Pmi

PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลง ก.ย. นี้!

วันนี้เรามาอัปเดตข่าวเศรษฐกิจอินเดียกันหน่อยนะครับ กับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการล่าสุด หลายคนอาจจะสงสัยว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. นี่มันหมายความว่ายังไง? แล้วมีผลกระทบอะไรบ้าง? มาดูกันเลย!

ผลสำรวจจาก S&P Global เผยว่าดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 60.9 ในเดือนกันยายน จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 62.9 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปีเลยทีเดียว ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เบื้องต้นที่ 61.6 ด้วยนะครับ

แต่ไม่ต้องตกใจกันไป ดัชนี PMI ที่สูงกว่า 50 นั้นยังคงบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจยังอยู่ในภาวะขยายตัวอยู่ เพียงแต่เป็นการขยายตัวที่ช้าลงเท่านั้นเองครับ ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ถึงจะเรียกว่าอยู่ในภาวะหดตัว

บริษัทต่างๆ รายงานว่าธุรกิจยังคงเติบโตได้เนื่องจากอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่งและการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่ก็มีบางบริษัทที่ยอมรับว่ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นและมาตรการควบคุมต้นทุนอยู่เช่นกัน เรียกได้ว่ามีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยท้าทายที่ต้องรับมือกันไป

สำหรับดัชนีธุรกิจใหม่ แม้จะลดลงจากเดือนสิงหาคม แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งและขยายตัวเร็วที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2567 เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก

อย่างไรก็ตาม ดัชนีอุปสงค์จากต่างประเทศสำหรับภาคบริการของอินเดียอ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม บริษัทต่างๆ ระบุว่าการแข่งขันด้านราคากับผู้ให้บริการต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งยอดขาย งานนี้ต้องทำการบ้านกันหนักหน่อยแล้ว!

ถึงกระนั้น ความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับปีหน้ากลับปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน บริษัทต่างๆ ให้เหตุผลว่าตนมีมุมมองเชิงบวกจากแผนการจัดแคมเปญโฆษณา การคาดการณ์ว่าประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ราคาที่แข่งขันได้ และแนวโน้มการลดหย่อนภาษี มองไปข้างหน้าก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้ลุ้นกันอยู่

แต่ก็มีเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ การจ้างงานยังขยายตัวในระดับที่ไม่สูงนัก โดยมีบริษัทไม่ถึง 5% ที่ตอบแบบสำรวจว่ามีการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจได้ในระยะยาว

ทั้งแรงกดดันด้านต้นทุนและการขึ้นราคาบริการต่างปรับลดลงจากเดือนสิงหาคม การผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคอยู่ในอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคโดยตรงครับ

อัตราเงินเฟ้อของอินเดียในเดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.61% ในเดือนกรกฎาคม ยุติแนวโน้มขาลงที่ดำเนินมาติดต่อกัน 9 เดือน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2-6% ของธนาคารกลางอินเดีย ซึ่งในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ธนาคารกลางได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (repo rate) ไว้ที่ 5.50%

ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ลดลงมาอยู่ที่ 61.0 ในเดือนกันยายน จาก 63.2 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน แต่ยังสะท้อนถึงการขยายตัวโดยรวมที่แข็งแกร่งอยู่

ตัวเลขในดัชนี PMI รวมชี้ให้เห็นว่าทั้งสองภาคส่วนเติบโตช้าลง โดยมีคำสั่งซื้อใหม่และผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงในเดือนกันยายน ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่ว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย.

PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย.

สรุปง่ายๆ ก็คือ PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. จริง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจของอินเดียก็ยังอยู่ในช่วงขยายตัว เพียงแต่ต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ทำไม PMI ภาคบริการอินเดียถึงโตช้าลง?

สาเหตุหลักๆ ก็มาจากอุปสงค์ที่แผ่วลง โดยเฉพาะอุปสงค์จากต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันภายในประเทศและมาตรการควบคุมต้นทุนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเติบโตช้าลง

ถึงแม้ว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังจะแย่ลงนะครับ เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณว่าเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมองหาโอกาสในการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ ที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต

สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนและวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่าลืมติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆ นะครับ

ที่มา – PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. หลังดีมานด์แผ่ว

PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. ยังโตแกร่ง!

ผลสำรวจล่าสุดเผยว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนทางกับภาคการผลิตที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย นี่เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม

PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นจาก S&P Global ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 53.3 ในเดือนกันยายน จาก 53.1 ในเดือนสิงหาคม ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของภาคบริการอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น

การเติบโตของ PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. นี้ ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดคำสั่งซื้อใหม่ภายในประเทศ ในขณะที่ยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศกลับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ภาคบริการยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับปริมาณงานที่มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่มีต่อแนวโน้มในอนาคต

ปัจจัยขับเคลื่อน PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.

ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคบริการของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแผนการขยายธุรกิจและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทต่าง ๆ ยังคงต้องรับมือกับต้นทุนค่าแรง ค่าวัตถุดิบ และค่าเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้จำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคโดยการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ

ถึงแม้ว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. จะแสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับไม่ได้สดใสเท่าที่ควร ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนกันยายน จาก 52.0 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม สาเหตุหลักมาจากการหดตัวอย่างรุนแรงของภาคการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลและต้องได้รับการแก้ไข

นักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า ผลสำรวจนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของอุปสงค์ภายในประเทศในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ ทั้งผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการต่างประสบปัญหาการลดลงของยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการพึ่งพาการส่งออกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น การมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาจเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่าในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวสำหรับประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานและการลดต้นทุนการผลิตก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ภาคการผลิตสามารถกลับมาฟื้นตัวและมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

โดยสรุปแล้ว แม้ว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. จะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของภาคบริการ แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การผสมผสานนโยบายที่เน้นการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การสนับสนุนภาคธุรกิจ และการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม

ที่มา – PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.ยังโตแกร่ง สวนทางภาคการผลิตซบเซา

PMI อินเดีย: ภาคผลิตแผ่ว ราคาพุ่งรอบ 12 ปี

ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง สวนทางกับราคาที่พุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 12 ปี สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงมีความผันผวน

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ซึ่งรวบรวมข้อมูลโดย S&P Global ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.7 ในเดือนกันยายน จากเดิม 59.3 ในเดือนสิงหาคม ตัวเลขนี้ต่ำกว่าการประเมินเบื้องต้นที่ 58.5 และถือเป็นระดับที่อ่อนตัวที่สุดในรอบ 4 เดือน แม้ว่าดัชนีจะยังคงสูงกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัว แต่การชะลอตัวลงนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง

โดยทั่วไปแล้ว ดัชนี PMI ที่สูงกว่า 50 แสดงถึงกิจกรรมทางธุรกิจที่อยู่ในช่วงขยายตัว ในขณะที่ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว การที่ PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง จึงเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การขยายตัวชะลอลงมาจากการที่ยอดสั่งซื้อใหม่และผลผลิตต่างก็อ่อนกำลังลง ผู้ตอบแบบสำรวจชี้ว่าแรงกดดันจากการแข่งขันที่เข้มข้นเป็นปัจจัยลบที่สำคัญ แม้ว่ายอดสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศจะกลับมาเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าก็ตาม

นักเศรษฐศาสตร์จาก HSBC ให้ความเห็นว่า ยอดสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าเดิมในเดือนกันยายน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์จากนอกสหรัฐฯ กำลังเข้ามาช่วยชดเชยอุปสงค์ที่ลดลงจากสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากมาตรการทางภาษีต่างๆ

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานก็ชะลอตัวลงสู่ระดับที่อ่อนแอที่สุดในรอบปี โดยมีบริษัทเพียง 2% เท่านั้นที่ขยายกำลังคนของตน สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังในการลงทุนและขยายธุรกิจ

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อของราคาปัจจัยการผลิตได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับขึ้นราคาขายในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 12 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันต่อผู้บริโภคและอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในอนาคต

PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง นั้นอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดหุ้น ซึ่งนักลงทุนอาจมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ทำไม PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลงจึงสำคัญ?

ดัชนี PMI ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่ทันต่อเหตุการณ์เกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงในดัชนีนี้สามารถช่วยให้นักวิเคราะห์และผู้กำหนดนโยบายเข้าใจถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจและทำการตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

  • การชะลอตัวของยอดสั่งซื้อใหม่: แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ที่ลดลงทั้งในและต่างประเทศ
  • การจ้างงานที่ชะลอตัว: บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน
  • อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น: สร้างแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตและราคาขาย

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะยังคงเติบโต แต่สัญญาณของการชะลอตัวในภาคการผลิตและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด การที่ PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และนักลงทุนและผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในการปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาจเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้

ที่มา – PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง สวนทางราคาขึ้นแตะไฮในรอบเกือบ 12 ปี

จีนเผย PMI ภาคการผลิตหดตัว ก.ย. ดีมานด์ชะลอ

ล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนกันยายนอยู่ที่ 49.8 ซึ่งสูงกว่าเดือนสิงหาคมที่ 49.4 แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49.6 ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า จีนเผย PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องในเดือนก.ย. เหตุดีมานด์ชะลอตัว ถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนจะพยายามออกมาตรการควบคุมกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมแล้วก็ตาม สถานการณ์นี้ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอลงและปัญหาการค้าทั่วโลก

จีนเผย PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องในเดือนก.ย. เหตุดีมานด์ชะลอตัว

ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนยังคงอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ สาเหตุหลักมาจากความต้องการภายในประเทศที่ลดลง และผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อสินค้าที่ส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การประเมินจากทางการจีนมีความแตกต่างจากการประเมินของภาคเอกชน ดัชนี RatingDog China Manufacturing PMI จาก S&P Global อยู่ที่ 51.2 ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 50.2 ดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงว่าภาคการผลิตของจีนมีการขยายตัว

ทำไมตัวเลข PMI ภาคการผลิตถึงแตกต่างกัน?

