนาระบบป้องกันที่ทันสมัย การลงทุนในด้านเหล่านี้จะช่วยให้ยูเครนสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความสูญเสียที่เกิดจากการโจมตี

ความสำคัญของการสนับสนุนจากนานาชาติ

การสนับสนุนจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครน ความช่วยเหลือทางการเงิน เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ยูเครนสามารถปกป้องตนเองได้ นอกจากนี้ การแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากประชาคมโลกยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังรัสเซียว่า การรุกรานยูเครนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

อนาคตของการป้องกันทางอากาศยูเครน

อนาคตของการป้องกันทางอากาศยูเครนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและการดำเนินการในปัจจุบัน การลงทุนในระบบป้องกันที่ทันสมัย การฝึกอบรมบุคลากร และการได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดว่ายูเครนจะสามารถปกป้องตนเองจากภัยคุกคามทางอากาศได้อย่างไร การเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครนจึงเป็นภารกิจที่สำคัญและเร่งด่วน

การหารือระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนยูเครนในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ การเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครนเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ยูเครนสามารถปกป้องพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

ที่มา – ทรัมป์-เซเลนสกีหารือแนวทางเสริมแกร่งการป้องกันทางอากาศยูเครน

รัสเซียถล่มยูเครน! ดับ 4 เจ็บ 40 ใน 12 ชม.

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้ออกมาเปิดเผยว่า รัสเซียส่งโดรน-มิสไซล์ถล่มยูเครนกว่า 12 ชม. ดับ 4 เจ็บ 40 ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมาก

ปธน.เซเลนสกีกล่าวว่า การโจมตีครั้งนี้ประกอบไปด้วยโดรนรบเกือบ 500 ลำ และขีปนาวุธกว่า 40 ลูก ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Kinzhal ด้วย เป้าหมายหลักของการโจมตีมุ่งเน้นไปที่กรุงเคียฟ พื้นที่โดยรอบ แคว้นซาโปริซเซียทางภาคใต้ และแคว้นคเมลนีตสกีทางภาคตะวันตก ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนทั่วประเทศได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะโรงงานผลิตขนมปัง โรงงานยางรถยนต์ และอาคารบ้านเรือนของประชาชน

ทีมูร์ ทคาเชนโก หัวหน้าสำนักงานบริหารการทหารกรุงเคียฟ เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตในกรุงเคียฟ 3 ราย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ และเด็กหญิงวัย 12 ปีอีก 1 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีกราว 10 คน และมีสถานที่กว่า 15 แห่งในเมืองหลวงได้รับความเสียหาย รวมถึงสถาบันโรคหัวใจ โรงเรียนอนุบาล และอาคารที่พักอาศัย

กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ออกมาแถลงว่า ระบบต่อต้านอากาศยานของรัสเซียสามารถสกัดและทำลายโดรนของยูเครนได้ 53 ลำในหลายแคว้น ตลอดช่วงกลางคืนจนถึงเช้าวันอาทิตย์ นอกจากนี้ยังระบุว่า กองทัพรัสเซียได้ยิงสกัดระเบิดนำวิถีทางอากาศ 6 ลูก จรวดจากระบบยิงหลายลำกล้อง HIMARS ที่ผลิตในสหรัฐฯ 6 ลูก และจรวด Vampire ที่ผลิตในสาธารณรัฐเช็กอีก 1 ลูก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

รัสเซียส่งโดรน-มิสไซล์ถล่มยูเครนกว่า 12 ชม. ดับ 4 เจ็บ 40

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสงครามที่ยังคงดำเนินต่อไปในยูเครน และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์

ผลกระทบจากเหตุการณ์ รัสเซียส่งโดรน-มิสไซล์ถล่มยูเครน

  • การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน: การโจมตีทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ความเสียหายต่อโรงงานอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของยูเครน
  • ความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง: เหตุการณ์นี้สร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นคงให้กับประชาชนชาวยูเครน

นานาชาติได้ออกมาประณามการโจมตีของรัสเซีย และเรียกร้องให้มีการยุติความรุนแรงและการเจรจาเพื่อสันติภาพ

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป และสถานการณ์ในยูเครนยังคงน่าเป็นห่วง

การที่รัสเซียส่งโดรน-มิสไซล์ถล่มยูเครนกว่า 12 ชม. ดับ 4 เจ็บ 40 ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการโจมตีทางอากาศของรัสเซียที่ยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อยูเครน การที่ยูเครนยังคงต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศของตนเอง และปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามดังกล่าว

การโจมตีครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการหาทางออกทางการทูตเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนอย่างสันติ การใช้กำลังและความรุนแรงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา และมีแต่จะนำมาซึ่งความสูญเสียและความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น

