Microsoft

OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO – Microsoft ถือหุ้น 27%

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และโอเพนเอไอ (OpenAI) ได้ประกาศข้อตกลงปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การเสนอขายหุ้น IPO โดย Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ข้อตกลงนี้เปิดโอกาสให้ผู้สร้าง ChatGPT สลัดภาพองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และเตรียมพร้อมสำหรับการระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ในอนาคต ภายใต้การนำของซีอีโอ แซม อัลท์แมน

ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ โอเพนเอไอ ซึ่งมีมูลค่าบริษัทประเมินกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ จะถูกปรับโครงสร้างเป็น “บริษัทเพื่อประโยชน์สาธารณะ” (Public Benefit Corporation – PBC) ที่ยังคงถูกควบคุมโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร อัลท์แมนระบุว่าการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นเส้นทางที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับอนาคตของบริษัท เนื่องจากต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการสร้างและฝึกฝนระบบ AI

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโอเพนเอไอ (OpenAI) ในการระดมทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นการ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO ที่น่าจับตามอง

ในไลฟ์สตรีม อัลท์แมนและยาคุบ พาชอคกี หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของโอเพนเอไอ ได้สรุปแผนการที่จะเปลี่ยนโอเพนเอไอจากบริษัทที่เน้นผลิตภัณฑ์ไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้คนทั่วโลกสามารถสร้างเครื่องมือ บริการ และธุรกิจของตนเองบนเทคโนโลยีของบริษัทได้

ความเคลื่อนไหวนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน รวมถึง เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดีย (Nvidia) ที่กล่าวว่า “ถ้าคุณบอกผมว่าโอเพนเอไอจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า ผมก็ไม่แปลกใจเลย และนี่อาจเป็นหนึ่งในการเสนอขายหุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์”

ข้อตกลงครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อยกเลิกข้อจำกัดสำคัญในการระดมทุนและจัดหาทรัพยากรคอมพิวเตอร์จากไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในข้อตกลงเดิมตั้งแต่ปี 2562 และได้กลายเป็นต้นตอของความตึงเครียดหลังจาก ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย

การหารือเพื่อ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO เริ่มต้นขึ้นหลังเหตุการณ์ที่อัลท์แมนถูกปลดออกจากตำแหน่งชั่วคราวในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใครของโอเพนเอไอได้จำกัดอำนาจของนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างไมโครซอฟท์

อย่างไรก็ตาม โฆษกของโอเพนเอไอยืนยันว่า อัลท์แมนจะไม่ได้รับหุ้นในบริษัทใหม่ และยังคงได้รับค่าตอบแทนเท่าเดิมที่ประมาณ 76,000 ดอลลาร์ต่อปี

อัลท์แมนเปิดเผยว่า โอเพนเอไอมีภาระผูกพันทางการเงินสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลขนาดประมาณ 30 กิกะวัตต์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1 กิกะวัตต์ต่อสัปดาห์

บริษัทใหม่ในชื่อ โอเพนเอไอ กรุ๊ป พีบีซี (OpenAI Group PBC) จะดำเนินงานคล้ายกับบริษัททั่วไปมากขึ้น ตอกย้ำอำนาจของอัลท์แมนในการตัดสินใจและทำข้อตกลงต่าง ๆ โดยไมโครซอฟท์จะยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 27% คิดเป็นมูลค่าราว 1.35 แสนล้านดอลลาร์ และยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญในอนาคตของบริษัทต่อไป ซึ่งข้อตกลงนี้สะท้อนว่าไมโครซอฟท์สร้างผลตอบแทนได้เกือบ 10 เท่าจากเงินลงทุน 1.38 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้นไมโครซอฟท์ปรับตัวขึ้น 2% และมีมูลค่าตลาดทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์อีกครั้ง

ข้อตกลงนี้จะผูกพันทั้งสองบริษัทไปจนถึงปี 2575 เป็นอย่างน้อย โดยโอเพนเอไอจะยังคงแบ่งปันรายได้ประมาณ 20% ให้กับไมโครซอฟท์ต่อไปอีกหลายปี และข้อตกลงการแบ่งรายได้จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคณะกรรมการอิสระประกาศว่าโอเพนเอไอบรรลุถึง “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” (Artificial General Intelligence – AGI) แล้วเท่านั้น

