ข่าวต่างประเทศ

สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณก.ค. พุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์

สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณก.ค. พุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณก.ค. พุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีศุลกากรได้เพิ่มขึ้นก็ตาม โดยสาเหตุหลักมาจากรายจ่ายของรัฐบาลที่ขยายตัวเร็วกว่ารายรับอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวเลขขาดดุลเฉพาะเดือนกรกฎาคมสูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนถึง 19% โดยรายรับของรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 2% ขณะที่รายจ่ายกลับทะยานขึ้นถึง 10% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนกรกฎาคม

เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังชี้ว่า รายได้จากภาษีนำเข้าในเดือนกรกฎาคมพุ่งขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

แม้จะมีการอ้างว่าเงินภาษีจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้าคลังสหรัฐฯ แต่ภาระภาษีดังกล่าวตกอยู่กับบริษัทผู้นำเข้า ซึ่งส่วนใหญ่มักผลักภาระต่อไปยังผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น

เมื่อมองภาพรวม 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ พบว่ารัฐบาลเก็บภาษีนำเข้าได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยอดสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณก.ค. พุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์สะสมก็ยังพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน

รายได้จากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลที่บานปลายเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านบำนาญประกันสังคมก็เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก

นอกจากนี้ ภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะของประเทศยังคงพุ่งไม่หยุด โดยรัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและหนี้สินของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์ชี้แนวโน้มรายได้ภาษีเพิ่ม แม้ สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณก.ค. พุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์

นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยเยลวิเคราะห์ว่า ยังมีแนวโน้มที่รายได้ภาษีจะพุ่งสูงขึ้นได้อีกในระยะสั้น เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากที่น่าจะกักตุนสินค้าไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน เพื่อรอดูท่าทีและหวังว่าอัตราภาษีจะลดลง

สถานการณ์สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณก.ค. พุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์นี้ แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศ แม้จะมีการเก็บภาษีได้มากขึ้น แต่รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขต่อไป การวางแผนทางการคลังที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ที่มา – สหรัฐฯ อ่วม ขาดดุลงบประมาณพุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์เดือนก.ค. แม้รายได้ภาษีทรัมป์ทะลัก

นอร์เวย์เตรียมเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม เหตุการณ์กาซา

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม จากเหตุในกาซา-เวสต์แบงก์

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เปิดเผยว่า คาดว่าจะถอนการลงทุนจากบริษัทอิสราเอลเพิ่มเติม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ กองทุนได้ประกาศยกเลิกสัญญากับผู้จัดการสินทรัพย์ภายนอกทั้ง 3 รายที่ดูแลการลงทุนบางส่วนในอิสราเอล และได้ขายหุ้นในพอร์ตการลงทุนของประเทศออกไปแล้วบางส่วน โดยให้เหตุผลจากวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในฉนวนกาซา

การทบทวนการลงทุนครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังมีรายงานข่าวว่ากองทุนได้เข้าถือหุ้นกว่า 2% ในบริษัทเครื่องยนต์เจ็ตของอิสราเอล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแก่กองทัพอิสราเอล รวมถึงการบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่

กองทุนประกาศในวันนี้ว่า หุ้นในบริษัทดังกล่าว คือ Bet Shemesh Engines Ltd (BSEL) ได้ถูกขายออกไปแล้ว

Norges Bank Investment Management (NBIM) ซึ่งเป็นหน่วยงานของธนาคารกลางนอร์เวย์ และเคยถือหุ้นในบริษัทอิสราเอล 61 แห่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย. ได้ดำเนินการขายหุ้นใน 11 บริษัทในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง BSEL แต่ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่เหลือ

ขณะนี้ กองทุนกำลังพิจารณาบริษัทอิสราเอลอีก 50 แห่งที่ยังคงอยู่ในพอร์ตการลงทุนอย่างใกล้ชิด และมีกำหนดรายงานผลต่อกระทรวงการคลังภายในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ การตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่มที่อาจเกิดขึ้น