ประชาคมโลกควรร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อกดดันให้รัสเซียยุติการใช้กำลัง และหันมาเจรจาเพื่อสันติภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงและสันติสุขในภูมิภาค

ในขณะที่สถานการณ์ยังคงไม่แน่นอน สิ่งสำคัญคือการที่เราจะไม่ละเลยต่อความทุกข์ทรมานของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม และให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือแก่พวกเขาในทุกวิถีทางที่เราทำได้

รัสเซียส่งโดรน-มิสไซล์ถล่มยูเครนกว่า 12 ชม. ดับ 4 เจ็บ 40 เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าและสะเทือนใจ ซึ่งเราหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา – รัสเซียส่งโดรน-มิสไซล์ถล่มยูเครนกว่า 12 ชม. ดับ 4 เจ็บ 40

มาครงประกาศชัด! 26 ชาติหนุนหยุดยิงในยูเครน

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ประกาศว่าขณะนี้มี 26 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งยุโรป ที่ให้คำมั่นอย่างเป็นทางการว่าจะระดมกำลังทหารเข้าประจำการในยูเครน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครนระหว่างรัสเซียและยูเครนในอนาคต แม้กองกำลังทหารเหล่านี้จะไม่ได้อยู่แนวหน้าโดยตรงก็ตาม

การประกาศดังกล่าวของมาครงเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของนานาชาติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนผ่านทางการเจรจาและการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน การมีส่วนร่วมของ 26 ประเทศในการระดมกำลังทหารเพื่อสนับสนุนการหยุดยิง ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประชาคมโลกในการร่วมมือกันเพื่อยุติความรุนแรงและสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค

มาครงกล่าวในงานแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ภายหลังการประชุมของ “กลุ่มพันธมิตรแห่งความเต็มใจ (Coalition of the Willing)” ว่า นานาประเทศจะช่วยกันจัดตั้ง “กองกำลังเพื่อสร้างความมั่นใจ (reassurance force)” ที่สามารถส่งทหารไปประจำการในยูเครนหรือให้การสนับสนุนทางบก ทางทะเล หรือทางอากาศได้

มาครงกล่าวเสริมว่า ผู้เข้าร่วมการประชุมได้โทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และคาดว่า สหรัฐฯ จะสรุปรายละเอียดเกี่ยวกับการสนับสนุนการรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปธน.เซเลนสกีได้ขานรับคำประกาศดังกล่าวซึ่งถือเป็นความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม และเน้นย้ำว่าการพบปะกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ไม่ว่าจะเป็นแบบทวิภาคีหรือไตรภาคี ถือเป็นสิ่งจำเป็นในความพยายามเพื่อผลักดันให้เกิดสันติภาพ

ทั้งนี้ การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการประชุมทางไกลของกลุ่มพันธมิตรเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งมีปธน.มาครง และนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษเป็นประธานร่วม โดยกลุ่มพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยประเทศต่าง ๆ ราว 30 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป ได้ให้คำมั่นที่จะให้การรับประกันความมั่นคงแก่ยูเครน

มาครงประกาศชัด 26 ประเทศพร้อมระดมกำลังทหารสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครน

การตัดสินใจของ 26 ประเทศในการสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครนนี้ มีเป้าหมายที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาและการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี การมีกองกำลังทหารนานาชาติเข้ามาประจำการในยูเครน จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย และป้องกันการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

อะไรคือความหมายของการระดมกำลังทหารสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครน?

การระดมกำลังทหารสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครน ไม่ได้หมายถึงการเข้าไปทำสงครามโดยตรง แต่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่านานาชาติให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครน และพร้อมที่จะช่วยเหลือยูเครนในการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ

ความเคลื่อนไหวนี้ยังเป็นการส่งข้อความไปยังรัสเซียว่า การใช้กำลังทหารในการแก้ไขปัญหาไม่ใช่ทางออก และนานาชาติพร้อมที่จะใช้มาตรการทางการทูตและการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อให้รัสเซียยุติการรุกรานยูเครน

การที่ประธานาธิบดีมาครงออกมาประกาศเรื่องนี้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงบทบาทนำของฝรั่งเศสในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครน ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจาและการไกล่เกลี่ยระหว่างรัสเซียและยูเครน

นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนการรับประกันความมั่นคงให้กับยูเครนในอนาคตอันใกล้นี้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครนในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครน คือการเจรจาและการประนีประนอมระหว่างทุกฝ่าย การที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพบปะกับประธานาธิบดีปูติน ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของยูเครนในการเจรจาเพื่อสันติภาพ

