อินเดีย

มุมไบอ่วม! ฝนตกหนัก น้ำท่วม กระทบเที่ยวบิน-รถไฟ

เมืองมุมไบ ศูนย์กลางการเงินของอินเดีย กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากจากฝนตกหนัก น้ำท่วม ส่งผลกระทบต่อการเดินทางและการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างมาก เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำเนินงานของธุรกิจต่างๆ ในพื้นที่อีกด้วย

สถานการณ์ฝนตกหนัก น้ำท่วมในมุมไบ

สถานการณ์ฝนตกหนัก น้ำท่วมในเมืองมุมไบ ทำให้เที่ยวบินกว่า 250 เที่ยวต้องล่าช้าหรือถูกยกเลิก การคมนาคมทางรถไฟก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน รถไฟหลายขบวนเข้าเทียบสถานีช้ากว่ากำหนด ทำให้การเดินทางของผู้โดยสารเป็นไปอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ การจราจรบนท้องถนนก็ติดขัดอย่างหนักเนื่องจากมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ รถยนต์จำนวนมากจอดเสียอยู่ในน้ำที่สูงระดับเข่าถึงเอว แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์

สื่ออินเดียได้นำเสนอภาพข่าวที่สะท้อนถึงความเดือดร้อนของประชาชน เช่น ภาพรถบัสคันหนึ่งจมอยู่ในน้ำบางส่วน และภาพผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ต้องเข็นรถของตนเองฝ่าถนนที่น้ำท่วมอย่างหนักด้านนอกสถานีรถไฟคูร์ลา (Kurla) เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความยากลำบากที่ประชาชนในเมืองมุมไบต้องเผชิญจากฝนตกหนัก น้ำท่วม

ผลกระทบต่อการเดินทางและการศึกษา

ฮาร์เบอร์ ไลน์ (Harbour Line) ซึ่งเป็นบริการรถไฟท้องถิ่นของเมืองมุมไบ ต้องหยุดให้บริการเนื่องจากรางรถไฟจมอยู่ใต้น้ำ ทำให้การเดินทางของประชาชนในพื้นที่นั้นเป็นไปไม่ได้ชั่วคราว นอกจากนี้ โรงเรียน วิทยาลัย และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ทั่วเมืองมุมไบต้องปิดทำการ เนื่องจากคาดว่าฝนจะยังคงตกหนักต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงช่วงเย็นวันนี้ การปิดสถานศึกษาเป็นการป้องกันความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากฝนตกหนัก น้ำท่วม

กรมอุตุนิยมวิทยาของอินเดีย (IMD) ยังคงประกาศเตือนภัยระดับสีแดงเพื่อให้ประชาชนรับมือกับฝนตกหนักถึงหนักมากเป็นวันที่สามติดต่อกัน การเตือนภัยนี้เป็นการแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และให้ระมัดระวังในการเดินทางและการทำกิจกรรมต่างๆ

  • ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม
  • เตรียมพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ไฟฉาย อาหาร และน้ำดื่ม
  • ติดตามข่าวสารและประกาศจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด

สื่อท้องถิ่นของอินเดียรายงานว่า เมืองมุมไบมีปริมาณน้ำฝนสูงกว่า 500 มิลลิเมตรในช่วงเวลาเกือบ 80 ชั่วโมง ปริมาณน้ำฝนที่มากขนาดนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของเมือง

สถานการณ์ฝนตกหนัก น้ำท่วมในเมืองมุมไบเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การวางแผนการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างระบบเตือนภัยที่รวดเร็วและแม่นยำ เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ

ที่มา – เมืองมุมไบเผชิญฝนตกหนัก-น้ำท่วม ส่งผลเที่ยวบินดีเลย์-รถไฟหยุดบริการ

หวัง อี้ แนะจีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร

หวัง อี้ แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศมหาอำนาจแห่งเอเชีย

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน (ภาพ: thaigov.go.th)

หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เดินทางเยือนกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในวันจันทร์ (18 ส.ค.) เพื่อพบปะหารือกับสุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย โดยหวังกล่าวว่า จีนและอินเดียควรสร้างความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง รวมถึงมองกันและกันในฐานะพันธมิตร ไม่ใช่คู่แข่ง ขณะเดียวกัน จีนพร้อมยึดมั่นในความเป็นมิตรและผลประโยชน์ร่วมกันกับอินเดีย

กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า หวังกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนประชากรรวมกันมากกว่า 2.8 พันล้านคน จีนและอินเดียควรแสดงความรับผิดชอบในระดับโลก ดำเนินบทบาทในฐานะชาติมหาอำนาจ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งผ่านความเป็นเอกภาพ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมโลกหลายขั้วอำนาจ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและเท่าเทียมกัน

หวังกล่าวว่า จีนและอินเดียได้ดำเนินการตามฉันทามติที่ผู้นำของทั้งสองประเทศบรรลุร่วมกัน โดยค่อย ๆ กลับมาแลกเปลี่ยนและเจรจากันในทุกระดับอีกครั้ง พร้อมกับรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ตลอดจนเปิดให้นักแสวงบุญชาวอินเดียสามารถกลับมาแสวงบุญที่ภูเขาและทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ในเขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ของจีนได้อีกครั้ง

“ความสัมพันธ์จีน-อินเดีย มีแนวโน้มเชิงบวกในการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง” หวังกล่าว

หวังเสริมว่า ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 75 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับอินเดีย ทั้งสองฝ่ายควรเรียนรู้จากอดีต และจำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง รวมถึงมองกันและกันในฐานะพันธมิตรและโอกาส ไม่ใช่คู่แข่งหรือภัยคุกคาม พร้อมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนทรัพยากรอันมีค่า เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและการฟื้นฟูประเทศอย่างแท้จริง

หวัง อี้ แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง

การที่ หวัง อี้ แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง นั้นถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างเสถียรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย การที่สองประเทศมหาอำนาจนี้หันมาร่วมมือกันจะสามารถส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในระดับโลกได้

ความสำคัญของความสัมพันธ์จีน-อินเดียตามคำแนะนำของ หวัง อี้

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของโลก ทั้งสองประเทศเป็นผู้นำในหลาย ๆ ด้าน และการที่ หวัง อี้ แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง จะช่วยให้ทั้งสองประเทศเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน การร่วมมือกันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ทั้งสองประเทศกำลังเผชิญอยู่ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยากจน และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ การที่จีนและอินเดียร่วมมือกันยังสามารถเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ในการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์ การที่สองประเทศที่มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สามารถทำงานร่วมกันได้ แสดงให้เห็นว่าสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเป็นไปได้หากทุกฝ่ายตั้งใจที่จะร่วมมือกัน

การที่ หวัง อี้ แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง เป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกว่าจีนและอินเดียพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคน ความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างสองประเทศนี้จะนำไปสู่ยุคใหม่ของความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก

การที่จีนและอินเดียจับมือกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองประเทศจะต้องเห็นพ้องกันในทุกเรื่อง แต่หมายถึงการเคารพซึ่งกันและกัน รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และหาทางออกร่วมกันที่ทั้งสองฝ่ายสามารถยอมรับได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน

ดังนั้น การที่ หวัง อี้ แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง จึงเป็นข้อเสนอที่สำคัญและควรได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีนและอินเดียจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและต่อโลกโดยรวม

ที่มา – “หวัง อี้” แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง

รมว.ต่างประเทศจีนจ่อเยือนอินเดีย 18-20 ส.ค.นี้

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังก้าวเข้าสู่มิติใหม่ เมื่อโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ประกาศว่า รมว.ต่างประเทศจีนจ่อเยือนอินเดีย 18-20 ส.ค.นี้ โดย หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนและผู้แทนพิเศษสำหรับประเด็นชายแดนจีน-อินเดีย จะเดินทางไปเยือนอินเดียตามคำเชิญ เพื่อเข้าร่วมการเจรจาครั้งที่ 24 เกี่ยวกับประเด็นชายแดนระหว่างทั้งสองชาติ

การเดินทางครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณถึงความพยายามในการปรับปรุงความสัมพันธ์ที่เคยตึงเครียดอันเนื่องมาจากการกระทบกระทั่งกันของกองทัพบริเวณชายแดนเทือกเขาหิมาลัยเมื่อปี 2563 หวัง อี้ ยังดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเยือนครั้งนี้ในระดับรัฐบาลจีน