เบรต เทย์เลอร์ ประธานคณะกรรมการของมูลนิธิโอเพนเอไอ (OpenAI Foundation) ยืนยันว่า “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรยังคงควบคุมองค์กรที่แสวงหาผลกำไร และตอนนี้มีช่องทางเข้าถึงทรัพยากรมหาศาลได้โดยตรง” โดยคณะกรรมการของมูลนิธิฯ ซึ่งรวมถึงอัลท์แมน จะมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนสมาชิกคณะกรรมการของบริษัท PBC

อดัม ซาร์ฮาน ซีอีโอของ 50 ปาร์ค อินเวสท์เมนท์ส (50 Park Investments) มองว่า “โอเพนเอไอยังคงเผชิญกับการตรวจสอบเรื่องความโปร่งใสและการใช้ข้อมูล แต่โดยรวมแล้ว โครงสร้างนี้น่าจะช่วยให้มีเส้นทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับนวัตกรรมและความรับผิดชอบ”

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเปิดเผยอีกว่าได้บรรลุข้อตกลงให้โอเพนเอไอซื้อบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Azure มูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการที่ไมโครซอฟท์จะสละสิทธิ์ในการเป็นผู้ให้บริการด้านการประมวลผลแก่โอเพนเอไอแต่เพียงผู้เดียว (right of first refusal) อีกต่อไป

OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO

โดยสรุปแล้ว การ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และการเติบโตของ OpenAI การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อ OpenAI และ Microsoft เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวมอีกด้วย

ทำไมการปรับโครงสร้าง OpenAI และการปูทางสู่ IPO ถึงสำคัญ?

การ OpenAI ปรับโครงสร้าง ปูทาง IPO เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มากขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OpenAI ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และพร้อมที่จะเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืน การปรับโครงสร้างนี้เป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่สดใสของ OpenAI และเทคโนโลยี AI

ที่มา – OpenAI ปรับโครงสร้างใหม่ปูทาง IPO – Microsoft ยังคงถือหุ้น 27%

Microsoft ตั้ง “จัดสัน อัลธอฟฟ์” CEO ฝ่ายธุรกิจการค้า

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งสำคัญ โดยแต่งตั้ง จัดสัน อัลธอฟฟ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ (Chief Commercial Officer) ขึ้นแท่นเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ฝ่ายธุรกิจการค้า การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ สัตยา นาเดลลา ซีอีโอใหญ่ของบริษัท สามารถทุ่มเทเวลาและสมาธิไปกับการขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในสมรภูมิ AI

ภายใต้บทบาทใหม่นี้ อัลธอฟฟ์จะเข้ามาดูแลองค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นการหลอมรวมฝ่ายขาย การตลาด และฝ่ายปฏิบัติการเข้าไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

นาเดลลาได้กล่าวผ่านบล็อกโพสต์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (1 ต.ค.) ว่า การปรับทัพในครั้งนี้จะช่วยให้ตัวเขาและทีมผู้นำฝ่ายวิศวกรรมสามารถ “มุ่งเน้นไปที่งานด้านเทคนิคที่สำคัญที่สุดได้อย่างเต็มกำลัง ตั้งแต่การขยายศูนย์ข้อมูล การวางสถาปัตยกรรมระบบ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ AI ไปจนถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ”

“เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์ม AI ซึ่งเป็นความท้าทายที่ทำให้เราต้องบริหารจัดการธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ให้เติบโตไปพร้อม ๆ กับการบุกเบิกพรมแดนใหม่ทางเทคโนโลยี และต้องทำให้สำเร็จอย่างไร้ที่ติในทั้งสองด้าน” นาเดลลากล่าวเสริม

