กัวลาลัมเปอร์

ผู้นำเกาหลีใต้ประชุมอาเซียน ปราบสแกมเมอร์ หนุนสันติภาพ

ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง ผู้นำเกาหลีใต้ เตรียมเดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งนับเป็นการเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีวาระสำคัญคือการผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์และหนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

วี ซองลัก ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ปธน.อีจะออกเดินทางในวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) เพื่อเข้าร่วมการประชุมอาเซียน และหารือแนวทางยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านระหว่างเกาหลีใต้กับกลุ่มประเทศอาเซียน

ในวันจันทร์ (27 ต.ค.) ปธน.อีจะนำเสนอวิสัยทัศน์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับชาติอาเซียน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ซึ่งมีญี่ปุ่นและจีนเข้าร่วมด้วย โดยเกาหลีใต้จะผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาค โดยเฉพาะกรณีที่มีชาวเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อ ดังนั้น การผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์จึงเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ ผู้นำเกาหลีใต้ได้ประกาศให้คำมั่นว่าจะผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับอาชญากรรมข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง หลังเกิดเหตุการณ์นักศึกษาชาวเกาหลีใต้ถูกแก๊งอาชญากรรมในกัมพูชาทรมานจนเสียชีวิตเมื่อเดือนส.ค.

ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้ยังเผยด้วยว่า ปธน.อีมีกำหนดหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ผู้นำกัมพูชา เพื่อกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ และหารือปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ รวมถึงพบปะกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ในระดับภูมิภาค ผู้นำเกาหลีใต้มีแผนผลักดันความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น ผ่านเวทีอาเซียน เพื่อสร้างวงจรความร่วมมือที่สร้างสรรค์ พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี และขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน การที่ผู้นำเกาหลีใต้ประชุมอาเซียนครั้งนี้จึงมีความสำคัญต่อสันติภาพในภูมิภาค

ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่าน ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ปธน.อีได้เสนอแนวทางคลี่คลายความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีภายใต้แผน “END Initiative” ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การแลกเปลี่ยน (Exchange) การปรับความสัมพันธ์สู่ระดับปกติ (Normalization) และการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ (Denuclearization)

ผู้นำเกาหลีใต้เตรียมบินประชุมอาเซียน ผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์-หนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

เป้าหมายหลัก: ปราบสแกมเมอร์และหนุนสันติภาพ

เป้าหมายหลักของการเดินทางไปประชุมอาเซียนของผู้นำเกาหลีใต้ในครั้งนี้ นอกเหนือจากการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ยังมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ที่หลอกลวงชาวเกาหลีใต้ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการผลักดันสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาชาติ

การที่ผู้นำเกาหลีใต้ประชุมอาเซียน ผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์-หนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเกาหลีใต้ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และการสร้างสันติภาพในภูมิภาค

สิ่งที่น่าจับตามองคือ เกาหลีใต้จะสามารถผลักดันความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการปราบปรามสแกมเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และวิสัยทัศน์สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีของผู้นำเกาหลีใต้จะได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียนมากน้อยเพียงใด คงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

การประชุมอาเซียนครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เกาหลีใต้จะได้แสดงบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาสำคัญของภูมิภาค และสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย

ที่มา – ผู้นำเกาหลีใต้เตรียมบินประชุมอาเซียน ผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์-หนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอล

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อชาวมาเลเซียหลายพันคนออกมาประท้วงด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ เร่งกดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนกาซา

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นต่อการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดการเดินทางมายังมาเลเซียในเดือนนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

กองทัพเรืออิสราเอลได้เข้าสกัดกั้นเรือหลายลำในขบวนเรือ “โกลบอล ซูมูด โฟลทิลลา” (Global Sumud Flotilla หรือ GSF) ขณะกำลังเดินทางเข้าสู่ชายฝั่งกาซาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีการควบคุมตัวผู้โดยสารทั้งหมดไปยังท่าเรือของอิสราเอล

สำนักข่าวเบอร์นามารายงานว่า กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้สหรัฐฯ กดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือเหล่านี้สามารถนำความช่วยเหลือไปยังชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และปล่อยตัวผู้ที่อยู่บนกองเรือดังกล่าว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุว่า ชาวมาเลเซีย 23 คนที่อยู่บนเรือเหล่านั้นถูกอิสราเอลควบคุมตัว

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเปิดเผยว่า ทางกระทรวงได้รับข้อมูลว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดบนเรือปลอดภัยและมีสุขภาพดี และจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศที่ 3 โดยรัฐบาลจะยังคงดำเนินการเพื่อปกป้องความปลอดภัยของชาวมาเลเซียในต่างประเทศต่อไป