ความแตกต่างของตัวเลข PMI ภาคการผลิตที่รายงานโดยหน่วยงานรัฐบาลและเอกชน อาจเกิดจากวิธีการเก็บข้อมูลและกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน ทำให้การวิเคราะห์และตีความสถานการณ์ทางเศรษฐกิจต้องพิจารณาข้อมูลจากหลายแหล่งประกอบกัน

นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนแปลงชื่อดัชนี Caixin PMI เป็น RatingDog China PMI ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากข้อตกลงระหว่าง RatingDog (Shenzhen) Information Technology Co., Ltd. และ S&P Global ที่ให้ RatingDog ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อบริษัทในดัชนี PMI จีนที่รวบรวมโดย S&P Global

สถานการณ์ จีนเผย PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องในเดือนก.ย. เหตุดีมานด์ชะลอตัว เช่นนี้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของจีนในระยะต่อไป หลายฝ่ายกำลังจับตามองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่อาจถูกนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูภาคการผลิต

ผลกระทบของการที่ จีนเผย PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องในเดือนก.ย. เหตุดีมานด์ชะลอตัว ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก การชะลอตัวของภาคการผลิตในจีนอาจส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและความผันผวน

ในขณะที่ตัวเลข PMI ภาคการผลิตของทางการยังอยู่ในภาวะหดตัว การที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของ RatingDog แสดงให้เห็นถึงการขยายตัว อาจบ่งชี้ถึงสัญญาณบวกบางอย่างในภาคการผลิตของจีน ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามและวิเคราะห์อย่างใกล้ชิดต่อไป

โดยสรุปแล้ว ข้อมูล PMI ภาคการผลิตล่าสุดจากจีนแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่ภาคการผลิตของจีนกำลังเผชิญอยู่ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอนาคต

ที่มา – จีนเผย PMI ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องในเดือนก.ย. เหตุดีมานด์ชะลอตัว

จีนเผย PMI ภาคการผลิตเดือน ส.ค. หดตัวต่อเนื่อง

สถานการณ์เศรษฐกิจจีนยังคงเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด ล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยผลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญอยู่

จีนเผย PMI ภาคการผลิตเดือน ส.ค. หดตัวต่อเนื่องเดือนที่ 5

ผลสำรวจอย่างเป็นทางการระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของจีนมีการขยับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนสิงหาคม แต่ยังคงอยู่ในภาวะ จีนเผย PMI ภาคการผลิตเดือน ส.ค. หดตัวต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าผู้ผลิตในประเทศยังคงระมัดระวังและรอความชัดเจนเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่ยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการโดยรวม

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ได้รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 49.4 ในเดือนสิงหาคม จาก 49.3 ในเดือนกรกฎาคม ตัวเลขนี้ยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างภาวะขยายตัวและหดตัวของภาคการผลิต

นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนสิงหาคมจะอยู่ที่ 49.5 แต่ตัวเลขจริงที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ สะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนยังคงเผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง การที่ดัชนี จีนเผย PMI ภาคการผลิตเดือน ส.ค. หดตัวต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 5 ยิ่งตอกย้ำถึงความท้าทายที่ภาคการผลิตของจีนกำลังประสบอยู่

ภาคบริการขยายตัวขึ้นเล็กน้อย

ในขณะที่ภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะหดตัว ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) แสดงให้เห็นว่าดัชนี PMI ภาคบริการ กลับมีการขยายตัวที่เร็วขึ้น โดยปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 50.3 ในเดือนสิงหาคม จาก 50.1 ในเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.3

ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการ อยู่ที่ 50.5 ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 50.2 ในเดือนกรกฎาคม การปรับตัวขึ้นของดัชนีรวมนี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนโดยรวม แต่ก็ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป

เศรษฐกิจจีนในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่ชะลอตัวลงเนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะซบเซา ความไม่แน่นอนในตลาดแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาหนี้สินจำนวนมากของรัฐบาลท้องถิ่น นักเศรษฐศาสตร์มองว่า ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 5%

การที่ จีนเผย PMI ภาคการผลิตเดือน ส.ค. หดตัวต่อเนื่อง บ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น และการสร้างเสถียรภาพในตลาดแรงงาน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีนอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา – จีนเผย PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. หดตัวต่อเนื่องเดือนที่ 5, ภาคบริการขยายตัวขึ้นเล็กน้อย