ในท้ายที่สุด การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งรัสเซีย ยูเครน และนานาชาติ การระดมกำลังทหารสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครนเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการที่นานาชาติใช้เพื่อผลักดันให้เกิดสันติภาพ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับปัญหาความขัดแย้งในยูเครนได้

ที่มา – มาครงประกาศชัด 26 ประเทศพร้อมระดมกำลังทหารสนับสนุนการหยุดยิงในยูเครน

รัสเซีย-ยูเครน แลกเชลย! ลาฟรอฟโทษตะวันตกขวางเจรจา

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกจับตามอง ล่าสุดมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการรัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่ รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพ

กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกมาเปิดเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 ส.ค.) ได้มีการรัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่ โดยแต่ละฝ่ายได้ทำการปล่อยตัวเชลยศึกจำนวน 146 คน ซึ่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประสานงาน

มีรายงานว่าในกลุ่มเชลยศึกที่ได้รับการปล่อยตัวจากฝ่ายยูเครน มีพลเรือนจากแคว้นคุสค์ของรัสเซียรวมอยู่ด้วยถึง 8 คน ซึ่งพลเรือนเหล่านี้ถูกจับกุมหลังจากการบุกโจมตีแคว้นคุสค์โดยกองกำลังยูเครนเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ก่อนที่กองทัพรัสเซียจะสามารถยึดพื้นที่ดังกล่าวคืนได้ในช่วงต้นปีนี้

สำนักข่าวซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า ทหารรัสเซียที่ได้รับการปล่อยตัวจากการรัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่ กำลังพักฟื้นอยู่ที่ประเทศเบลารุส เพื่อเข้ารับการประเมินทางสุขภาพร่างกายและจิตใจ ก่อนที่จะเดินทางกลับรัสเซียต่อไป

ก่อนหน้านี้ ได้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนมาแล้ว 3 รอบ โดยการเจรจารอบล่าสุดจัดขึ้นที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนเชลยศึกอย่างน้อยฝ่ายละ 1,200 คน

รัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันกับที่มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึก เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้ออกมากล่าวหาว่าชาติตะวันตกและประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี เป็นผู้ที่ขัดขวางกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน

ลาฟรอฟให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Russia-1 TV ว่า ชาติตะวันตกกำลังพยายามหาข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อขัดขวางการเจรจา ในขณะที่เซเลนสกีก็แสดงท่าทีแข็งกร้าว โดยยืนกรานว่าจะต้องพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียให้ได้เท่านั้น

นอกจากนี้ ลาฟรอฟยังกล่าวหาว่า ประเทศในยุโรปกำลังพยายามที่จะบ่อนทำลายความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจากการหารือระหว่างประธานาธิบดีปูตินและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีได้กล่าวหารัสเซียว่า พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางและถ่วงเวลาการประชุมระหว่างเขากับปูติน โดยระบุว่า “ชาวรัสเซียกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้การประชุมเกิดขึ้น เพราะการประชุมนี้เป็นหนทางหนึ่งที่จะยุติสงครามได้ และเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการยุติสงคราม พวกเขาก็จะหาทางหลีกเลี่ยงการจัดการประชุม”

ลาฟรอฟตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่ารัสเซียยังไม่พร้อมที่จะจัดการประชุมสุดยอด และกล่าวว่า “ปธน.ปูตินจะพบกับปธน.เซเลนสกีก็ต่อเมื่อวาระสำหรับการประชุมสุดยอดพร้อมแล้ว ซึ่งตอนนี้วาระดังกล่าวยังไม่พร้อม”

ถ้อยแถลงของลาฟรอฟสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีของรัสเซียที่ย้ำมาโดยตลอดว่า การประชุมระหว่างผู้นำทั้งสองจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากเงื่อนไขบางประการยังไม่ได้รับการตอบสนอง

อนาคตของการเจรจาสันติภาพ

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แม้ว่าจะมีรายงานการรัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองและการเจรจาสันติภาพยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ท่าทีของชาติตะวันตกและการตอบสนองของยูเครนต่อข้อเสนอของรัสเซียจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของสถานการณ์นี้ในอนาคต

การกล่าวหาของลาฟรอฟต่อชาติตะวันตกและเซเลนสกีแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ และความยากลำบากในการหาทางออกทางการทูต ความขัดแย้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรัสเซียและยูเครน แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจโลกอีกด้วย

การรัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในด้านมนุษยธรรม แต่ยังคงต้องจับตาดูว่าเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การเจรจาที่สร้างสรรค์มากขึ้นหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดดๆ ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินต่อไป

ที่มา – รัสเซีย-ยูเครนแลกเปลี่ยนเชลยศึกรอบใหม่, ลาฟรอฟโวยชาติตะวันตก-เซเลนสกีขวางเจรจาสันติภาพ