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม จากเหตุในกาซา-เวสต์แบงก์

การตัดสินใจของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาปัจจัยด้านมนุษยธรรมและจริยธรรมในการลงทุน นอกเหนือจากผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว กองทุนฯ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและเป็นไปตามมาตรฐานสากล

การเทขายหุ้นในบริษัทอิสราเอล ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทเหล่านั้นในสายตานักลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ ยังอาจเป็นแรงผลักดันให้บริษัทอื่นๆ พิจารณาแนวทางการลงทุนของตนเองใหม่ และให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวก็อาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้งและวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่เห็นว่าการลงทุนควรพิจารณาจากผลตอบแทนทางการเงินเป็นหลัก และไม่ควรนำประเด็นทางการเมืองหรือสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง

ในท้ายที่สุด การเคลื่อนไหวของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ครั้งนี้ จะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างผลตอบแทนทางการเงิน ความรับผิดชอบต่อสังคม และผลกระทบต่อโลกในวงกว้าง

การที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่มนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน แต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าโลกกำลังจับตามองปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอย่างใกล้ชิด

ที่มา – กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์คาดเทขายหุ้นอิสราเอลเพิ่ม จากเหตุในกาซา-เวสต์แบงก์

ทรัมป์แย้ม! Nvidia ขายชิป Blackwell ลดสเปกให้จีน?

ทรัมป์แย้ม! อาจยอมให้ Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีน

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเป็นนัยว่า เขาอาจยินยอมให้ Nvidia ขายชิปรุ่น Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI สุดล้ำ ให้กับประเทศจีนได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องลดสเปกของชิปรุ่นนี้ลงก่อน

ในการแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์กล่าวว่า “เป็นไปได้ที่ผมจะทำข้อตกลง” สำหรับชิป Blackwell ที่มีการ “ลดสเปก” ซึ่งอาจเป็นการ “ลดประสิทธิภาพลง 30% ถึง 50%” เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาจะพบกับ เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นชิปรุ่นดังกล่าว

นักวิเคราะห์ในวงการมองว่า หากชิป Blackwell ที่ถูกลดสเปกลงได้รับการอนุมัติให้ส่งออกไปยังจีนได้จริง จะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะสหรัฐฯ ตั้งเป้าที่จะจำกัดให้จีนเข้าถึงได้แค่เทคโนโลยีที่ด้อยกว่า หรือไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดเท่านั้น การอนุญาตให้ขายชิปที่ลดสเปก อาจเป็นกลยุทธ์ในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเทคโนโลยีและการค้า

เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia เคยเน้นย้ำมาโดยตลอดว่า หากจีนถูกตัดขาดจากชิปของสหรัฐฯ บริษัทเทคโนโลยีจีนอย่าง Huawei จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น สหรัฐฯ ควรอนุญาตให้ขายชิปให้กับจีน เพื่อให้บริษัทจีนยังคงต้องพึ่งพาชิปเหล่านี้ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI

ทำไมทรัมป์ถึงแย้มเรื่อง Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีน?

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามไม่ให้ Nvidia จำหน่ายชิป H20 ให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง แม้ว่าบริษัทจะเพิ่งประกาศว่าข้อห้ามดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตาม ชิปประสิทธิภาพสูงเหล่านี้มักถูกนำไปใช้ในแอปพลิเคชัน AI ต่างๆ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Nvidia เพิ่งตกลงที่จะมอบรายได้ 15% ของยอดขายชิปเซมิคอนดักเตอร์ในจีนให้กับสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตในการส่งออกไปยังจีน ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Nvidia จะมอบรายได้ 15% จากการจำหน่ายชิป H20 ในจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากตลาดจีน

การที่ทรัมป์ออกมาให้ความเห็นเรื่องที่อาจยอมให้ Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีนนั้น บ่งบอกถึงความซับซ้อนของสถานการณ์การค้าและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของจีนในด้าน AI