รมว.ต่างประเทศจีนจ่อเยือนอินเดีย 18-20 ส.ค.นี้

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปี 2563 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างจีนและอินเดีย อินเดียได้ตอบโต้ด้วยการจำกัดการลงทุนจากจีน แบนแอปพลิเคชันยอดนิยมของจีนหลายร้อยแอป และจำกัดเส้นทางการเดินทาง ในขณะที่จีนได้ระงับการออกวีซ่าให้กับพลเมืองอินเดีย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยในปี 2565 จีนได้ยกเลิกข้อจำกัดบางส่วนและเริ่มกลับมาออกวีซ่าให้กับนักเรียนและนักเดินทางเพื่อธุรกิจ

แม้ว่าวีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับชาวอินเดียจะยังคงถูกจำกัดอยู่บ้าง แต่ในเดือนมีนาคมปีนี้ ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงที่จะกลับมาให้บริการเที่ยวบินตรง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ

การเจรจาประเด็นชายแดน: รมว.ต่างประเทศจีนจ่อเยือนอินเดีย 18-20 ส.ค.นี้

การเยือนอินเดียของรัฐมนตรีต่างประเทศจีนและการเจรจาที่จะเกิดขึ้นเป็นผลมาจากการทำงานอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ในปีที่ผ่านมา มีการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายครั้ง รวมถึงการพูดคุยกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียที่รัสเซียเมื่อเดือนตุลาคม การหารือเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายในการหาทางออกร่วมกันสำหรับความท้าทายที่ยังคงมีอยู่

การเจรจาประเด็นชายแดนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกัน การที่ทั้งสองประเทศยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาผ่านช่องทางการทูตและการเจรจาเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตของความสัมพันธ์ทวิภาคี

ผลของการเจรจา รมว.ต่างประเทศจีนจ่อเยือนอินเดีย 18-20 ส.ค.นี้ จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค การสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างจีนและอินเดียไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองของเอเชียโดยรวมอีกด้วย

ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนระหว่างจีนและอินเดียจะช่วยลดความตึงเครียด เพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุน และส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรม การที่ผู้นำของทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

การเยือนครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้กระชับความสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจ และร่วมกันกำหนดทิศทางสำหรับอนาคต

ที่มา – รมว.ต่างประเทศจีนจ่อเยือนอินเดีย 18-20 ส.ค.นี้ ร่วมเจรจาประเด็นชายแดน

“โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียเรียกร้องให้อินเดียเพิ่มการพึ่งพาตนเองมากขึ้นด้วยการผลิตทุกอย่าง ตั้งแต่ปุ๋ยไปจนถึงเครื่องยนต์เจ็ตและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมให้คำมั่นว่าจะปกป้องเกษตรกรท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ

ทั้งนี้ โมดีกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติของอินเดียในวันนี้ (15 ส.ค.) ขณะที่อินเดียเผชิญปัญหาภาษีศุลกากรสูงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าของอินเดีย และความล้มเหลวในการเจรจาการค้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความแตกต่างเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ

โมดีกล่าวว่า เกษตรกร ชาวประมง และผู้เลี้ยงสัตว์ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุดของประเทศ และยืนยันว่าเขาจะเป็นเหมือนกำแพงปกป้องนโยบายใด ๆ ที่คุกคามผลประโยชน์ของพวกเขา โดยอินเดียจะไม่ประนีประนอมเมื่อเกี่ยวข้องกับการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร

อย่างไรก็ตาม ในการแถลงสุนทรพจน์ซึ่งยาวเกือบสองชั่วโมง โมดีไม่ได้กล่าวถึงภาษีหรือสหรัฐฯ โดยตรง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งเก็บภาษีเพิ่มเติม 25% กับสินค้าของอินเดีย โดยอ้างว่าอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ซึ่งภาษีใหม่นี้จะทำให้สินค้าส่งออกบางรายการจากอินเดียถูกเก็บภาษีสูงถึง 50% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับคู่ค้า

ภาษีเหล่านี้กระทบการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเสื้อผ้า รองเท้า อัญมณีและเครื่องประดับ

สำหรับมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าเกือบ 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567

การเจรจาด้านการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ล้มเหลวหลังจากการเจรจา 5 รอบ เนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องการเปิดตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมของอินเดีย รวมถึงการยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) กระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุว่า อินเดียหวังว่าความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ จะก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อลดความกังวลว่าความสัมพันธ์จะตกต่ำลง

“โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นโยบาย “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก

แนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียภายใต้ นโยบาย “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร

การที่อินเดียให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองมากขึ้น อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะยาว นอกจากนี้ การที่ “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร ยังสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ

ผลกระทบต่อเกษตรกรอินเดียจะเป็นอย่างไร? นโยบายนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้จริงหรือไม่? และความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของอินเดียมากน้อยเพียงใด? คำถามเหล่านี้ยังคงรอคำตอบ

อย่างไรก็ตาม การที่อินเดียเน้นย้ำถึงการปกป้องเกษตรกร แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว การดำเนินนโยบาย “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอน การที่อินเดียให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองและปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร อาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังเผชิญอยู่ได้

ที่มา – “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร ขณะขัดแย้งสหรัฐฯ

ปากีสถานตั้งกองกำลังขีปนาวุธ รับมือชายแดนอินเดีย

ปากีสถานประกาศจัดตั้ง กองกำลังขีปนาวุธ เพื่อรับมือความขัดแย้งบริเวณชายแดนอินเดีย ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติความขัดแย้งยาวนาน นี่คือการยกระดับศักยภาพทางทหารครั้งสำคัญของปากีสถาน

เชห์บาซ ชารีฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน ได้ประกาศจัดตั้ง “กองกำลังขีปนาวุธกองทัพบก” (Army Rocket Force) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อดูแลและพัฒนาขีดความสามารถด้านขีปนาวุธสำหรับการทำสงครามตามแบบ (Conventional Warfare) ซึ่งถือเป็นความพยายามที่สำคัญในการยกระดับศักยภาพของกองทัพให้ทัดเทียมกับอินเดีย ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน

นายกรัฐมนตรีปากีสถานได้กล่าวถึงเรื่องนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ณ กรุงอิสลามาบัด ในพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งกับอินเดียครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม โดยพิธีดังกล่าวจัดขึ้นหนึ่งวันก่อนวาระครบรอบ 78 ปี วันประกาศอิสรภาพของปากีสถาน ซึ่งตรงกับวันที่ 14 สิงหาคม

จากแถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า กองกำลังใหม่นี้จะมีความพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพในการสู้รบของกองทัพปากีสถานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงท่านหนึ่งได้เปิดเผยว่า กองกำลังขีปนาวุธนี้จะมีหน่วยบัญชาการของตนเองภายในกองทัพ ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมและใช้งานขีปนาวุธในการทำสงครามตามแบบทุกกรณี พร้อมกับระบุว่า เห็นได้ชัดเจนว่าการจัดตั้งกองกำลังนี้มีเป้าหมายเพื่อรับมือกับอินเดียโดยเฉพาะ

ปากีสถานจัดตั้งกองกำลังขีปนาวุธ รับมือความขัดแย้งชายแดนอินเดีย

ปากีสถานและอินเดียต่างเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และทั้งสองประเทศต่างก็ทำการยกระดับขีดความสามารถทางทหารของตนเองอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยาวนานนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2490 ความตึงเครียดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุการณ์สังหารพลเรือน 26 คนในดินแดนแคชเมียร์ฝั่งของอินเดีย ซึ่งอินเดียกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของปากีสถาน แต่ปากีสถานยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ทำไมปากีสถานถึงจัดตั้งกองกำลังขีปนาวุธ?

การตัดสินใจจัดตั้ง กองกำลังขีปนาวุธของปากีสถานในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความมั่นคงในภูมิภาค และความจำเป็นในการรักษาความได้เปรียบทางทหารเหนืออินเดีย ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด การมีกองกำลังที่เชี่ยวชาญด้านขีปนาวุธจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการป้องปรามและตอบโต้ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

การจัดตั้งกองกำลังดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่การตอบสนองต่อภัยคุกคามในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต โดยปากีสถานต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติในภูมิภาคที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจนำไปสู่การแข่งขันทางอาวุธที่เข้มข้นยิ่งขึ้นระหว่างปากีสถานและอินเดีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียใต้ในระยะยาว การเจรจาและการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสองประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การมีกองกำลังขีปนาวุธที่แข็งแกร่งก็สามารถเป็นเครื่องมือในการป้องปรามที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดโอกาสที่อินเดียจะใช้กำลังทหารกับปากีสถาน และส่งเสริมให้เกิดการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่างๆ ด้วยสันติวิธี

ที่มา – ปากีสถานจัดตั้งกองกำลังขีปนาวุธ รับมือความขัดแย้งชายแดนอินเดีย