ทรัมป์หนุนปูติน-เซเลนสกีคุยกัน? ฮังการีอาจเป็นเวที

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปรยว่า เขาอยากให้ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน พูดคุยกันโดยตรงแบบสองต่อสอง เพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่าฮังการีอาจถูกพิจารณาให้เป็นเวทีสำหรับการเจรจาครั้งสำคัญนี้

ทรัมป์กล่าวในรายการ “The Mark Levin Show” ว่า การประชุมระหว่างเขากับประธานาธิบดีเซเลนสกีนั้นเป็นไปได้ด้วยดี แต่เขาคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าผู้นำทั้งสองได้พบกันโดยไม่มีเขาเข้าร่วม “ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ แย่มาก ๆ” ทรัมป์กล่าว

“ตอนนี้เราจะได้เห็นว่าพวกเขาจะทำอย่างไร และหากจำเป็น ซึ่งก็น่าจะจำเป็น ถ้าจำเป็นจริง ๆ ผมก็จะไปเอง และน่าจะสามารถปิดดีลได้ ผมแค่อยากดูว่าการประชุมจะเป็นอย่างไร ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนจัดเตรียมการประชุม และเราจะได้เห็นกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเปิดเผยว่า กำลังมีการพิจารณาสถานที่หลายแห่งสำหรับการประชุมทวิภาคีระหว่างปูตินกับเซเลนสกี รวมถึงการประชุมไตรภาคีที่ทรัมป์จะเข้าร่วมด้วย โดยมีแนวโน้มว่าอาจเป็นประเทศฮังการีหรือสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกเสนอชื่อ

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งเปิดเผยว่า ทรัมป์ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดประชุมที่กรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับวิกตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์และปูติน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีอีกหลายสถานที่ที่ได้รับการเสนอชื่อ และการหารือในเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยยังไม่มีข้อสรุป

ทรัมป์เปรย อยากให้ปูติน-เซเลนสกีคุยกันแค่สองคน, วงในเผยฮังการีอาจเป็นเวทีเจรจา

สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกจับตามอง ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ที่เสนอให้ ทรัมป์เปรย อยากให้ปูติน-เซเลนสกีคุยกันแค่สองคน, วงในเผยฮังการีอาจเป็นเวทีเจรจา นั้นสร้างความฮือฮาไม่น้อย เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นว่าการเจรจาโดยตรงจะนำไปสู่ทางออกได้

การที่ฮังการีถูกกล่าวถึงในฐานะที่เป็นไปได้ในการเป็นเวทีเจรจา ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากฮังการีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งรัสเซียและสหรัฐฯ ทำให้สามารถเป็นตัวกลางในการพูดคุยได้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะใช้สถานที่ใดในการเจรจายังคงต้องติดตามกันต่อไป

ทำไมทรัมป์ถึงอยากให้ ปูติน-เซเลนสกี คุยกัน?

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมโดนัลด์ ทรัมป์ถึงสนับสนุนให้ ทรัมป์เปรย อยากให้ปูติน-เซเลนสกีคุยกันแค่สองคน, วงในเผยฮังการีอาจเป็นเวทีเจรจา คำตอบอาจอยู่ที่ความเชื่อมั่นของทรัมป์ว่า เขาเป็นคนเดียวที่สามารถ “ปิดดีล” ได้ และการที่ผู้นำทั้งสองได้พูดคุยกันโดยตรง จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลว่าการเจรจาโดยไม่มีคนกลางอาจนำไปสู่ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ดังนั้น การมีผู้สังเกตการณ์หรือผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญ

สถานการณ์นี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และต้องติดตามกันต่อไปว่าการเจรจาระหว่างปูตินและเซเลนสกีจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และจะมีผลลัพธ์อย่างไร แต่การที่ ทรัมป์เปรย อยากให้ปูติน-เซเลนสกีคุยกันแค่สองคน, วงในเผยฮังการีอาจเป็นเวทีเจรจา ก็ถือเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะหาทางออกให้กับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อนี้

การตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะมีการเจรจาเกิดขึ้นหรือไม่ และที่ใดนั้น ยังคงต้องรอการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาทางออกอย่างสันติให้กับสถานการณ์ที่ตึงเครียด

ที่มา – ทรัมป์เปรย อยากให้ปูติน-เซเลนสกีคุยกันแค่สองคน, วงในเผยฮังการีอาจเป็นเวทีเจรจา

ทรัมป์สั่งจัดทำกรอบฯ มั่นคง หวังปูทางสันติภาพยูเครน

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้มอบหมายให้ทีมงานเร่งจัดทำกรอบหลักประกันความมั่นคง หวังปูทางสันติภาพยูเครน เพื่อผลักดันสันติภาพที่ยั่งยืนในยูเครน

แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันอังคาร (19 ส.ค.) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการสำหรับการพบปะระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน โดยทั้งสองฝ่ายต่างแสดงท่าทีพร้อมเจรจา

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ โดยยืนยันว่าจะไม่มีทหารอเมริกันเข้าร่วมรบในภาคพื้นดินยูเครน แต่สหรัฐฯ อาจให้การสนับสนุนในรูปแบบอื่น เช่น การสนับสนุนทางอากาศ พร้อมย้ำชัดว่า ยูเครนจะไม่เข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต (NATO)

ด้านกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ย้ำว่าไม่ยอมรับแผนการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งกองกำลังนาโตเข้ายูเครน พร้อมเตือนว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การยกระดับความขัดแย้งที่ควบคุมไม่ได้ และอาจเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ส.ค.) ทรัมป์ได้หารือร่วมกับเซเลนสกีและบรรดาผู้นำยุโรปอีก 7 ประเทศที่ทำเนียบขาว เพื่อหาทางยุติความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากทรัมป์เพิ่งพบหารือกับประธานาธิบดีปูตินที่รัฐอะแลสกาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.) แม้มีรายงานความคืบหน้า แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ

ทรัมป์สั่งทีมงานจัดทำกรอบหลักประกันความมั่นคง หวังปูทางสันติภาพยูเครน

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ความพยายามในการหาทางออกอย่างสันติจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามามีบทบาทในการผลักดันกระบวนการเจรจา ถือเป็นสัญญาณบวกที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์ได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลายอย่างยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุข้อตกลงที่ทุกฝ่ายยอมรับได้

ทำไมการจัดทำกรอบหลักประกันความมั่นคงจึงสำคัญ?

การจัดทำกรอบหลักประกันความมั่นคง หวังปูทางสันติภาพยูเครน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยูเครน ซึ่งต้องการหลักประกันว่าจะได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามในอนาคต กรอบดังกล่าวอาจรวมถึงมาตรการทางทหาร การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ และการรับประกันทางการเมือง

นอกจากนี้ การมีกรอบที่ชัดเจนจะช่วยให้การเจรจาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงของการเกิดความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การจัดทำกรอบหลักประกันความมั่นคงที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ไม่ใช่เรื่องง่าย รัสเซียอาจต้องการเงื่อนไขที่จำกัดการขยายตัวของนาโต และการมีอิทธิพลในภูมิภาค ในขณะที่ยูเครนอาจต้องการหลักประกันที่แข็งแกร่งกว่านั้น เพื่อความมั่นคงของประเทศ

ท่าทีของชาติตะวันตกก็มีความสำคัญเช่นกัน สหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปจะต้องแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การเจรจาเป็นไปในทิศทางที่สร้างสรรค์

กรอบหลักประกันความมั่นคง หวังปูทางสันติภาพยูเครน ที่กำลังร่างขึ้นนั้นมีความซับซ้อนและต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย

สิ่งสำคัญคือ ทุกฝ่ายจะต้องมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติ และพร้อมที่จะประนีประนอมเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน การใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก และจะนำไปสู่ความสูญเสียและความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น

ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และความพยายามในการสร้างสันติภาพอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โลก

ที่มา – ทรัมป์สั่งทีมงานจัดทำกรอบหลักประกันความมั่นคง หวังปูทางสันติภาพยูเครน

ทรัมป์ชี้ เซเลนสกีเลือกจบสงครามได้จริงหรือ?

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามในยูเครน โดยระบุว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี สามารถตัดสินใจยุติสงครามกับรัสเซียได้ “แทบจะในทันที” แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ ยูเครนต้องยอมรับว่าจะไม่สามารถทวงคืนดินแดนไครเมีย และจะไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

ข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ก่อนหน้าการประชุมระหว่างปธน.ทรัมป์, ปธน.เซเลนสกี และผู้นำยุโรปที่ทำเนียบขาว ซึ่งสร้างความสนใจและจุดประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางถึงความเป็นไปได้และผลกระทบของข้อเสนอนี้

ทรัมป์ชี้ เซเลนสกีเลือกจบสงครามกับรัสเซียได้แทบทันที

ปธน.ทรัมป์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประธานาธิบดีเซเลนสกีแห่งยูเครนสามารถยุติสงครามกับรัสเซียได้แทบจะในทันที หากเขาต้องการ หรือจะเลือกสู้ต่อไปก็ได้” ถ้อยคำนี้สะท้อนถึงมุมมองที่ว่า ชะตากรรมของสงครามอยู่ในมือของผู้นำยูเครนเอง