การพิจารณาอนุมัติให้ Nvidia ขายชิป Blackwell รุ่นลดสเปกให้จีน ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่สหรัฐฯ จะใช้ในการควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีของโลก

โดยรวมแล้ว เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยี

สถานการณ์นี้ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และต้องติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ จะตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่มา – ทรัมป์แย้ม อาจยอมให้ Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีน

จีนไม่ปลื้ม! กำชับเลี่ยงใช้ชิป Nvidia H20

ทางการจีนไม่ปลื้มชิป Nvidia H20 กำชับบริษัทในประเทศเลี่ยงใช้

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานโดยอ้างสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ทางการจีนได้กำชับให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ชิป H20 ของอินวิเดีย (Nvidia) โดยได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังบริษัทหลายแห่ง พร้อมทั้งกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามใช้ชิป H20 ของอินวิเดียสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือความมั่นคงของชาติ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของรัฐหรือเอกชนก็ตาม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่สื่อของรัฐบาลจีนแสดงความกังวลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับชิป H20 โดยได้ออกมาแสดงความกังวลเรื่องช่องโหว่ (backdoor) ในชิปดังกล่าว ทั้งยังมองว่าชิปรุ่นนี้ไม่ได้ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งนี้ อินวิเดียได้พัฒนาชิป AI รุ่น H20 ขึ้นมาเพื่อตลาดจีนโดยเฉพาะ หลังจากที่สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดในการส่งออกชิป AI ขั้นสูงเมื่อปลายปี 2566 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งห้ามการขายชิปเหล่านี้ในเดือนเม.ย. เมื่อความตึงเครียดทางการค้ากับจีนเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามในเดือนก.ค.

ก่อนหน้านี้ สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ได้เรียกเจ้าหน้าที่ของบริษัทอินวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เข้าชี้แจงว่า ชิป AI รุ่น H20 ที่อินวิเดียจำหน่ายให้กับจีนนั้น มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงหรือไม่

ชิป AI ของอินวิเดียถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงอย่างร้ายแรง ขณะที่สมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติบางคนของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ชิปขั้นสูงที่ส่งออกไปยังต่างประเทศต้องติดตั้งฟังก์ชัน “การติดตามและระบุตำแหน่ง” (tracking and positioning)

CAC ระบุในแถลงการณ์ว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เทคโนโลยี “การติดตามและระบุตำแหน่ง” และ “การปิดระบบจากระยะไกล” (remote shutdown) ของชิปอินวิเดีย ถือเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลให้กับจีน

อย่างไรก็ดี โฆษกของอินวิเดียกล่าวว่า “ความปลอดภัยทางไซเบอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา อินวิเดียไม่ได้สร้าง ‘ช่องโหว่’ ในชิปของเราที่จะทำให้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงหรือควบคุมชิปจากระยะไกลได้”

การตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นจากจีนอาจสร้างความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในอีกด้านหนึ่งให้กับเจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดียที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างนโยบายด้านเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ กับความต้องการที่จะขายสินค้าในตลาดจีนที่มีศักยภาพในการทำกำไร

จีนสั่งเลี่ยงใช้ชิป Nvidia H20 กระทบอะไรบ้าง?

การที่ทางการจีนสั่งให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ชิป Nvidia H20 นั้น ส่งผลกระทบหลายด้านด้วยกัน:

  • กระทบต่ออินวิเดีย: ตลาดจีนเป็นตลาดใหญ่สำหรับอินวิเดีย การสูญเสียตลาดนี้ไปย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทอย่างแน่นอน
  • กระทบต่อบริษัทจีน: บริษัทจีนอาจต้องหันไปหาชิปทางเลือกอื่น ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าหรือมีราคาแพงกว่า
  • กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความขัดแย้งเรื่องชิปอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การที่จีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20 ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของจีนอีกด้วย จีนต้องการพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเองมากขึ้นและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

