ฉนวนกาซา

นอร์เวย์เตรียมเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม เหตุการณ์กาซา

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม จากเหตุในกาซา-เวสต์แบงก์

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เปิดเผยว่า คาดว่าจะถอนการลงทุนจากบริษัทอิสราเอลเพิ่มเติม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ กองทุนได้ประกาศยกเลิกสัญญากับผู้จัดการสินทรัพย์ภายนอกทั้ง 3 รายที่ดูแลการลงทุนบางส่วนในอิสราเอล และได้ขายหุ้นในพอร์ตการลงทุนของประเทศออกไปแล้วบางส่วน โดยให้เหตุผลจากวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในฉนวนกาซา

การทบทวนการลงทุนครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังมีรายงานข่าวว่ากองทุนได้เข้าถือหุ้นกว่า 2% ในบริษัทเครื่องยนต์เจ็ตของอิสราเอล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแก่กองทัพอิสราเอล รวมถึงการบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่

กองทุนประกาศในวันนี้ว่า หุ้นในบริษัทดังกล่าว คือ Bet Shemesh Engines Ltd (BSEL) ได้ถูกขายออกไปแล้ว

Norges Bank Investment Management (NBIM) ซึ่งเป็นหน่วยงานของธนาคารกลางนอร์เวย์ และเคยถือหุ้นในบริษัทอิสราเอล 61 แห่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย. ได้ดำเนินการขายหุ้นใน 11 บริษัทในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง BSEL แต่ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่เหลือ

ขณะนี้ กองทุนกำลังพิจารณาบริษัทอิสราเอลอีก 50 แห่งที่ยังคงอยู่ในพอร์ตการลงทุนอย่างใกล้ชิด และมีกำหนดรายงานผลต่อกระทรวงการคลังภายในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ การตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่มที่อาจเกิดขึ้น

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม จากเหตุในกาซา-เวสต์แบงก์

การตัดสินใจของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาปัจจัยด้านมนุษยธรรมและจริยธรรมในการลงทุน นอกเหนือจากผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว กองทุนฯ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและเป็นไปตามมาตรฐานสากล

การเทขายหุ้นในบริษัทอิสราเอล ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทเหล่านั้นในสายตานักลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ ยังอาจเป็นแรงผลักดันให้บริษัทอื่นๆ พิจารณาแนวทางการลงทุนของตนเองใหม่ และให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวก็อาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้งและวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่เห็นว่าการลงทุนควรพิจารณาจากผลตอบแทนทางการเงินเป็นหลัก และไม่ควรนำประเด็นทางการเมืองหรือสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง

ในท้ายที่สุด การเคลื่อนไหวของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ครั้งนี้ จะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างผลตอบแทนทางการเงิน ความรับผิดชอบต่อสังคม และผลกระทบต่อโลกในวงกว้าง

การที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่มนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน แต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าโลกกำลังจับตามองปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอย่างใกล้ชิด

ที่มา – กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม จากเหตุในกาซา-เวสต์แบงก์

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนสองรัฐ

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐ! แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้ออกมาประกาศถึงความตั้งใจที่จะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่กำลังจะมาถึง การตัดสินใจนี้มีขึ้นตามรอยผู้นำจากฝรั่งเศส อังกฤษ และแคนาดา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐให้เป็นจริง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของออสเตรเลียเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินต่อไปในตะวันออกกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหวังและโอกาสในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน อัลบาเนซีกล่าวกับนักข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การรับรองดังกล่าวเป็นไปตามพันธกรณีที่ออสเตรเลียได้รับมาจากทางการปาเลสไตน์ ซึ่งครอบคลุมถึงการที่กลุ่มฮามาสจะไม่เข้ามามีบทบาทต่อรัฐในภายภาคหน้า

“แนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐเป็นความหวังที่ดีที่สุดของมนุษยชาติในการทลายวงจรแห่งความรุนแรงในตะวันออกกลาง และนำจุดจบมาสู่ความขัดแย้ง ความทุกข์ทรมาน และความหิวโหยในฉนวนกาซา” อัลบาเนซีกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ประกาศดังกล่าวของออสเตรเลียมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงผลักดันที่มากขึ้นสู่การแก้ไขปัญหาแบบสองรัฐในภูมิภาค เช่นเดียวกับประกาศในลักษณะเดียวกันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียหวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ หันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

อัลบาเนซีระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือและการเจรจากับคู่เจรจาจากนานาประเทศ รวมถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล การปรึกษาหารือเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

การที่ออสเตรเลีย รับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง แนวทางแก้ปัญหาสองรัฐเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค การรับรองนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียในการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในตะวันออกกลาง

การสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐของออสเตรเลียสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี รัฐบาลออสเตรเลียเชื่อว่าการสร้างรัฐปาเลสไตน์ที่สามารถอยู่ร่วมกับอิสราเอลอย่างสันติสุขเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

อนาคตของปาเลสไตน์และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่การตัดสินใจของออสเตรเลียในการ รับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความหวังและการสนับสนุนจากนานาชาติ การสนับสนุนนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่สันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคในที่สุด

ที่มา – ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐ

อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา: จริงหรือ?

กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่า สามารถสังหารนักข่าวจากอัลจาซีรา ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้นำกลุ่มย่อยของกลุ่มฮามาสได้

ประเด็นเรื่อง อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงกว้าง โดยกองทัพอิสราเอลได้ออกมาแถลงการณ์ว่า อานัส อัล ชารีฟ วัย 28 ปี ซึ่งถูกสังหารระหว่างการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา แท้จริงแล้วคือผู้นำกลุ่มย่อยของกลุ่มฮามาส และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยจรวดที่มุ่งเป้าไปยังพลเรือนและกองกำลังของอิสราเอล ข้อมูลนี้มาจากการอ้างอิงข่าวกรองและหลักฐานที่พบในพื้นที่กาซา

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเสรีภาพสื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเตือนว่า ชีวิตของ อัล ชารีฟ ตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากการรายงานข่าวที่เกี่ยวกับสถานการณ์สงครามในฉนวนกาซา ไอรีน ข่าน ผู้รายงานพิเศษของ UN ได้กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ข้อกล่าวหาของอิสราเอลที่มีต่อเขานั้นไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของการกระทำที่นำไปสู่การ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา

แหล่งข่าวจากกาซาและสำนักข่าวอัลจาซีราได้ยืนยันว่า อัล ชารีฟ เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมข่าวอัลจาซีราจำนวน 4 คน และผู้ช่วยอีก 1 คน ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์โจมตีทางอากาศที่เกิดขึ้นใกล้กับโรงพยาบาลชีฟาในเมืองกาซาซิตี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตอีก 2 รายจากเหตุการณ์เดียวกัน

กลุ่มนักข่าวและสำนักข่าวอัลจาซีราได้ออกมาประณามเหตุการณ์ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา ในครั้งนี้ว่าเป็น “การสังหารหมู่” นอกจาก อัล ชารีฟ แล้ว ยังมีนักข่าวคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ โมฮัมเหม็ด เกรย์เกห์, อิบราฮิม ซาเฮอร์ และโมฮัมเหม็ด นูฟาล เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่นักข่าวต้องเผชิญในการทำหน้าที่รายงานข่าวในพื้นที่สงคราม

อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ประชาคมโลกหันมาให้ความสนใจกับความปลอดภัยของนักข่าวในพื้นที่ขัดแย้งมากยิ่งขึ้น การที่ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา จุดประกายให้เกิดการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิตและสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองนักข่าวในพื้นที่สงคราม ว่ามีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากพอหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดใจเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต การที่นักข่าวถูกมองว่าเป็นเป้าหมายในการโจมตี ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและขัดต่อหลักการเสรีภาพสื่อ

โดยรวมแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจและควรได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าความเป็นธรรมจะได้รับการนำมาซึ่งทั้งผู้เสียชีวิตและครอบครัวของพวกเขา และเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ความปลอดภัยของนักข่าวในการทำหน้าที่รายงานข่าวในพื้นที่ขัดแย้ง ควรเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการคุ้มครองอย่างแท้จริง

ข้อเท็จจริงที่ว่านักข่าวต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อรายงานข่าวสารสู่สายตาประชาชนทั่วโลกนั้น เป็นสิ่งที่เตือนใจให้เราตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อ และความจำเป็นที่จะต้องปกป้องสิทธิของนักข่าวในการทำหน้าที่ของตนโดยปราศจากความกลัวและการคุกคาม

ที่มา – อิสราเอลสังหารนักข่าวจากอัลจาซีรา-ชี้เป็นผู้นำกลุ่มย่อยฮามาส