“ไม่มีทางได้ไครเมียที่โอบามาปล่อยให้เสียไปกลับคืนมา (เมื่อ 12 ปีก่อน โดยไม่มีการยิงแม้แต่นัดเดียว!) และยูเครนจะไม่ได้เข้าร่วมนาโต เรื่องบางเรื่องก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง!!!” ทรัมป์โพสต์เสริม

เงื่อนไขที่ต้องพิจารณา: ไครเมียและนาโต

ใจความสำคัญของข้อเสนอจากทรัมป์อยู่ที่การยอมรับเงื่อนไขสองประการ ได้แก่ การสละสิทธิ์ในดินแดนไครเมีย และการไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่งสำหรับทั้งยูเครนและรัสเซีย

  • ไครเมีย: การผนวกไครเมียโดยรัสเซียในปี 2014 เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง และเป็นสิ่งที่ยูเครนไม่เคยยอมรับ การยอมรับสถานะปัจจุบันของไครเมียจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความเห็นชอบจากประชาชนและรัฐบาลยูเครน
  • นาโต: การเข้าร่วมนาโตเป็นเป้าหมายที่ยูเครนพยายามผลักดันมาโดยตลอด เนื่องจากมองว่าเป็นหลักประกันความมั่นคงจากภัยคุกคามภายนอก โดยเฉพาะจากรัสเซีย การสละสิทธิ์ในการเข้าร่วมนาโตจึงเป็นการลดทอนความสามารถในการป้องกันตนเอง

การแสดงท่าทีดังกล่าวของปธน.ทรัมป์มีขึ้น ก่อนที่เขาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกับปธน.เซเลนสกี และบรรดาผู้นำยุโรป ซึ่งรวมถึง อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป, ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ที่ 18 ส.ค. ทำให้ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารืออย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่การเจรจาระหว่างปธน.ทรัมป์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ที่รัฐอะแลสกาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.) ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อยุติสงครามได้ แม้ปธน.ทรัมป์จะมองว่าการเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็ตาม แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและท้าทายในการหาทางออกสำหรับวิกฤตการณ์นี้

ทรัมป์ชี้ เซเลนสกีเลือกจบสงครามกับรัสเซียได้แทบทันที เป็นข้อเสนอที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบและทางเลือกที่ยูเครนมีอยู่ แม้ว่าการยุติสงครามจะเป็นเป้าหมายที่ทุกคนปรารถนา แต่เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียดินแดนและการลดทอนความมั่นคงก็เป็นสิ่งที่ต้องชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดถี่ถ้วน ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจอยู่ที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีและประชาชนชาวยูเครน

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย และมักมาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนและข้อจำกัดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่ทรัมป์ออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ อาจเป็นความพยายามในการกระตุ้นให้มีการพิจารณาทางเลือกใหม่ๆ เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับวิกฤตในยูเครน

ที่มา – ทรัมป์ชี้ เซเลนสกีเลือกจบสงครามกับรัสเซียได้แทบทันที แต่ต้องไม่ทวงไครเมีย-ไม่เข้านาโต

ผู้นำยุโรป-เซเลนสกี พบทรัมป์ที่ทำเนียบขาววันนี้

จับตาการเดินทางเยือนทำเนียบขาวของผู้นำยุโรปและประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนในวันนี้! หลังจากการเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียไม่บรรลุข้อตกลงใดๆ หลายฝ่ายกำลังจับตามองว่าการพบปะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะนำไปสู่ความคืบหน้าในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในยูเครนหรือไม่

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าเธอจะเข้าร่วมการประชุมกับประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำยุโรปคนอื่นๆ ที่ทำเนียบขาวในวันนี้ ตามคำเชิญของประธานาธิบดีเซเลนสกี การหารือครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาค

รัฐบาลเยอรมนีก็ได้ยืนยันถึงการเดินทางของนายกรัฐมนตรีฟรีดริช แมร์ซ ไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อเข้าร่วมการเจรจาที่ทำเนียบขาว โดยคาดว่าการหารือจะมุ่งเน้นไปที่ความพยายามในการสร้างสันติภาพ การรับรองความมั่นคง ปัญหาด้านดินแดน และการสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข

ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้แถลงว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ก็จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเช่นกัน เพื่อประสานงานระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกาในเรื่องนี้ ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้

สำนักข่าว ANSA ของอิตาลีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนี ก็จะเข้าร่วมการประชุมที่ทำเนียบขาวด้วยเช่นกัน การมีส่วนร่วมของผู้นำจากหลากหลายประเทศสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีผู้นำคนอื่นๆ ที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, อเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ประธานาธิบดีฟินแลนด์ และมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) การมีส่วนร่วมของผู้นำจากหลากหลายประเทศแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการแก้ไขปัญหา