ในอนาคต เราอาจได้เห็นจีนพัฒนาชิป AI ของตนเองเพื่อทดแทนชิปจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป AI ทั่วโลกอย่างแน่นอน การที่จีนไม่ปลื้มและสั่งเลี่ยงใช้ชิป Nvidia H20 จึงเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ การที่จีนตัดสินใจเช่นนี้ น่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ที่มา – ทางการจีนไม่ปลื้มชิป Nvidia H20 กำชับบริษัทในประเทศเลี่ยงใช้

ทรัมป์ลั่น! ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบปั่นป่วน

ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social เมื่อวานนี้ (11 สิงหาคม) ว่า “ทองคำจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า!” สร้างความโล่งอกให้กับนักลงทุนและผู้ค้าทองคำทั่วโลก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเกิดความสับสนอลหม่านในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับการขึ้นภาษีครั้งล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทองคำแท่งบางประเภท

ก่อนหน้านี้ มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) โดยอ้างอิงข้อมูลจากจดหมายที่ส่งโดยหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ระบุว่า สหรัฐฯ ได้เริ่มเรียกเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งที่มีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดทองคำทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

จดหมายดังกล่าว ซึ่งลงวันที่ 31 กรกฎาคม ระบุว่า ทองคำแท่งที่มีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และ 100 ออนซ์ ควรถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษี ทำให้เกิดความกังวลว่าต้นทุนในการนำเข้าทองคำไปยังสหรัฐฯ จะสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวได้ออกมาให้ข้อมูลในวันต่อมาว่า รัฐบาลจะออกมาชี้แจงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำแท่ง เพื่อแก้ไขความสับสนที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับรหัสศุลกากร ซึ่งส่งผลให้บางบริษัทต้องหยุดการส่งทองคำแท่งไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะทองแท่งขนาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดทองคำสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก

การประกาศของทรัมป์ที่ระบุว่า ไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าทองคำ จึงเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ดำเนินนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าทองคำ และช่วยลดความผันผวนในตลาดทองคำโลก หลังจากที่เกิดความไม่แน่นอนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการตัดสินใจนี้เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ต้องการรักษาเสถียรภาพของตลาดทองคำและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ

นอกจากนี้ การประกาศดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายที่ผ่านมาของทรัมป์ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดภาระทางภาษีและส่งเสริมการค้าเสรี การตัดสินใจที่จะไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

การที่ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังตลาดโลก และน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ค้าทองคำ การยกเลิกความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำจะช่วยให้การซื้อขายทองคำเป็นไปอย่างราบรื่น และส่งผลดีต่อราคาทองคำในระยะยาว

ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ เป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมทองคำ การตัดสินใจครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าทองคำไปยังสหรัฐฯ และส่งเสริมการค้าทองคำระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในทองคำ

การประกาศยกเลิกแผนเก็บภาษีนำเข้าทองคำของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในกลไกตลาดโลก และความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การตัดสินใจครั้งนี้ น่าจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของราคาทองคำในระยะยาว และเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก

ที่มา – ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก

สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วันแล้ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะกลับไปสูงถึงเลขหลักร้อย

เดิมที ข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีกำหนดจะสิ้นสุดในวันนี้ (12 ส.ค.) เวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หรือ 11:01 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย คำสั่งดังกล่าวจึงช่วยยับยั้งไม่ให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ พุ่งแตะ 125%

ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีในอัตรา 30% ซึ่งประกอบด้วยอัตราพื้นฐาน 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลอีก 20% ส่วนจีนก็ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ลงมาที่ 10% เช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายเคยประกาศพักรบในข้อพิพาทการค้าหลังการเจรจาที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค. โดยตกลงระยะเวลา 90 วันสำหรับเจรจาต่อไป ก่อนจะพบกันอีกครั้งที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ปลายเดือนก.ค. แต่ไม่ได้ประกาศขยายเวลาพักรบการค้าเพิ่มเติม

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากช่วยลดความผันผวนและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเลื่อนขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลามากขึ้นในการเจรจาและหาทางออกร่วมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน นี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในหลายประเทศ ผู้ประกอบการจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน

การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน นั้น มีนัยสำคัญหลายประการ ประการแรก แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจากับจีน และพร้อมที่จะหาทางออกร่วมกันผ่านการเจรจา ประการที่สอง สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นต่อเศรษฐกิจของตนเอง

การเลื่อนขึ้นภาษียังมีผลต่อตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย ข่าวนี้อาจช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนและช่วยให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง

ในส่วนของผู้บริโภค การเลื่อนขึ้นภาษีอาจช่วยชะลอการขึ้นราคาสินค้าบางประเภทที่นำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ผู้บริโภคอาจยังคงต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป

ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้บริโภคควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดโลก การติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การเจรจาและการประนีประนอมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถหาทางออกร่วมกันได้ แต่การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน

ที่มา – สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ก่อนเส้นตายไม่กี่ชั่วโมง

ทรัมป์สั่ง! คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ปราบอาชญากรรม

ทรัมป์ประกาศกร้าวคนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ยกระดับปราบปรามอาชญากรรม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวว่า คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน พร้อมให้คำมั่นว่าจะปราบปรามอาชญากรรมในเมืองแห่งนี้อย่างจริงจัง สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน

ทรัมป์ระบุผ่านโพสต์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า “คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตันทันที เราจะหาที่อยู่ให้ แต่ต้องไกลจากเมืองหลวง ส่วนอาชญากรไม่ต้องไปไหน เราจะจับพวกคุณเข้าคุกที่พวกคุณควรจะอยู่” นอกจากนี้เขายังกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์เกี่ยวกับแผนที่จะทำให้เมืองปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อให้การจับกุมคนไร้บ้านง่ายขึ้น และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงจากตำรวจสวนสาธารณะสหรัฐฯ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด เอฟบีไอ (FBI) และสำนักงานตำรวจศาลสหรัฐฯ เข้าควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมในพื้นที่กรุงวอชิงตัน ที่เขาเห็นว่าอยู่ในระดับที่เกินการควบคุมไปมาก

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุสาธารณะแห่งชาติ (National Public Radio) ว่า ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางลงพื้นที่มากถึง 450 นาย ในคืนวันเสาร์

เหตุผลเบื้องหลังการผลักดัน คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากอดีตพนักงานวัย 19 ปีของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ถูกทำร้ายร่างกายจากความพยายามในการขโมยรถในกรุงวอชิงตัน โดยทรัมป์ได้ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมโพสต์รูปเหยื่อที่เปื้อนเลือด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อปัญหาคนไร้บ้านในกรุงวอชิงตัน ก่อนหน้านี้เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเมืองหลวง

อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้ คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และอาจนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การผลักดันให้คนเหล่านี้ไปอยู่ในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงความช่วยเหลือ

นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน หากเพียงแค่ย้ายคนไร้บ้านออกจากเมืองหลวง ปัญหาที่แท้จริงก็จะยังคงอยู่ การแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน และหาทางช่วยเหลือพวกเขาให้สามารถกลับมายืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน

ปัญหาคนไร้บ้านเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และการลงมือทำอย่างจริงจัง

ที่มา – ทรัมป์ประกาศกร้าวคนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ยกระดับปราบปรามอาชญากรรม

นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง

ผลสำรวจชี้นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง

ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป (Bank of America Corp – BofA) เปิดเผยผลสำรวจรายเดือนที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-7 ส.ค. 2568 โดยสอบถามผู้จัดการกองทุน 169 ราย ซึ่งบริหารสินทรัพย์รวม 4.13 แสนล้านดอลลาร์ พบว่า ประมาณ 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า หุ้นสหรัฐฯ มีราคาสูงเกินจริง ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดในประวัติการณ์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2544

แม้ว่าการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2568 แต่ยังคงมีผู้จัดการกองทุน 16% ที่ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ

ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีจำนวนมากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ไมเคิล ฮาร์ทเน็ตต์ นักกลยุทธ์ของ BofA ระบุว่า นักลงทุนมองว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง นับตั้งแต่เดือนม.ค. 2568 ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในตลาด

หุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่จากผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์และความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้คาดการณ์หลายราย เช่น ซิตี้กรุ๊ป มองในแง่บวกต่อแนวโน้มดัชนี S&P500 ในครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์บางคน เช่น ฮาร์ทเน็ตต์ เตือนว่า การปรับตัวขึ้นนี้อาจเสี่ยงกลายเป็นฟองสบู่ เนื่องจากนโยบายการเงินและกฎระเบียบทางการเงินที่อาจผ่อนคลายลง

ผลสำรวจเดือนส.ค. 2568 ยังแสดงให้เห็นว่า เงินสดคิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับสัญญาณการขายหุ้นในตลาด

นอกจากนี้ ผู้ร่วมสำรวจประมาณ 68% คาดว่า เศรษฐกิจโลกใน 12 เดือนข้างหน้าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft landing) ขณะที่ 22% เชื่อว่าจะไม่มีการชะลอตัว และเพียง 5% คาดว่าจะเกิดการชะลอตัวรุนแรง (hard landing)

ในส่วนของหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) นั้น มีผู้ร่วมสำรวจ 49% ที่มองว่า ยังมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2567

ความคาดหวังเกี่ยวกับเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดย 18% ของผู้ร่วมสำรวจคาดว่า จะเห็นตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น

สำหรับความเสี่ยงสำคัญที่ผู้จัดการกองทุนกังวล ได้แก่ สงครามการค้าที่อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (29%), เงินเฟ้อสูงที่กดดันเฟดไม่ให้ลดดอกเบี้ย (27%), การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและผิดปกติของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (20%), ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (14%) และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (6%)

สำหรับการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ร่วมสำรวจ ได้แก่ การถือหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven (45%), การขายชอร์ตดอลลาร์ (23%) และการถือครองทองคำ (12%)

ผลสำรวจชี้นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง

ผลสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนจำนวนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับ ราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง แม้ว่าความเชื่อมั่นในตลาดจะฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วก็ตาม สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ และนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

การที่นักลงทุน กังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง นั้น อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดได้ในอนาคต การติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

โดยรวมแล้ว ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่ระมัดระวังของนักลงทุนในปัจจุบัน แม้ว่าตลาดหุ้นจะดูสดใสขึ้น แต่ความกังวลเกี่ยวกับ ราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังคงมีอยู่

ที่มา – ผลสำรวจชี้นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง ขณะความเชื่อมั่นในตลาดฟื้นตัว

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนสองรัฐ

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐ! แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้ออกมาประกาศถึงความตั้งใจที่จะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่กำลังจะมาถึง การตัดสินใจนี้มีขึ้นตามรอยผู้นำจากฝรั่งเศส อังกฤษ และแคนาดา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐให้เป็นจริง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของออสเตรเลียเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินต่อไปในตะวันออกกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหวังและโอกาสในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน อัลบาเนซีกล่าวกับนักข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การรับรองดังกล่าวเป็นไปตามพันธกรณีที่ออสเตรเลียได้รับมาจากทางการปาเลสไตน์ ซึ่งครอบคลุมถึงการที่กลุ่มฮามาสจะไม่เข้ามามีบทบาทต่อรัฐในภายภาคหน้า

“แนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐเป็นความหวังที่ดีที่สุดของมนุษยชาติในการทลายวงจรแห่งความรุนแรงในตะวันออกกลาง และนำจุดจบมาสู่ความขัดแย้ง ความทุกข์ทรมาน และความหิวโหยในฉนวนกาซา” อัลบาเนซีกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ประกาศดังกล่าวของออสเตรเลียมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงผลักดันที่มากขึ้นสู่การแก้ไขปัญหาแบบสองรัฐในภูมิภาค เช่นเดียวกับประกาศในลักษณะเดียวกันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียหวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ หันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

อัลบาเนซีระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือและการเจรจากับคู่เจรจาจากนานาประเทศ รวมถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล การปรึกษาหารือเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

การที่ออสเตรเลีย รับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง แนวทางแก้ปัญหาสองรัฐเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค การรับรองนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียในการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในตะวันออกกลาง

การสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐของออสเตรเลียสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี รัฐบาลออสเตรเลียเชื่อว่าการสร้างรัฐปาเลสไตน์ที่สามารถอยู่ร่วมกับอิสราเอลอย่างสันติสุขเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

อนาคตของปาเลสไตน์และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่การตัดสินใจของออสเตรเลียในการ รับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความหวังและการสนับสนุนจากนานาชาติ การสนับสนุนนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่สันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคในที่สุด

ที่มา – ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐ

อินวิเดีย-เอเอ็มดี มอบรายได้ให้สหรัฐฯ แลกส่งออก

กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการเทคโนโลยี เมื่อ อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก ข้อตกลงนี้สร้างความฮือฮาและคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของการค้าและการแข่งขันในตลาดชิปโลก

อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ให้สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก จริงหรือ?

บริษัทชิปยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อย่างอินวิเดีย (Nvidia) และเอเอ็มดี (AMD) ได้ตกลงที่จะมอบรายได้ 15% ของยอดขายชิปเซมิคอนดักเตอร์ในจีนให้กับสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการได้รับใบอนุญาตในการส่งออกไปยังจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการชิปสูง

ตามข้อตกลงนี้ อินวิเดียจะมอบรายได้ 15% จากการจำหน่ายชิป H20 ในจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะที่เอเอ็มดีจะมอบรายได้ในสัดส่วนเดียวกันจากรายได้ของชิป MI308 ข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการควบคุมและเข้าถึงส่วนแบ่งรายได้จากตลาดเทคโนโลยีในจีน

อินวิเดียได้เปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีว่า “เราปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สหรัฐฯ กำหนดไว้สำหรับการเข้าสู่ตลาดทั่วโลก แม้ว่าเราจะไม่ได้จัดส่งชิปรุ่น H20 ไปยังจีนมาหลายเดือนแล้ว แต่เราหวังว่าระเบียบการควบคุมการส่งออกจะช่วยให้อเมริกาสามารถแข่งขันในจีนและทั่วโลกได้”

นอกจากนี้ อินวิเดียยังกล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯ ทำผิดพลาดซ้ำรอย 5G และสูญเสียความเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมได้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของอเมริกาสามารถเป็นมาตรฐานของโลกได้ หากเราแข่งขันกัน” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลว่าการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เอเอ็มดีไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ในประเด็นนี้

อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก

ชาร์ลี ได รองประธานและนักวิเคราะห์หลักของฟอร์เรสเตอร์ (Forrester) บริษัทวิจัยระดับโลก กล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าว “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ซึ่งเน้นย้ำถึงต้นทุนที่สูงในการเข้าถึงตลาด ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าด้านเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้น ข้อตกลงนี้สร้างแรงกดดันทางการเงินอย่างมหาศาลและความไม่แน่นอนเชิงกลยุทธ์แก่บรรดาผู้จำหน่ายเทคโนโลยี

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามไม่ให้อินวิเดียจำหน่ายชิป H20 ให้กับจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แม้ว่าบริษัทเพิ่งประกาศว่าข้อห้ามดังกล่าวจะถูกยกเลิกก็ตาม โดยชิปประสิทธิภาพสูงเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในแอปพลิเคชัน AI ต่างๆ

ข้อตกลงที่ อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก นี้ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความผันผวนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต ผู้บริโภคและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมควรติดตามความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิด

การที่ อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของตลาดเทคโนโลยีโลก สิ่งนี้อาจนำไปสู่รูปแบบใหม่ของการแข่งขัน การกำกับดูแล และความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ในอนาคต

ที่มา – อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก