Openai

OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO – Microsoft ถือหุ้น 27%

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และโอเพนเอไอ (OpenAI) ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การเสนอขายหุ้น IPO โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ข้อตกลงนี้เปิดโอกาสให้ผู้สร้าง ChatGPT สลัดภาพองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และเตรียมพร้อมสำหรับการระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ในอนาคต ภายใต้การนำของซีอีโอ แซม อัลท์แมน

ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ โอเพนเอไอ ซึ่งมีมูลค่าบริษัทประเมินกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ จะถูกปรับโครงสร้างเป็น “บริษัทเพื่อประโยชน์สาธารณะ” (Public Benefit Corporation – PBC) ที่ยังคงถูกควบคุมโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร อัลท์แมนระบุว่าการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นเส้นทางที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับอนาคตของบริษัท เนื่องจากต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการสร้างและฝึกฝนระบบ AI

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโอเพนเอไอ (OpenAI) ในการระดมทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นการ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO ที่น่าจับตามอง

ในไลฟ์สตรีม อัลท์แมนและยาคุบ พาชอคกี หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของโอเพนเอไอ ได้สรุปแผนการที่จะเปลี่ยนโอเพนเอไอจากบริษัทที่เน้นผลิตภัณฑ์ไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้คนทั่วโลกสามารถสร้างเครื่องมือ บริการ และธุรกิจของตนเองบนเทคโนโลยีของบริษัทได้

ความเคลื่อนไหวนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน รวมถึง เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดีย (Nvidia) ที่กล่าวว่า “ถ้าคุณบอกผมว่าโอเพนเอไอจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า ผมก็ไม่แปลกใจเลย และนี่อาจเป็นหนึ่งในการเสนอขายหุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์”

ข้อตกลงครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อยกเลิกข้อจำกัดสำคัญในการระดมทุนและจัดหาทรัพยากรคอมพิวเตอร์จากไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในข้อตกลงเดิมตั้งแต่ปี 2562 และได้กลายเป็นต้นตอของความตึงเครียดหลังจาก ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย

การหารือเพื่อ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO เริ่มต้นขึ้นหลังเหตุการณ์ที่อัลท์แมนถูกปลดออกจากตำแหน่งชั่วคราวในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใครของโอเพนเอไอได้จำกัดอำนาจของนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างไมโครซอฟท์

อย่างไรก็ตาม โฆษกของโอเพนเอไอยืนยันว่า อัลท์แมนจะไม่ได้รับหุ้นในบริษัทใหม่ และยังคงได้รับค่าตอบแทนเท่าเดิมที่ประมาณ 76,000 ดอลลาร์ต่อปี

อัลท์แมนเปิดเผยว่า โอเพนเอไอมีภาระผูกพันทางการเงินสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลขนาดประมาณ 30 กิกะวัตต์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1 กิกะวัตต์ต่อสัปดาห์

บริษัทใหม่ในชื่อ โอเพนเอไอ กรุ๊ป พีบีซี (OpenAI Group PBC) จะดำเนินงานคล้ายกับบริษัททั่วไปมากขึ้น ตอกย้ำอำนาจของอัลท์แมนในการตัดสินใจและทำข้อตกลงต่าง ๆ โดยไมโครซอฟท์จะยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 27% คิดเป็นมูลค่าราว 1.35 แสนล้านดอลลาร์ และยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญในอนาคตของบริษัทต่อไป ซึ่งข้อตกลงนี้สะท้อนว่าไมโครซอฟท์สร้างผลตอบแทนได้เกือบ 10 เท่าจากเงินลงทุน 1.38 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้นไมโครซอฟท์ปรับตัวขึ้น 2% และมีมูลค่าตลาดทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์อีกครั้ง

ข้อตกลงนี้จะผูกพันทั้งสองบริษัทไปจนถึงปี 2575 เป็นอย่างน้อย โดยโอเพนเอไอจะยังคงแบ่งปันรายได้ประมาณ 20% ให้กับไมโครซอฟท์ต่อไปอีกหลายปี และข้อตกลงการแบ่งรายได้จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคณะกรรมการอิสระประกาศว่าโอเพนเอไอบรรลุถึง “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” (Artificial General Intelligence – AGI) แล้วเท่านั้น

เบรต เทย์เลอร์ ประธานคณะกรรมการของมูลนิธิโอเพนเอไอ (OpenAI Foundation) ยืนยันว่า “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรยังคงควบคุมองค์กรที่แสวงหาผลกำไร และตอนนี้มีช่องทางเข้าถึงทรัพยากรมหาศาลได้โดยตรง” โดยคณะกรรมการของมูลนิธิฯ ซึ่งรวมถึงอัลท์แมน จะมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนสมาชิกคณะกรรมการของบริษัท PBC

อดัม ซาร์ฮาน ซีอีโอของ 50 ปาร์ค อินเวสท์เมนท์ส (50 Park Investments) มองว่า “โอเพนเอไอยังคงเผชิญกับการตรวจสอบเรื่องความโปร่งใสและการใช้ข้อมูล แต่โดยรวมแล้ว โครงสร้างนี้น่าจะช่วยให้มีเส้นทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับนวัตกรรมและความรับผิดชอบ”

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเปิดเผยอีกว่าได้บรรลุข้อตกลงให้โอเพนเอไอซื้อบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Azure มูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการที่ไมโครซอฟท์จะสละสิทธิ์ในการเป็นผู้ให้บริการด้านการประมวลผลแก่โอเพนเอไอแต่เพียงผู้เดียว (right of first refusal) อีกต่อไป

OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO

โดยสรุปแล้ว การ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และการเติบโตของ OpenAI การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อ OpenAI และ Microsoft เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวมอีกด้วย

ทำไมการปรับโครงสร้าง OpenAI และการปูทางสู่ IPO ถึงสำคัญ?

การ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มากขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OpenAI ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และพร้อมที่จะเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืน การปรับโครงสร้างนี้เป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่สดใสของ OpenAI และเทคโนโลยี AI

ที่มา – OpenAI ปรับโครงสร้างใหม่ปูทาง IPO – Microsoft ยังคงถือหุ้น 27%

Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่มใน OpenAI

มาดูกันว่า Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ! เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของเทคโนโลยี AI เลยทีเดียว

Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ

แหล่งข่าวจากเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี The Information รายงานว่า SoftBank Group ได้อนุมัติเงินลงทุนงวดที่สองมูลค่ามหาศาลถึง 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ OpenAI เพื่อให้ครบตามแผนการลงทุนรวมที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว

คณะกรรมการของ SoftBank ได้เห็นชอบการจ่ายเงินลงทุนก้อนใหญ่นี้ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI จะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรให้แล้วเสร็จเสียก่อน เพื่อเปิดทางไปสู่การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะในอนาคต หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ IPO นั่นเอง

รายละเอียดการลงทุน Softbank ใน OpenAI

ตามรายงานระบุว่า เงินทุนก้อนโตนี้เป็นส่วนหนึ่งของรอบระดมทุนครั้งใหญ่ที่ OpenAI ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ SoftBank ได้จ่ายเงินลงทุนงวดแรกไปแล้วจำนวน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน และได้ตกลงที่จะจ่ายเงินลงทุนเพิ่มเติมอีก 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า OpenAI จะต้องเปลี่ยนผ่านสู่บริษัทเพื่อแสวงหากำไรให้ได้ภายในสิ้นปีนี้

อย่างไรก็ตาม มีข้อแม้ว่า หากการปรับโครงสร้างองค์กรของ OpenAI ไม่เป็นผลสำเร็จ จำนวนเงินลงทุนที่ SoftBank จะมอบให้ก็จะถูกปรับลดลงเหลือเพียง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น

จนถึงขณะนี้ ทั้ง SoftBank และ OpenAI ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวนี้ ทำให้เราต้องติดตามข่าวสารกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

การที่ Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่ Softbank มีต่อศักยภาพของ OpenAI และเทคโนโลยี AI ที่ OpenAI กำลังพัฒนาอยู่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี

การลงทุนครั้งนี้ของ Softbank ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการเทคโนโลยี AI และสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนและผู้ที่ติดตามวงการนี้อย่างมาก เนื่องจาก OpenAI เป็นบริษัทแถวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก

หาก OpenAI สามารถปรับโครงสร้างองค์กรได้สำเร็จและได้รับการลงทุนตามแผนที่วางไว้ ก็จะช่วยให้ OpenAI สามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และอาจนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้อีกมากมาย ที่สำคัญคือเรื่องของ "Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ" นี่แหละครับที่ทำให้หลายคนจับตามอง

แน่นอนว่า การที่ Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ จะส่งผลกระทบต่อตลาดเทคโนโลยีอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการแข่งขัน การสร้างงาน หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจต่างๆ

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในเทคโนโลยี AI ควรศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ OpenAI และ Softbank อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ

โดยสรุปแล้ว ข่าวที่ว่า Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี AI ในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา – Softbank อนุมัติเงินลงทุนเพิ่ม 2.25 หมื่นล้านดอลล์ใน OpenAI หากปรับโครงสร้างสำเร็จ

OpenAI ไฟเขียวเนื้อหา 18+ ใน ChatGPT เริ่มธ.ค.นี้

แซม อัลท์แมน ซีอีโอของโอเพนเอไอ (OpenAI) ประกาศว่า บริษัทจะเริ่มอนุญาตให้ผู้ใช้ ChatGPT ที่ผ่านการยืนยันอายุ สามารถเข้าถึงเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่เดือนธ.ค. นี้เป็นต้นไป ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของ AI และเนื้อหาที่สร้างขึ้น

OpenAI

อัลท์แมนระบุในโพสต์ผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันอังคาร (14 ต.ค.) ว่า “ในขณะที่เรากำลังทยอยนำระบบจำกัดอายุมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ และตามหลักการ ‘ปฏิบัติต่อผู้ใช้ที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนผู้ใหญ่’ เราจะอนุญาตเนื้อหาประเภทอื่น ๆ มากขึ้น เช่น เนื้อหาแนวอีโรติกสำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้ว

ซีอีโอของโอเพนเอไอชี้แจงถึงเหตุผลเบื้องหลังข้อจำกัดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้ทำให้ ChatGPT มีข้อจำกัดที่เข้มงวดเพื่อความระมัดระวังในประเด็นด้านสุขภาพจิต ซึ่งส่งผลให้แชตบอตมีประโยชน์หรือน่าใช้งานน้อยลงสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีปัญหาดังกล่าว แต่ปัจจุบันโอเพนเอไอมีเครื่องมือใหม่ ๆ ที่สามารถบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพจิตได้แล้ว และเตรียมที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดส่วนใหญ่ลงอย่างปลอดภัย ซึ่งหมายความว่า OpenAI ไฟเขียวเนื้อหา 18+ ใน ChatGPT เริ่มธ.ค.นี้ จะเป็นจริง

นอกจากนี้ อัลท์แมนยังได้เผยถึงฟีเจอร์ใหม่ที่จะเปิดตัวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดน้ำเสียงและบุคลิกของ ChatGPT ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้การใช้งานมีความหลากหลายและเป็นส่วนตัวมากขึ้น

ความเคลื่อนไหวของโอเพนเอไอเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่เมตา (Meta) ได้เปิดตัวระบบใหม่ในวันเดียวกัน เพื่อจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาของผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 18 ปีบนอินสตาแกรมและเครื่องมือ Generative AI ของบริษัท โดยใช้ระบบคัดกรองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรตติ้งภาพยนตร์ PG-13 สร้างความปลอดภัยและเหมาะสมกับวัยของผู้ใช้งาน

OpenAI ไฟเขียวเนื้อหา 18+ ใน ChatGPT เริ่มธ.ค.นี้

การตัดสินใจของ OpenAI ในการอนุญาตเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ใน ChatGPT สำหรับผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันอายุแล้ว ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับตัวของ AI ให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมของเยาวชน

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ OpenAI ไฟเขียวเนื้อหา 18+ ใน ChatGPT เริ่มธ.ค.นี้

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ OpenAI ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการยืนยันอายุและการใช้เครื่องมือที่สามารถบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่อาจมีผลกระทบต่อผู้ใช้บางราย บริษัทเชื่อว่าการให้ผู้ใช้ที่เป็นผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่หลากหลายมากขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่ยังคงรักษาความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งานโดยรวม

ผลกระทบของการตัดสินใจนี้ต่ออุตสาหกรรม AI และสังคมโดยรวมยังคงต้องรอดูกันต่อไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการพัฒนา AI และความจำเป็นในการพิจารณาถึงผลกระทบทางจริยธรรมและสังคมอย่างรอบคอบ

การที่ OpenAI ไฟเขียวเนื้อหา 18+ ใน ChatGPT เริ่มธ.ค.นี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามของบริษัทในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง และ OpenAI จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อสังคม