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีปูตินได้พบปะเจรจากันที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในยูเครนได้ แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมองว่าการเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็ตาม

ประธานาธิบดีเซเลนสกีได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีทรัมป์ และได้แสดงความพร้อมที่จะทำงานอย่างสร้างสรรค์เพื่อบรรลุสันติภาพ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอของประธานาธิบดีทรัมป์ให้มีการจัดประชุมสุดยอดสามฝ่ายระหว่างยูเครน สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ย้ำว่ายุโรปควรมีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาด้วย

จับตาผู้นำยุโรป-เซเลนสกี ตบเท้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาววันนี้

ประธานาธิบดีเซเลนสกีได้ประกาศว่าเขาจะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อพบกับประธานาธิบดีทรัมป์และหารือเรื่องการยุติการรุกรานของรัสเซีย ขณะเดียวกันก็จะร่วมกับพันธมิตรยุโรปผลักดันให้เกิดการประชุม การหารือในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ทำไมการพบปะของผู้นำยุโรป-เซเลนสกี กับทรัมป์วันนี้ถึงสำคัญ?

การพบปะของผู้นำยุโรป-เซเลนสกี ตบเท้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาววันนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในยูเครน การหารือนี้เป็นโอกาสที่จะผลักดันให้เกิดการเจรจาอย่างจริงจังระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

การที่ผู้นำยุโรป-เซเลนสกี ตบเท้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาววันนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกาในการสนับสนุนยูเครน การผนึกกำลังของพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็นในการเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับโลก

สถานการณ์ในยูเครนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะเป็นโอกาสสำคัญที่จะกำหนดทิศทางในอนาคต การตัดสินใจและข้อตกลงที่เกิดขึ้นในการพบปะนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาค

การที่ผู้นำยุโรป-เซเลนสกี ตบเท้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาววันนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และนำสันติภาพและความมั่นคงกลับคืนสู่ยูเครน

ผมเชื่อว่าการหารืออย่างเปิดอกและสร้างสรรค์ระหว่างผู้นำทุกฝ่าย จะเป็นกุญแจสำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับวิกฤตการณ์ในยูเครน และนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริง

ที่มา – จับตาผู้นำยุโรป-เซเลนสกี ตบเท้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาววันนี้ หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง

เซเลนสกีหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ ดันยุโรปร่วมเจรจา

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนและผู้นำยุโรปได้หารือกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างที่ทรัมป์เดินทางกลับจากการประชุมกับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียที่รัฐอะแลสกาเมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.) ซึ่งการพูดคุยระหว่างทรัมป์กับปูตินยังไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อยุติสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 4 ปีได้ แม้ทรัมป์มองว่า การเจรจากับปูตินเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และตั้งใจจะแนะนำให้เซเลนสกีทำข้อตกลงก็ตาม

หลังการสนทนาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ในวันนี้ (16 ส.ค.) เซเลนสกีได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า ยูเครนยังคงพร้อมทำงานอย่างสร้างสรรค์เพื่อบรรลุสันติภาพ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ให้มีการจัดประชุมสุดยอดสามฝ่ายระหว่างยูเครน–สหรัฐฯ–รัสเซีย และย้ำว่ายุโรปก็ควรมีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาด้วย

ทั้งนี้ เซเลนสกีประกาศว่าเขาจะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันจันทร์ (18 ส.ค.) เพื่อพบกับทรัมป์และหารือเรื่องการยุติการรุกรานของรัสเซีย ขณะเดียวกันก็จะร่วมกับพันธมิตรยุโรปผลักดันให้เกิดการประชุมสามฝ่ายร่วมกับปูติน

เซเลนสกีเตรียมเข้าพบหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ พร้อมดันยุโรปร่วมโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย

สถานการณ์ในยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด การที่เซเลนสกีเตรียมเข้าพบหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ พร้อมดันยุโรปร่วมโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย นับเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการหาทางออกให้กับวิกฤตที่เกิดขึ้น การเจรจาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการหารือทวิภาคีระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีความพยายามที่จะดึงยุโรปและรัสเซียเข้ามาร่วมในกระบวนการสันติภาพด้วย

ความคาดหวังต่อการเจรจาครั้งนี้มีสูงมาก หลายฝ่ายหวังว่าการหารือระหว่างเซเลนสกีและทรัมป์ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาที่สร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองคือท่าทีของรัสเซียต่อข้อเสนอของทรัมป์ และความพร้อมของยุโรปที่จะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา

ทำไมการที่เซเลนสกีเตรียมเข้าพบหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ พร้อมดันยุโรปร่วมโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย ถึงสำคัญ?