ก่อนหน้านี้ในปี 2564 ไมโครซอฟท์เคยได้รวมฝ่ายขายและการตลาดทั่วโลกเข้ากับฝ่ายธุรกิจการค้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของอัลธอฟฟ์ ผู้ซึ่งเข้ามาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ตั้งแต่ปี 2556 ในตำแหน่งประธานบริษัทไมโครซอฟท์ อเมริกาเหนือ (Microsoft North America)

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว ไมโครซอฟท์เพิ่งประกาศยุบรวมตลาดสำหรับเครื่องมือ AI สำหรับภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้มาอยู่ในที่เดียวภายใต้ชื่อ “Microsoft Marketplace” จากเดิมที่เคยแยกตลาดสำหรับนักพัฒนาที่ใช้บริการคลาวด์ Azure ออกจากตลาดสำหรับแอปพลิเคชันและ “เอเจนต์” (เครื่องมือ AI ที่ช่วยทำงานแทนผู้ใช้)

Microsoft แต่งตั้ง “จัดสัน อัลธอฟฟ์” เป็น CEO ฝ่ายธุรกิจการค้า

การตัดสินใจครั้งนี้ของ Microsoft แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล การแต่งตั้ง “จัดสัน อัลธอฟฟ์” เป็น CEO ฝ่ายธุรกิจการค้า ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ Microsoft สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง

ทำไมการแต่งตั้ง “จัดสัน อัลธอฟฟ์” เป็น CEO ฝ่ายธุรกิจการค้าจึงสำคัญ?

การที่ Microsoft เลือก “จัดสัน อัลธอฟฟ์” เป็น CEO ฝ่ายธุรกิจการค้า สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในความสามารถของเขาในการบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาในการทำงานร่วมกับ Microsoft มาอย่างยาวนาน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ Satya Nadella มีเวลาโฟกัสกับเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น แต่ยังเป็นการมอบหมายความรับผิดชอบที่สำคัญให้กับผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยให้ Microsoft สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

การปรับโครงสร้างผู้บริหารของ Microsoft ในครั้งนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวขององค์กรขนาดใหญ่เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี การที่ Microsoft ให้ความสำคัญกับ AI และการรวมฝ่ายต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล และความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจและเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของ Microsoft และวงการโดยรวม การที่ “จัดสัน อัลธอฟฟ์” เป็น CEO ฝ่ายธุรกิจการค้า จะนำพา Microsoft ไปในทิศทางใด เป็นสิ่งที่น่าติดตามและเรียนรู้

ดังนั้น การติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของ Microsoft อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ของ Microsoft ที่จะนำพาเราไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

ที่มา – Microsoft แต่งตั้ง “จัดสัน อัลธอฟฟ์” เป็น CEO ฝ่ายธุรกิจการค้า

Microsoft-OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น OpenAI

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และโอเพนเอไอ (OpenAI) แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) ว่า ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขความสัมพันธ์ใหม่ ซึ่งจะเปิดทางให้โอเพนเอไอเดินหน้าเปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัทแสวงหาผลกำไรเต็มตัว ถือเป็นก้าวใหม่ของคู่พาร์ตเนอร์ที่ปลุกกระแส ChatGPT ให้โด่งดัง แม้รายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผย แต่ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่ากำลังเร่งสรุปสัญญาฉบับจริง

ดีลนี้ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญหลังการเจรจาที่ยืดเยื้อมานาน เพราะโอเพนเอไอต้องการระดมทุนเพิ่มภายใต้โครงสร้างบริษัทที่เหมือนธุรกิจทั่วไป และตั้งเป้าจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นในอนาคตเพื่อหาเงินมาพัฒนา AI ต่อไป

ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์เคยลงทุนในโอเพนเอไอไปแล้ว 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 และอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อต้นปี 2566 ซึ่งข้อตกลงเดิมทำให้ไมโครซอฟท์ได้สิทธิ์ขายซอฟต์แวร์ของโอเพนเอไอผ่านคลาวด์ Azure แต่เพียงผู้เดียว และได้ใช้เทคโนโลยีก่อนใคร