ดังนั้น การติดตามความคืบหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งานและสังคมโดยรวม และนำไปสู่การใช้งานเทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบ

ที่มา – OpenAI ไฟเขียวเนื้อหา 18+ ใน ChatGPT เริ่มธ.ค.นี้ สำหรับผู้ใช้ที่ยืนยันอายุแล้ว

สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI

สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI เหตุวงเงินประกันไม่พอ กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการเทคโนโลยี เมื่อหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ รายงานว่า OpenAI และ Anthropic กำลังพิจารณาใช้เงินทุนจากนักลงทุนเพื่อจัดการกับคดีความที่อาจเกิดขึ้นจาก AI เนื่องจากวงเงินประกันที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า OpenAI ได้ทำประกันคุ้มครองความเสี่ยงด้าน AI ไว้สูงสุด 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่แหล่งข่าวบางแห่งชี้ว่า ตัวเลขความคุ้มครองที่แท้จริงอาจต่ำกว่านั้นอย่างมาก และไม่เพียงพอต่อการรับมือกับคดีความที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

ด้วยเหตุนี้ OpenAI จึงกำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ เช่น การกันเงินทุนจากนักลงทุนไว้ หรือการจัดตั้งบริษัทประกันภัยในอาณัติ (captive) ซึ่งเป็นวิธีที่บริษัทขนาดใหญ่นิยมใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง

ในส่วนของ Anthropic ก็มีรายงานว่าบริษัทกำลังใช้เงินทุนของตนเองเพื่อรองรับการจ่ายเงินในการระงับคดีที่อาจเกิดขึ้นเช่นกัน สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI ตอกย้ำให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินงานของ AI ในอนาคต

สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI

สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและใช้งาน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความรับผิดทางกฎหมายและความคุ้มครองความเสี่ยง

ทำไม สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI ถึงสำคัญ?

การที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง OpenAI และ Anthropic ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายที่สูงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีกรอบการกำกับดูแล AI ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของผู้บริโภค

ประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่วงเงินประกันภัยที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าบริษัทประกันภัยยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้อย่างแม่นยำ และอาจต้องมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ การที่ OpenAI และ Anthropic พิจารณาใช้เงินทุนจากนักลงทุนเพื่อระงับคดีความ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจทำให้การระดมทุนในอนาคตเป็นไปได้ยากขึ้น

ทางออกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ การที่บริษัทต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อสร้างกลไกในการแบ่งปันความเสี่ยง เช่น การจัดตั้งกองทุนประกันภัยร่วม หรือการพัฒนาระบบการประเมินความเสี่ยง AI ที่เป็นมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่มีความรับผิดชอบและยั่งยืน สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI จะเป็นบทเรียนสำคัญให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างรอบคอบ

สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI ทิ้งคำถามสำคัญไว้ว่า เราจะรับมือกับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AI อย่างไร? การพัฒนา AI ควรคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่ไปด้วยเสมอ เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับมนุษยชาติอย่างแท้จริง

ที่มา – สื่อนอกตีข่าว OpenAI-Anthropic เล็งใช้เงินนักลงทุนระงับคดี AI เหตุวงเงินประกันไม่พอ

Samsung-SK hynix จับมือ OpenAI เพิ่มชิป AI

Samsung-SK hynix ประกาศร่วมมือ OpenAI หวังเพิ่มอุปทานชิป AI ขั้นสูง

บริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) และเอสเค ไฮนิกซ์ (SK hynix) สองยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปจากเกาหลีใต้ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ OpenAI ผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันพัฒนาและขยายอุปทานของชิป AI ขั้นสูง

ความร่วมมือนี้จะทำให้ทั้งสองบริษัทมีส่วนร่วมในโครงการ Stargate ของ OpenAI ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต ความต้องการชิปสำหรับ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และความร่วมมือนี้จะช่วยให้ OpenAI สามารถเข้าถึงชิปหน่วยความจำขั้นสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ระบุว่า ความร่วมมือนี้จะเน้นไปที่การเพิ่มอุปทานของชิปหน่วยความจำขั้นสูง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ AI ยุคหน้า รวมถึงการขยายขีดความสามารถของศูนย์ข้อมูลในเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ซัมซุงและเอสเค ไฮนิกซ์ มีแผนที่จะขยายการผลิตชิปหน่วยความจำขั้นสูง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนโมเดล AI ของ OpenAI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การประกาศความร่วมมือ Samsung-SK hynix ประกาศร่วมมือ OpenAI หวังเพิ่มอุปทานชิป AI ขั้นสูง ส่งผลให้หุ้นของซัมซุงพุ่งสูงขึ้นกว่า 4% ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ขณะที่หุ้นของเอสเค ไฮนิกซ์ ก็ทะยานขึ้นกว่า 9% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 ในตลาดหุ้นเกาหลีใต้

การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI เดินทางมาเยือนกรุงโซลและได้พบปะกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้อี แจ-มย็อง รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของซัมซุง และเอสเค ไฮนิกซ์ นอกจากนี้ OpenAI ยังได้ลงนามในข้อตกลงหลายฉบับเพื่อสำรวจการพัฒนาศูนย์ข้อมูล AI ยุคใหม่ในเกาหลีใต้ โดยมีความร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และไอซีทีของเกาหลีใต้, SK Telecom ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และบริษัทในเครือของซัมซุง

ก่อนหน้านี้ เอสเค ไฮนิกซ์ ได้ประกาศความพร้อมในการผลิตชิปหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM) รุ่นใหม่เพื่อจำหน่ายในปริมาณมาก ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในห่วงโซ่คุณค่าของเทคโนโลยี AI โดย HBM เป็นชิปหน่วยความจำที่ใช้สำหรับการประมวลผล AI และมีการใช้งานในชิปของ Nvidia ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเอสเค ไฮนิกซ์

อนาคตของ AI และ Samsung-SK hynix ประกาศร่วมมือ OpenAI หวังเพิ่มอุปทานชิป AI ขั้นสูง

ความร่วมมือระหว่าง Samsung, SK hynix และ OpenAI ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และแสดงให้เห็นถึงความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ความสามารถในการผลิตชิปคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของ AI และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อีกมากมาย

การร่วมมือกันของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละบริษัท แต่ยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกาหลีใต้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี AI ระดับโลก ตลาดชิป AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว Samsung-SK hynix ประกาศร่วมมือ OpenAI หวังเพิ่มอุปทานชิป AI ขั้นสูง จึงเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการคว้าโอกาสในตลาดนี้

สุดท้ายแล้ว การเข้าถึงชิป AI ขั้นสูงที่เพิ่มขึ้น จะนำไปสู่การพัฒนาโมเดล AI ที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การแพทย์ การเงิน ไปจนถึงการขนส่งและพลังงาน เราจะได้เห็น AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น และสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกที่เราอาศัยอยู่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ที่มา – Samsung-SK hynix ประกาศร่วมมือ OpenAI หวังเพิ่มอุปทานชิป AI ขั้นสูง

Microsoft-OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น OpenAI

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และโอเพนเอไอ (OpenAI) แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) ว่า ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขความสัมพันธ์ใหม่ ซึ่งจะเปิดทางให้โอเพนเอไอเดินหน้าเปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัทแสวงหาผลกำไรเต็มตัว ถือเป็นก้าวใหม่ของคู่พาร์ตเนอร์ที่ปลุกกระแส ChatGPT ให้โด่งดัง แม้รายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผย แต่ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่ากำลังเร่งสรุปสัญญาฉบับจริง

ดีลนี้ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญหลังการเจรจาที่ยืดเยื้อมานาน เพราะโอเพนเอไอต้องการระดมทุนเพิ่มภายใต้โครงสร้างบริษัทที่เหมือนธุรกิจทั่วไป และตั้งเป้าจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นในอนาคตเพื่อหาเงินมาพัฒนา AI ต่อไป

ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์เคยลงทุนในโอเพนเอไอไปแล้ว 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 และอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อต้นปี 2566 ซึ่งข้อตกลงเดิมทำให้ไมโครซอฟท์ได้สิทธิ์ขายซอฟต์แวร์ของโอเพนเอไอผ่านคลาวด์ Azure แต่เพียงผู้เดียว และได้ใช้เทคโนโลยีก่อนใคร

แต่ล่าสุด ไมโครซอฟท์ก็ยอมลดการผูกขาดลง เพื่อเปิดทางให้โอเพนเอไอไปทำโปรเจกต์ดาต้าเซ็นเตอร์ของตัวเองอย่าง “สตาร์เกต” (Stargate) รวมถึงไปเซ็นสัญญาระยะยาวมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์กับออราเคิล (Oracle) และทำข้อตกลงด้านคลาวด์กับกูเกิล (Google) ด้วย

เมื่อรายได้ของโอเพนเอไอพุ่งสู่ระดับหลายพันล้าน บริษัทจึงต้องการโครงสร้างที่เป็นสากลมากขึ้น และหาพาร์ทเนอร์คลาวด์เพิ่มเพื่อขยายธุรกิจและหาพลังประมวลผลให้เพียงพอ

ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ต้องการการันตีว่าจะได้ใช้เทคโนโลยีของโอเพนเอไอต่อไป แม้ในวันที่โอเพนเอไอประกาศว่า AI ของตนฉลาดเทียบเท่ามนุษย์แล้ว ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้สัญญาปัจจุบันต้องสิ้นสุดลงตามข้อตกลงเดิม

โอเพนเอไอระบุว่าภายใต้เงื่อนไขใหม่นี้ องค์กรฝั่งไม่แสวงผลกำไรจะได้รับเงินกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เงินจำนวนนี้คิดเป็น 20% ของมูลค่าประเมินที่ 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้องค์กรนี้กลายเป็นหนึ่งในหน่วยงานไม่แสวงผลกำไรที่รวยที่สุดในโลก ตามบันทึกของเบรต เทย์เลอร์ ประธานบอร์ดฝั่งไม่แสวงผลกำไร

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์จะถือหุ้นในโอเพนเอไอเป็นสัดส่วนเท่าใด และจะยังได้สิทธิ์ใช้โมเดลล่าสุดก่อนใครหรือไม่

แต่เส้นทางนี้ไม่ง่าย เพราะโอเพนเอไอยังต้องรอการอนุมัติโครงสร้างใหม่จากอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเดลาแวร์ โดยบริษัทหวังว่าจะเปลี่ยนผ่านให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงเสียเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์ที่ผูกกับเงื่อนไขเวลาดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ทั้งไมโครซอฟท์และโอเพนเอไอก็ยังแข่งขันกันเองในตลาด ตั้งแต่แชทบอตสำหรับคนทั่วไปจนถึงเครื่องมือ AI สำหรับธุรกิจ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ก็กำลังพัฒนาโมเดล AI ของตัวเองเพื่อลดการพึ่งพาโอเพนเอไอในระยะยาว

Microsoft-OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น เปิดทาง OpenAI ตั้งบริษัทแสวงหาผลกำไร

การที่ Microsoft และ OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น ถือเป็นสัญญาณที่น่าสนใจในวงการเทคโนโลยี AI อย่างมาก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ OpenAI ไปสู่บริษัทแสวงหาผลกำไรเต็มตัว จะส่งผลต่อการพัฒนา AI ในอนาคตอย่างไร? และ Microsoft จะยังคงบทบาทสำคัญในการสนับสนุน OpenAI ต่อไปหรือไม่? ต้องติดตามดูกันต่อไป

ข้อตกลงเบื้องต้นนี้สำคัญอย่างไร?

ข้อตกลงนี้มีความสำคัญเพราะแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของ OpenAI เพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้านเงินทุนและการขยายธุรกิจ การแสวงหาผลกำไรจะช่วยให้ OpenAI สามารถลงทุนในการพัฒนา AI ขั้นสูงได้อย่างต่อเนื่อง และดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้าร่วมทีมได้มากขึ้น นอกจากนี้ การมีพาร์ทเนอร์ด้านคลาวด์เพิ่มขึ้น จะช่วยให้ OpenAI มีพลังประมวลผลที่เพียงพอสำหรับการฝึกฝนโมเดล AI ที่ซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่ การอนุมัติโครงสร้างใหม่จากหน่วยงานภาครัฐ และการแข่งขันกับ Microsoft เอง ก็เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

การบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นระหว่าง Microsoft และ OpenAI นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการ AI หากคุณสนใจข่าวสารและเทคโนโลยี อย่าพลาดที่จะติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนา AI และผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา

จับตาดูความเคลื่อนไหวของ Microsoft และ OpenAI อย่างใกล้ชิด เพราะอนาคตของ AI อาจเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลด้วยข้อตกลงนี้

ที่มา – Microsoft-OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น เปิดทาง OpenAI ตั้งบริษัทแสวงหาผลกำไร

OpenAI เล็งตั้งดาต้าเซ็นเตอร์อินเดีย ขนาดกิกะวัตต์!

OpenAI รุกเอเชีย เล็งตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่ระดับกิกะวัตต์ในอินเดีย! บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) ผู้พัฒนาแชตจีพีที (ChatGPT) กำลังมองหาพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อร่วมลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในอินเดีย ขนาดกำลังไฟฟ้าอย่างน้อย 1 กิกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขนาดใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งในเอเชีย

ปัจจุบัน โอเพนเอไอได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในอินเดียแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดตั้งทีมงานท้องถิ่น โดยบริษัทประกาศเมื่อเดือนส.ค.ว่า จะเปิดสำนักงานแห่งแรกในกรุงนิวเดลีภายในปีนี้

อย่างไรก็ดี แม้ยังไม่ระบุสถานที่ก่อสร้างและกรอบเวลาของโครงการ แต่มีรายงานว่า แซม อัลท์แมน ซีอีโอของโอเพนเอไอ อาจเปิดเผยรายละเอียดระหว่างการเยือนอินเดียในเดือนก.ย.นี้

รายงานระบุว่า ศูนย์ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสตาร์เกต (Stargate) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่าลงทุนกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ได้แก่ ซอฟต์แบงก์ (SoftBank), ออราเคิล (Oracle) และโอเพนเอไอ

ก่อนหน้านี้ โอเพนเอไอได้เข้าร่วมโครงการศูนย์ข้อมูลในนอร์เวย์ที่มีศักยภาพถึง 520 เมกะวัตต์ และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในอาบูดาบี กำลังสูงสุด 5 กิกะวัตต์ ซึ่งโอเพนเอไอจะใช้ทรัพยากรไม่น้อยกว่า 1 กิกะวัตต์สำหรับการประมวลผล AI

ทั้งนี้ อินเดียถือเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับสองของโอเพนเอไอ รองจากสหรัฐฯ นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดอินเดียต่อ OpenAI และศักยภาพในการเติบโตของ AI ในภูมิภาคเอเชีย

OpenAI รุกเอเชีย เล็งตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่ระดับกิกะวัตต์ในอินเดีย

การตัดสินใจของ OpenAI ในการสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในอินเดียไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หลายปัจจัยผลักดันให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่นี้:

  • ตลาดที่กำลังเติบโต: อินเดียมีประชากรจำนวนมากที่เข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ทำให้เป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการ AI ของ OpenAI
  • ความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น: ความต้องการการประมวลผล AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก และ OpenAI ต้องการตอบสนองความต้องการนี้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
  • การสนับสนุนจากรัฐบาล: รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI และพร้อมที่จะสนับสนุนบริษัทที่ลงทุนในด้านนี้

ทำไมต้องดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดกิกะวัตต์?

การสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ระดับกิกะวัตต์สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OpenAI ในการพัฒนา AI อย่างจริงจัง ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดนี้ไม่เพียงแต่รองรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ OpenAI สามารถพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การลงทุนใน OpenAI รุกเอเชีย เล็งตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่ระดับกิกะวัตต์ในอินเดีย จึงเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI ไปข้างหน้า

การมีดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในอินเดียยังช่วยให้ OpenAI สามารถให้บริการ AI ที่รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแอปพลิเคชัน AI ที่ต้องการเวลาตอบสนองที่รวดเร็ว เช่น แชทบอทอัจฉริยะและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในอินเดียอีกด้วย โดยคาดว่าจะมีการสร้างงานจำนวนมากในสาขาต่างๆ เช่น วิศวกรรม การบำรุงรักษา และการจัดการข้อมูล

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ OpenAI ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อตลาด AI ในอินเดียเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อาจถูกกระตุ้นให้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มากยิ่งขึ้น เพื่อแข่งขันกับ OpenAI และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน

โดยรวมแล้ว การตัดสินใจของ OpenAI ในการสร้าง OpenAI รุกเอเชีย เล็งตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่ระดับกิกะวัตต์ในอินเดีย ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจ AI ในเอเชียและรักษาความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี AI ได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา – OpenAI รุกเอเชีย เล็งตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่ระดับกิกะวัตต์ในอินเดีย