เดิมทีนั้น แผนการของปธน.ทรัมป์ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมทั้งกลุ่มอาเซียนและมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพ แต่ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากในมาเลเซียซึ่งมีความกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับสงครามในฉนวนกาซา ต่างก็รู้สึกโกรธเคืองจากข่าวการควบคุมตัวนักกิจกรรมบนเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

รายงานระบุว่า พรรคพีเอเอส (PAS) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียกำลังวางแผนจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ หากทรัมป์เดินทางมาเยือน เพื่อประท้วงการที่สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอล ขณะที่มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกคำเชิญทรัมป์ เนื่องจากมองว่าทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

ขณะที่อิสราเอลมองว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของกองเรือดังกล่าวคือการยั่วยุ โดยกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลระบุว่า มีหลักฐานว่ากองเรือเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มฮามาส

มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26-28 ต.ค. โดยอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุว่า ปธน.ทรัมป์ได้ยืนยันการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่านเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะเข้าร่วมการประชุมเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า หลังจากปธน.ทรัมป์เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดอาเซียน เขาจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจูในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นในตะวันออกกลาง รวมถึงความเห็นต่างและการแสดงออกทางการเมืองในระดับนานาชาติ การที่ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงจุดยืนของประชาชนชาวมาเลเซียต่อประเด็นดังกล่าว

ทำไมชาวมาเลเซียถึงประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา?

การประท้วงเกิดขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา และความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการกดดันให้อิสราเอลเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าไปถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้คนทั่วโลก รวมถึงในมาเลเซีย การที่ประชาชนออกมาแสดงออกอย่างสันติวิธีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและเคารพ

เหตุการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้อย่างแท้จริง และเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

การที่ชาวมาเลเซียออกมาแสดงออกถึงความกังวลและความห่วงใยต่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์และความปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ท่าทีของนานาชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

ที่มา – ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

กำแพงภาษี: หัวข้อหารือ สหรัฐฯ-อาเซียน

การประชุมระหว่างผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และรัฐมนตรีจากชาติอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันพุธนี้ (24 ก.ย.) ส่อแววว่าประเด็นเรื่องกำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน โดยจะเน้นไปที่ข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุน

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียนที่อาจเกิดขึ้น โดยอัตราภาษีที่เรียกเก็บในภูมิภาคนี้อยู่ที่ 19-20% สำหรับหลายประเทศ, 40% สำหรับลาวและเมียนมา, และ 10% สำหรับสิงคโปร์

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) คาดการณ์ว่าเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 6 ของโลกไปยังสหรัฐฯ, มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้สูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หากถูกเก็บภาษีสินค้า 20%, ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในภูมิภาค

เต็งกู ซาฟรูล อาซิซ รัฐมนตรีกระทรวงการค้ามาเลเซีย ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเศรษฐกิจกับรัฐมนตรีจาก 10 ชาติอาเซียน กล่าวว่า “เราจะได้หารือเรื่องภาษีหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่เราต้องรอดู”

“การที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนทุกคนยังคงอยู่ที่นี่เพื่อหารือกับสหรัฐฯ และการที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เดินทางมาด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าทั้งอาเซียนและสหรัฐฯ ต่างให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในด้านการค้าและการลงทุน และนั่นคือสิ่งสำคัญ” เต็งกู ซาฟรูลกล่าว

ที่ผ่านมา ชาติสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ต่างแยกกันเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นภาษีศุลกากรเป็นรายประเทศ แต่สถานการณ์ปัจจุบันอาจผลักดันให้ต้องสร้างจุดยืนร่วมกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความเสี่ยงในการถูกขึ้นภาษีในรายสาขาอุตสาหกรรม, โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทย มาเลเซีย และเวียดนาม

เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงการตั้งกำแพงภาษีเซมิคอนดักเตอร์ไว้ที่ 100% โดยจะยกเว้นให้กับบริษัทที่ผลิตในสหรัฐฯ หรือสัญญาว่าจะลงทุนผลิตในประเทศ

กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน

สถานการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายจับตาดูว่า กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าอย่างไร และอาเซียนจะรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร

ผลกระทบและแนวทางที่อาจเกิดขึ้นจากกำแพงภาษี

การที่สหรัฐฯ พิจารณาใช้ กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณการส่งออก การเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้า และอาจนำไปสู่การชะลอตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ แต่ละประเทศในอาเซียนก็มีแนวทางในการรับมือที่แตกต่างกัน บางประเทศอาจมุ่งเน้นการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เป็นรายประเทศ ในขณะที่บางประเทศอาจพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง

นอกจากนี้ การหาตลาดใหม่ๆ และการส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาคก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่อาเซียนสามารถนำมาใช้เพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน ได้

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการตอบสนองของอาเซียนต่อสถานการณ์นี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจในภูมิภาคในอนาคตอันใกล้นี้ การติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่สนใจในเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ที่มา – กำแพงภาษีส่อเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-อาเซียน