แต่ล่าสุด ไมโครซอฟท์ก็ยอมลดการผูกขาดลง เพื่อเปิดทางให้โอเพนเอไอไปทำโปรเจกต์ดาต้าเซ็นเตอร์ของตัวเองอย่าง “สตาร์เกต” (Stargate) รวมถึงไปเซ็นสัญญาระยะยาวมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์กับออราเคิล (Oracle) และทำข้อตกลงด้านคลาวด์กับกูเกิล (Google) ด้วย

เมื่อรายได้ของโอเพนเอไอพุ่งสู่ระดับหลายพันล้าน บริษัทจึงต้องการโครงสร้างที่เป็นสากลมากขึ้น และหาพาร์ทเนอร์คลาวด์เพิ่มเพื่อขยายธุรกิจและหาพลังประมวลผลให้เพียงพอ

ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ต้องการการันตีว่าจะได้ใช้เทคโนโลยีของโอเพนเอไอต่อไป แม้ในวันที่โอเพนเอไอประกาศว่า AI ของตนฉลาดเทียบเท่ามนุษย์แล้ว ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้สัญญาปัจจุบันต้องสิ้นสุดลงตามข้อตกลงเดิม

โอเพนเอไอระบุว่าภายใต้เงื่อนไขใหม่นี้ องค์กรฝั่งไม่แสวงผลกำไรจะได้รับเงินกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เงินจำนวนนี้คิดเป็น 20% ของมูลค่าประเมินที่ 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้องค์กรนี้กลายเป็นหนึ่งในหน่วยงานไม่แสวงผลกำไรที่รวยที่สุดในโลก ตามบันทึกของเบรต เทย์เลอร์ ประธานบอร์ดฝั่งไม่แสวงผลกำไร

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์จะถือหุ้นในโอเพนเอไอเป็นสัดส่วนเท่าใด และจะยังได้สิทธิ์ใช้โมเดลล่าสุดก่อนใครหรือไม่

แต่เส้นทางนี้ไม่ง่าย เพราะโอเพนเอไอยังต้องรอการอนุมัติโครงสร้างใหม่จากอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเดลาแวร์ โดยบริษัทหวังว่าจะเปลี่ยนผ่านให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงเสียเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์ที่ผูกกับเงื่อนไขเวลาดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ทั้งไมโครซอฟท์และโอเพนเอไอก็ยังแข่งขันกันเองในตลาด ตั้งแต่แชทบอตสำหรับคนทั่วไปจนถึงเครื่องมือ AI สำหรับธุรกิจ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ก็กำลังพัฒนาโมเดล AI ของตัวเองเพื่อลดการพึ่งพาโอเพนเอไอในระยะยาว

Microsoft-OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น เปิดทาง OpenAI ตั้งบริษัทแสวงหาผลกำไร

การที่ Microsoft และ OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น ถือเป็นสัญญาณที่น่าสนใจในวงการเทคโนโลยี AI อย่างมาก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ OpenAI ไปสู่บริษัทแสวงหาผลกำไรเต็มตัว จะส่งผลต่อการพัฒนา AI ในอนาคตอย่างไร? และ Microsoft จะยังคงบทบาทสำคัญในการสนับสนุน OpenAI ต่อไปหรือไม่? ต้องติดตามดูกันต่อไป

ข้อตกลงเบื้องต้นนี้สำคัญอย่างไร?

ข้อตกลงนี้มีความสำคัญเพราะแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของ OpenAI เพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้านเงินทุนและการขยายธุรกิจ การแสวงหาผลกำไรจะช่วยให้ OpenAI สามารถลงทุนในการพัฒนา AI ขั้นสูงได้อย่างต่อเนื่อง และดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้าร่วมทีมได้มากขึ้น นอกจากนี้ การมีพาร์ทเนอร์ด้านคลาวด์เพิ่มขึ้น จะช่วยให้ OpenAI มีพลังประมวลผลที่เพียงพอสำหรับการฝึกฝนโมเดล AI ที่ซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่ การอนุมัติโครงสร้างใหม่จากหน่วยงานภาครัฐ และการแข่งขันกับ Microsoft เอง ก็เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

การบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นระหว่าง Microsoft และ OpenAI นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการ AI หากคุณสนใจข่าวสารและเทคโนโลยี อย่าพลาดที่จะติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนา AI และผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา

จับตาดูความเคลื่อนไหวของ Microsoft และ OpenAI อย่างใกล้ชิด เพราะอนาคตของ AI อาจเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลด้วยข้อตกลงนี้

ที่มา – Microsoft-OpenAI บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น เปิดทาง OpenAI ตั้งบริษัทแสวงหาผลกำไร

Azure ขัดข้อง! ไมโครซอฟท์เผยสายเคเบิลแดงขาด

เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน! ไมโครซอฟท์ (Microsoft) แจ้งว่าบริการคลาวด์ Azure กำลังเผชิญกับปัญหาขัดข้อง เนื่องจากสายเคเบิลใต้ทะเลแดงถูกตัดขาด ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในหลายภูมิภาคทั่วโลก มาดูกันว่าสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างไร และไมโครซอฟท์กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง

ไมโครซอฟท์แจ้งบริการคลาวด์ Azure ขัดข้อง เหตุสายเคเบิลใต้ทะเลแดงขาด

เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริการคลาวด์ Azure โดยระบุว่าผู้ใช้งานอาจพบกับปัญหาความหน่วงของระบบที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากสายเคเบิลใต้ทะเลแดงถูกตัดขาด ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการรับส่งข้อมูลระหว่างทวีป

ทางบริษัทได้แจ้งว่า การรับส่งข้อมูลที่ผ่านตะวันออกกลาง ซึ่งมีต้นทางหรือปลายทางอยู่ในเอเชียหรือยุโรป อาจเกิดความล่าช้าและการเชื่อมต่อขัดข้องได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้งานที่ใช้บริการ Azure ในการประมวลผล จัดเก็บ และรับส่งข้อมูล

ผลกระทบจากเหตุสายเคเบิลใต้ทะเลแดงขาดต่อบริการ Azure

เหตุการณ์ไมโครซอฟท์แจ้งบริการคลาวด์ Azure ขัดข้อง เหตุสายเคเบิลใต้ทะเลแดงขาดนี้ ส่งผลให้ Azure ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับสองของโลก ต้องเร่งปรับตัวเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้งาน โดยจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลไปยังเส้นทางสำรอง ซึ่งอาจทำให้ความหน่วงของระบบสูงกว่าปกติ

ถึงแม้ว่าไมโครซอฟท์จะพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหา แต่ผู้ใช้งานบางรายอาจยังคงประสบปัญหาในการใช้งานบริการ Azure อยู่บ้างในช่วงเวลานี้

ไมโครซอฟท์ระบุว่า การซ่อมแซมสายเคเบิลใต้ทะเลอาจต้องใช้เวลานาน ดังนั้นบริษัทจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปรับเส้นทาง และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาว่าจะอัปเดตสถานะให้ผู้ใช้งานทราบทุกวัน หรือเร็วกว่านั้นหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ไมโครซอฟท์แจ้งบริการคลาวด์ Azure ขัดข้อง เหตุสายเคเบิลใต้ทะเลแดงขาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าเราควรมีการวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับโครงข่ายการสื่อสารที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวันของเรา

สำหรับผู้ที่ใช้งานบริการ Azure อยู่ในขณะนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารและประกาศจากไมโครซอฟท์อย่างใกล้ชิด เพื่อรับทราบสถานะล่าสุดของปัญหาและแนวทางการแก้ไข นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับแผนการทำงานหรือใช้บริการสำรองอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ

หวังว่าสถานการณ์ไมโครซอฟท์แจ้งบริการคลาวด์ Azure ขัดข้อง เหตุสายเคเบิลใต้ทะเลแดงขาดนี้จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นในเร็ววัน และไมโครซอฟท์จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างราบรื่น เพื่อให้ผู้ใช้งานบริการ Azure กลับมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง

ที่มา – ไมโครซอฟท์แจ้งบริการคลาวด์ Azure ขัดข้อง เหตุสายเคเบิลใต้ทะเลแดงขาด