การที่เซเลนสกีเตรียมเข้าพบหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ พร้อมดันยุโรปร่วมโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครน เนื่องจาก:

  • สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก และสามารถเป็นตัวกลางในการเจรจาได้
  • การมีส่วนร่วมของยุโรปจะช่วยเพิ่มน้ำหนักและความน่าเชื่อถือให้กับกระบวนการสันติภาพ
  • การเจรจา 3 ฝ่าย (หรือมากกว่านั้น) จะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นและหาทางออกร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญในการเจรจาคือความไม่ไว้วางใจระหว่างฝ่ายต่างๆ และความแตกต่างในผลประโยชน์ การที่จะทำให้การเจรจาประสบความสำเร็จได้นั้น ทุกฝ่ายจะต้องเปิดใจและพร้อมที่จะ compromise

การเดินทางไปพบทรัมป์ของเซเลนสกีและการผลักดันให้ยุโรปมีส่วนร่วมในการเจรจา อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์ในยูเครนได้ในที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเส้นทางสู่สันติภาพยังคงยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย

การที่เซเลนสกีเตรียมเข้าพบหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ พร้อมดันยุโรปร่วมโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของยูเครนในการแสวงหาสันติภาพ และความพยายามที่จะดึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการเจรจาขึ้นอยู่กับความร่วมมือและความจริงใจของทุกฝ่าย

ที่มา – เซเลนสกีเตรียมเข้าพบหารือทรัมป์ 18 ส.ค.นี้ พร้อมดันยุโรปร่วมโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย

ทรัมป์หารือเซเลนสกี หลังคุยปูตินไร้ผล

การประชุมสุดยอดระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในรัฐอะแลสกา จบลงโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ เพื่อยุติหรือชะลอสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ทั้งสองฝ่ายระบุว่าการหารือเป็นไปอย่างได้ผลดีก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ

หลังจากการพูดคุยนานเกือบ 3 ชั่วโมง ทั้งคู่ได้ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า มีความคืบหน้าในบางประเด็น แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมและไม่ได้ตอบคำถามจากสื่อ

ในระหว่างเดินทางกลับถึงกรุงวอชิงตันเช้าวันนี้ (16 ส.ค.) ทรัมป์ได้โทรศัพท์หารือกับบรรดาผู้นำประเทศพันธมิตร เพื่อรายงานความคืบหน้าจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ โดย อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนทนา ขณะที่เจ้าหน้าที่นาโตเผยว่า มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต และทำเนียบเอลีเซ่ยืนยันว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสก็เข้าร่วมการสนทนาด้วย

ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรประบุเพิ่มเติมว่าผู้นำจากเยอรมนี ฟินแลนด์ โปแลนด์ อิตาลี และสหราชอาณาจักร ก็มีส่วนร่วมในการพูดคุยด้วย

นอกจากนี้ รายงานของสื่อออนไลน์ Axios ชี้ว่า ทรัมป์ได้สนทนากับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน และผู้นำยุโรปคนอื่น ๆ รวมเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง และต่อมาเซเลนสกีประกาศว่า เขาจะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันจันทร์ (18 ส.ค.)

ทรัมป์ยกหูหารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป–นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด การเจรจาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้นำของประเทศเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ล่าสุด ทรัมป์ยกหูหารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป–นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์นี้

การที่การเจรจาระหว่างทรัมป์และปูตินไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ ได้ ทำให้ความหวังในการคลี่คลายสถานการณ์ลดลง อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์รีบ หารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป–นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหา

ทำไมการหารือครั้งนี้จึงสำคัญ?

การ หารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป–นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง มีความสำคัญหลายประการ:

  • เป็นการยืนยันถึงความสนับสนุนของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่มีต่อยูเครน
  • เป็นการแสดงให้เห็นว่าชาติตะวันตกยังคงร่วมมือกันในการกดดันรัสเซีย
  • อาจนำไปสู่การกำหนดแนวทางใหม่ในการแก้ไขวิกฤตการณ์

อย่างไรก็ตาม ผลของการหารือครั้งนี้ยังคงต้องรอติดตามอย่างใกล้ชิด ความท้าทายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงมีอยู่มากมาย และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ตอกย้ำถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ระหว่างประเทศ และความสำคัญของการเจรจาและการทูตในการแก้ไขข้อพิพาท การที่ทรัมป์ยังคงเดินหน้าหารือกับผู้นำต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะหาทางออก แม้ว่าการเจรจากับปูตินจะไม่ประสบความสำเร็จในทันที

ที่มา – ทรัมป์ยกหูหารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป–นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง