Google

Google เผยชิปควอนตัม Willow แรงกว่าเดิม 1.3 หมื่นเท่า

Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow

กูเกิล (Google) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยถึงความสำเร็จครั้งสำคัญด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งอาจปูทางสู่การประยุกต์ใช้ในอนาคต เช่น การค้นคว้ายาใหม่และวิทยาศาสตร์วัสดุ

กูเกิลระบุว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากชิปควอนตัมรุ่นใหม่ชื่อ “Willow” ซึ่งสามารถประมวลผลอัลกอริทึมแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป ผลงานนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ (Nature) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (22 ต.ค.) โดยเป็นผลงานของทีมปัญญาประดิษฐ์ควอนตัม (Quantum AI) ของกูเกิล

ฮาร์ทมุต เนเวน รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของกูเกิลระบุในบล็อกโพสต์ว่า การใช้งานคอมพิวเตอร์ควอนตัมในเชิงพาณิชย์อาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5 ปี ขณะที่ซุนดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกูเกิลชี้ว่า ความสำเร็จของอัลกอริทึมที่บริษัทเรียกว่า ควอนตัม เอคโค่ (Quantum Echoes) ถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีนี้

กูเกิลระบุว่า ชิป Willow สามารถประมวลผลอัลกอริทึมได้เร็วกว่าอัลกอริทึมทั่วไปถึง 13,000 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลก และสามารถทำซ้ำได้บนคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องอื่นในทางทฤษฎี ความสำเร็จของ Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในอนาคต

พิชัยเปิดเผยผ่านทางเอ็กซ์ว่า ชิป Willow ของกูเกิลได้สร้างความได้เปรียบเชิงควอนตัมที่ตรวจสอบได้เป็นครั้งแรก พร้อมระบุว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญสู่การใช้งานคอมพิวเตอร์ควอนตัมในเชิงพาณิชย์

พิชัยระบุเพิ่มเติมว่า อัลกอริทึมใหม่นี้สามารถอธิบายการทำงานร่วมกันระหว่างอะตอมในโมเลกุลผ่านเทคนิคนิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์ (NMR) ซึ่งอาจปูทางไปสู่การพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ในอนาคต

ทั้งนี้ มิเชล เดโวเรต์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปีนี้ และหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของหน่วยควอนตัม AI ของกูเกิลกล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่การคำนวณเชิงควอนตัมในระดับที่สมบูรณ์”

Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow

ความก้าวหน้าของ Google ในการพัฒนาชิปควอนตัม Willow ไม่เพียงแต่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมอย่างมาก แต่ยังเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนซึ่งเดิมทีเป็นไปไม่ได้สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป ลองนึกภาพศักยภาพในการพัฒนายาใหม่ การออกแบบวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ หรือแม้แต่การทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ความสำเร็จของ Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow แสดงให้เห็นว่าเรากำลังเข้าใกล้ยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถเปลี่ยนแปลงโลกของเราได้อย่างแท้จริง ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจได้เห็นการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมในหลากหลายสาขา ตั้งแต่การแพทย์และการเงิน ไปจนถึงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม

การที่ Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow นี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการผลักดันขีดจำกัดของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องติดตามความคืบหน้าต่อไปอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในอนาคต

ที่มา – Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow ประมวลผลเร็วกว่าซูเปอร์คอมฯ 1.3 หมื่นเท่า

Meta เจรจา Google ใช้ AI เสริมโฆษณา

Meta ซุ่มเจรจาใช้ AI ของ Google เสริมแกร่งธุรกิจโฆษณา

ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) รายงานเมื่อวานนี้ (25 ก.ย.) ว่า เมตา (Meta) เจ้าของแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) ของอัลฟาเบท (Alphabet) เกี่ยวกับการใช้งานโมเดลเจมิไน (Gemini) ของกูเกิล เพื่อปรับปรุงธุรกิจโฆษณาของเมตา

แหล่งข่าวระบุว่า การเจรจายังอยู่ในขั้นต้น และอาจไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ โดยพนักงานของเมตาเสนอให้ปรับแต่งโมเดล Gemini ของกูเกิล รวมถึงโมเดลโอเพนซอร์สเจมมา (Gemma) ด้วยข้อมูลโฆษณาของเมตาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดเป้าหมายโฆษณา การที่ Meta ซุ่มเจรจาใช้ AI ของ Google เสริมแกร่งธุรกิจโฆษณา แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน

รายงานระบุว่า การที่เมตาเลือกใช้ AI ของกูเกิลแทนโมเดลภายในบริษัท สะท้อนปัญหาในการขยายเทคโนโลยี AI ของบริษัท แม้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับงานวิจัย โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากรก็ตาม

อย่างไรก็ดี เมตาและกูเกิลแข่งขันกันโดยตรงในตลาดโฆษณาออนไลน์ โดยรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของทั้งสองบริษัทระบุว่า การลงทุนด้าน AI ช่วยหนุนรายได้หลักจากธุรกิจโฆษณา

ทำไม Meta ถึง ซุ่มเจรจาใช้ AI ของ Google เสริมแกร่งธุรกิจโฆษณา?

รายงานของดิ อินฟอร์เมชันเมื่อเดือนที่แล้วระบุว่า เมตากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับกูเกิลหรือโอเพนเอไอ (OpenAI) ผู้พัฒนาแชตจีพีที (ChatGPT) เพื่อปรับปรุงฟีเจอร์ AI เช่น การตอบสนองการสนทนาในแชตบอต Meta AI รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้าน AI ในแอปโซเชียลมีเดียของเมตา

การที่เมตาตัดสินใจ ซุ่มเจรจาใช้ AI ของ Google เสริมแกร่งธุรกิจโฆษณานั้น น่าจะมาจากปัจจัยหลายประการ ประการแรกคือ เมตาอาจต้องการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยกว่าที่ตนเองมีอยู่ Gemini เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพสูง และอาจช่วยให้เมตาสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณาได้อย่างมาก

ประการที่สองคือ เมตาอาจต้องการลดต้นทุนในการพัฒนา AI ด้วยตนเอง การพัฒนา LLM เป็นกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งในด้านเงินทุน บุคลากร และเวลา การร่วมมือกับ Google จะช่วยให้เมตาสามารถแบ่งปันค่าใช้จ่ายเหล่านี้ และเข้าถึงความเชี่ยวชาญของ Google ในด้าน AI ได้

ประการที่สามคือ เมตาอาจต้องการเพิ่มความเร็วในการพัฒนา AI ของตนเอง การร่วมมือกับ Google จะช่วยให้เมตาสามารถเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ที่ Google มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้เมตาสามารถพัฒนา AI ได้เร็วขึ้น

ไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของเมตาคืออะไร การ ซุ่มเจรจาใช้ AI ของ Google เสริมแกร่งธุรกิจโฆษณา ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเมตาในการลงทุนใน AI และปรับปรุงธุรกิจโฆษณาของตนเอง

แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์ในวงกว้าง และอาจนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นระหว่างเมตาและกูเกิลในอนาคต เราต้องติดตามดูกันต่อไปว่าความร่วมมือนี้จะส่งผลอย่างไรต่อผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ

ที่มา – Meta ซุ่มเจรจาใช้ AI ของ Google เสริมแกร่งธุรกิจโฆษณา

Google ส่ง Gemini ลง Chrome หลังศาลตัดสิน

กูเกิล (Google) ประกาศข่าวใหญ่ เตรียมส่ง Gemini ลงเบราว์เซอร์ Chrome ให้ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ได้สัมผัสประสบการณ์ AI สุดล้ำตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายนนี้ หลังจากที่ศาลรัฐบาลกลางตัดสินใจว่าบริษัทไม่ต้องแยกธุรกิจออกจากกันในคดีต่อต้านการผูกขาดที่ผ่านมา

การตัดสินใจของศาลถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ Google และ Alphabet บริษัทแม่ หลังจากที่ผู้พิพากษามีคำสั่งว่าไม่จำเป็นต้องขายธุรกิจเบราว์เซอร์ทิ้ง ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้ากับการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ศาลได้สั่งให้ Google เปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้กับคู่แข่ง เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาดเสิร์ชเอนจิน

Google ได้ประกาศผ่านบล็อกโพสต์ว่า ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ Mac และ Windows ในสหรัฐฯ ที่ตั้งค่าภาษาเป็นภาษาอังกฤษ จะเริ่มใช้งาน Gemini ใน Chrome ได้ทันที

และในอนาคตอันใกล้นี้ Gemini จะถูกเพิ่มเข้าไปในแอป Chrome บน iOS ของ Apple อีกด้วย ใครที่ใช้ iPhone หรือ iPad เตรียมตัวรอเลย!

สำหรับผู้ใช้กลุ่มธุรกิจ จะสามารถเข้าถึง Gemini ผ่าน Google Workspace ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า รวมถึงผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ ก็จะได้ใช้งานเช่นกัน

นอกจากนี้ Google ยังได้ปรับปรุงให้ Gemini ใน Chrome ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ของ Google ได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Calendar, YouTube และ Maps ช่วยให้การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า Google จะอัปเกรด Gemini ใน Chrome ให้มีความสามารถที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเดิม โดยจะพัฒนาให้มีความสามารถเหมือน “ผู้ช่วยส่วนตัว” (agentic capabilities) ที่สามารถทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนแทนเราได้ พร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น ช่วยค้นหาเว็บไซต์ที่เราเคยเปิดดูแล้ว และสรุปเนื้อหาจากหลายเว็บไซต์พร้อมๆ กันได้ในพริบตา

การเพิ่ม Gemini เข้าไปใน Chrome ครั้งนี้ ยังเป็นการประกาศศักดาเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ที่มี “เบราว์เซอร์ผู้ช่วย” (agentic browsers) เช่น Perplexity ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาด้วยการยื่นข้อเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสดล้วนๆ มูลค่ามหาศาลถึง 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยที่ Google ไม่ได้ร้องขอเลยแม้แต่น้อย

เบราว์เซอร์ของ Perplexity ที่ชื่อว่า Comet ก็เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานต่างๆ แทนผู้ใช้ได้เช่นกัน กลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองในตลาดเบราว์เซอร์ยุคใหม่

คำตัดสินของผู้พิพากษา อมิต เมห์ตา เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า Google ยังสามารถเป็นเจ้าของเบราว์เซอร์ Chrome และระบบปฏิบัติการ Android ต่อไปได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ทำสัญญาผูกขาดบางประเภทกับผู้ผลิตอุปกรณ์และนักพัฒนา อย่างไรก็ตาม Google ยังได้รับอนุญาตให้จ่ายเงินให้พาร์ตเนอร์อย่าง Apple เพื่อให้ใช้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นได้ต่อไป ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ Google ครองตลาดเสิร์ชเอนจินมาโดยตลอด

โดยสรุปแล้ว การที่ Google ส่ง Gemini ลงเบราว์เซอร์ Chrome หลังศาลตัดสินครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และการแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ เราจะได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

Google ส่ง Gemini ลง Chrome หลังศาลตัดสิน

แล้ว Google ส่ง Gemini ลงเบราว์เซอร์ Chrome หลังศาลตัดสิน จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานอย่างไรบ้าง? สิ่งที่เราน่าจะได้เห็นกันอย่างชัดเจนคือความสามารถในการทำงานที่ชาญฉลาดและเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและทำให้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างแน่นอน

อนาคตของ Chrome หลัง Google ส่ง Gemini ลงเบราว์เซอร์

อนาคตของ Chrome จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลัง Google ส่ง Gemini ลงเบราว์เซอร์ Chrome หลังศาลตัดสิน? เราคาดการณ์ได้ว่าจะมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เน้นการใช้ AI มากยิ่งขึ้น ทำให้ Chrome ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา แต่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้ใจเรา

การมาของGemini ใน Chrome จะช่วยให้การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของเราง่ายขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจการทำงานของ AI เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา – Google ส่ง Gemini ลงเบราว์เซอร์ Chrome หลังศาลตัดสินไม่ต้องแยกกิจการในคดีผูกขาด

Google ทุ่ม 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ สร้างงาน!

กูเกิล (Google) ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักร มูลค่ากว่า 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มุ่งหวังจะช่วยสร้างงานกว่า 8,000 ตำแหน่งต่อปี การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีการประกาศข้อตกลงและความร่วมมือทางธุรกิจที่สำคัญอีกหลายรายการ

นอกจากการลงทุนในภาพรวมแล้ว กูเกิลยังได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงลอนดอน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน

ศูนย์ข้อมูล Waltham Cross แห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงลอนดอนเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยอากาศที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในการระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ยังสามารถส่งความร้อนที่เกิดจากกระบวนการทำงานไปยังบ้านเรือนหรือธุรกิจที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอีกด้วย

นอกจากนี้ กูเกิลยังได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทเชลล์ (Shell) เพื่อสนับสนุนความมั่นคงของโครงข่ายพลังงานและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของสหราชอาณาจักร โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

กูเกิลคาดการณ์ว่า การดำเนินงานในสหราชอาณาจักรจะสามารถใช้พลังงานสะอาดได้เกือบ 95% ภายในปี 2569 จากโครงการพลังงานสะอาดต่างๆ และความร่วมมือกับบริษัทเชลล์ การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอังกฤษ กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกา กูเกิลยังระบุว่า การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะสร้างงานในธุรกิจของสหราชอาณาจักรได้ถึงปีละ 8,250 ตำแหน่ง

การประกาศลงทุนครั้งใหญ่นี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาลพรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ซึ่งกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาและเพิ่มคะแนนนิยมในผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ

การเยือนสหราชอาณาจักรของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังคาดว่าจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จะมีการประกาศข้อตกลงทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้งสองประเทศ

Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี

การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ Google ต่อศักยภาพของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกไปยังนักลงทุนรายอื่นๆ ให้พิจารณาลงทุนในสหราชอาณาจักรต่อไป

ทำไม Google ถึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในอังกฤษ?

ปัจจัยที่น่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ Google ได้แก่ ความพร้อมของบุคลากรที่มีทักษะ ความแข็งแกร่งของระบบนิเวศด้านเทคโนโลยี และการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ การที่สหราชอาณาจักรเป็นประตูสู่ตลาดยุโรปก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google พิจารณาด้วย

การลงทุนของ Google ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหราชอาณาจักรในระยะยาว

การที่ Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี นั้นเป็นการลงทุนที่สำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างงานเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ Google ต่อศักยภาพของสหราชอาณาจักร

สิ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยี และจะช่วยให้สหราชอาณาจักรกลายเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกได้หรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป

โดยสรุปแล้ว การที่กูเกิล ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี เป็นข่าวดีสำหรับทั้งสหราชอาณาจักรและ Google เอง การลงทุนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ

ที่มา – Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี

มาเลเซียขอ Google ช่วยสอบ ขู่แฉคลิปลับนักการเมือง

มาเลเซียเตรียมยื่นมือขอความช่วยเหลือจาก Google เพื่อตรวจสอบกรณีนักการเมืองโดนขู่ปล่อยคลิปลับ หวังรีดทรัพย์ เรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในแวดวงการเมืองมาเลเซีย เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญหลายราย

ตามรายงานจากสำนักข่าวเบอร์นามา ฟาห์มี ฟัดซิล รัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ตกเป็นเป้าของการขู่นี้ ได้ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการขอความร่วมมือจาก Google อย่างจริงจัง เนื่องจากอีเมลข่มขู่ต่างๆ ถูกส่งออกมาจาก Gmail ซึ่งเป็นบริการของ Google นั่นเอง

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ ฟาห์มี ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ว่า มีสมาชิกรัฐสภาอย่างน้อย 9 คน ได้รับอีเมลที่มีเนื้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ โดยคนร้ายอ้างว่ามีคลิปวิดีโอลับของนักการเมืองเหล่านี้ และต้องการเงินจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการไม่เผยแพร่คลิปดังกล่าว

ราฟิซี รามลี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตกเป็นเป้าหมายของการขู่นี้ โดยนักการเมืองที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มาจากพรรค People Justice ซึ่งเป็นพรรคของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม นอกจากนี้ วัน ไซฟุล วัน จัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากฝ่ายค้าน ก็ได้ออกมาโพสต์บน Facebook ว่าเขาเองก็ได้รับอีเมลขู่ในลักษณะเดียวกัน และเชื่อว่ายังมีสมาชิกรัฐสภาอีกหลายคนที่อาจได้รับอีเมลเหล่านี้ แต่ยังไม่ทราบเรื่อง

ที่น่าสนใจคือ นักการเมืองที่ถูกขู่เหล่านี้ต่างออกมาปฏิเสธว่า พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่ปรากฏอยู่ในวิดีโอ หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาในคลิปที่ถูกกล่าวอ้าง

มาเลเซียขอ Google ช่วยตรวจสอบกรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์

สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Google จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียในระดับใด และจะสามารถช่วยในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดได้อย่างไร การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน Gmail นั้น มีข้อจำกัดทางกฎหมายและความเป็นส่วนตัวที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ทำไมมาเลเซียจึงต้องขอความช่วยเหลือจาก Google กรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์?

เหตุผลหลักคือ เนื่องจากอีเมลข่มขู่ถูกส่งผ่านบริการ Gmail การเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการส่งอีเมล เช่น ที่อยู่ IP และข้อมูลผู้ใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจาก Google ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น: หาก Google ให้ความร่วมมือในการสืบสวน อาจนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิด และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของนักการเมืองที่ถูกกล่าวหา และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล

ความท้าทายในการสืบสวน: การสืบสวนคดีขู่กรรโชกทรัพย์ทางออนไลน์นั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากผู้กระทำผิดมักใช้เทคนิคต่างๆ ในการปกปิดตัวตน เช่น การใช้ VPN หรือบัญชีอีเมลปลอม การติดตามตัวผู้กระทำผิดจึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค และความร่วมมือจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลสาธารณะ เช่น นักการเมือง การป้องกันตัวเองจากการถูกแฮ็กหรือขโมยข้อมูลส่วนตัว สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของการขู่กรรโชกทรัพย์หรือการแบล็กเมลได้

นอกจากนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนควรทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ท้ายที่สุดแล้ว การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับอาชญากรรมทางไซเบอร์

การที่ มาเลเซียขอ Google ช่วยตรวจสอบกรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์ ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายในยุคดิจิทัล และความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์

ที่มา – มาเลเซียขอ Google ช่วยตรวจสอบกรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์

Google ล่มในตุรกี! ทางการเร่งแก้

เกิดเหตุบริการหลายอย่างของกูเกิล (Google) ซึ่งรวมถึงยูทูบ (YouTube) ล่ม ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ในประเทศตุรกีและพื้นที่บางส่วนของทวีปยุโรปในวันนี้ (4 ก.ย.) ทำให้เกิดความปั่นป่วนในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตุรกี

ด้านสมาคมเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งทำหน้าที่ติดตามการเซนเซอร์อินเทอร์เน็ตในตุรกี ระบุว่า ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับ 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) สร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก

โอเมอร์ ฟาติห์ ซายัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโทรคมนาคมของตุรกี ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า หน่วยงานเฝ้าระวังความปลอดภัยทางไซเบอร์ของตุรกีได้ประสานงานไปยังกูเกิลเพื่อขอรายงานทางเทคนิคเกี่ยวกับเหตุขัดข้องที่เกิดขึ้นแล้ว การที่ Google ล่มในตุรกี ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการสื่อสารและการดำเนินธุรกิจ

นอกจากนี้ ซายันยังได้เผยแพร่แผนที่ซึ่งแสดงให้เห็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยครอบคลุมประเทศตุรกี พื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบางส่วนของยูเครน รัสเซีย และยุโรปตะวันตก ทำให้เห็นภาพรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ Google ล่มในตุรกี และภูมิภาคใกล้เคียง

Google ล่มในตุรกี และผลกระทบที่เกิดขึ้น

การที่บริการของ Google ไม่สามารถใช้งานได้นั้น ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูล การสื่อสาร การทำงาน และการศึกษา หลายคนไม่สามารถใช้งาน Gmail, Google Maps, Google Drive หรือ YouTube ได้ตามปกติ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและความล่าช้าในการทำงาน

สำหรับธุรกิจที่พึ่งพาบริการของ Google ในการดำเนินงาน เหตุการณ์ Google ล่มในตุรกี อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงิน เนื่องจากไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้า หรือเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย

เหตุการณ์นี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นถึงความสำคัญของการมีแผนสำรองในกรณีที่บริการออนไลน์ที่เราพึ่งพาไม่สามารถใช้งานได้ เราควรมีทางเลือกอื่นในการเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสาร เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่บริการใดบริการหนึ่งล่ม

การตรวจสอบและแก้ไขปัญหา Google ล่มในตุรกี

ขณะนี้ ทาง Google กำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้บริการกลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด ทางการตุรกีก็ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ Google เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหา

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าสาเหตุของการล่มในครั้งนี้คืออะไร และจะใช้เวลานานแค่ไหนในการแก้ไขปัญหา ผู้ใช้งานจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

ในระหว่างที่บริการของ Google ยังไม่สามารถใช้งานได้ ผู้ใช้งานสามารถลองใช้บริการทางเลือกอื่น เช่น Bing, DuckDuckGo หรือ Yandex ในการค้นหาข้อมูล หรือใช้บริการอีเมลอื่น ๆ เช่น Outlook หรือ Yahoo Mail ในการติดต่อสื่อสาร

นอกจากนี้ ควรสำรองข้อมูลที่สำคัญไว้ในหลายช่องทาง เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

เหตุการณ์ Google ล่มในตุรกี แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบอินเทอร์เน็ตที่เราใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และความจำเป็นในการมีมาตรการป้องกันและแผนสำรองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เราควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ที่มา – Google ล่มในตุรกีและบางพื้นที่ในยุโรป ทางการเร่งตรวจสอบ

Google โดนฝรั่งเศสปรับ 325 ล้านยูโร เหตุละเมิดกฎ

Google บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของฝรั่งเศส (CNIL) ได้สั่งปรับ Google ถูกฝรั่งเศสปรับอ่วม 325 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์ ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความสนใจและข้อกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต

การตัดสินใจครั้งนี้ของ CNIL มีผลมาจากการที่ Google ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์ (online trackers) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันใช้เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ในการปรับปรุงบริการและโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน แต่ก็เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนเนื่องจากเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลและการยินยอมของผู้ใช้งาน

Google ถูกฝรั่งเศสปรับอ่วม 325 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์

CNIL ได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ของตนในวันพุธที่ 3 กันยายน โดยระบุว่าได้มีคำสั่งปรับ Google เป็นจำนวนเงิน 325 ล้านยูโร (ประมาณ 378.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการละเมิดดังกล่าว นอกจากนี้ CNIL ยังกล่าวหาว่า Google ละเมิดข้อบังคับด้วยการแสดงโฆษณาในแท็บของ Gmail โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ใช้งานอย่างถูกต้อง การกระทำดังกล่าวถือเป็นการไม่เคารพสิทธิของผู้ใช้งานในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง

ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ประเด็นที่ Google ถูกฝรั่งเศสปรับอ่วม 325 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์ นี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดในยุโรปและทั่วโลก กฎหมายเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ใช้งานในการควบคุมข้อมูลของตนเอง และกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องมีความโปร่งใสและได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งานก่อนที่จะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล การละเมิดกฎหมายเหล่านี้สามารถนำไปสู่ค่าปรับจำนวนมากและความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัท

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา CNIL ได้ลงโทษบริษัทหลายแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือติดตามเพื่อการโฆษณา (advertising trackers) ซึ่งใช้ในการติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานออนไลน์เพื่อเก็บข้อมูลที่ช่วยให้สามารถแสดงโฆษณาได้แบบเจาะจง การดำเนินการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ CNIL ในการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจริงจัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ Google จากการถูกปรับในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าปรับเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาของผู้ใช้งานและนักลงทุน การที่ Google ถูกฝรั่งเศสปรับอ่วม 325 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์ ทำให้บริษัทต้องทบทวนนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายและสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ใช้งาน

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Google ในฝรั่งเศสเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ทั่วโลกที่กำลังดำเนินธุรกิจออนไลน์ บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และลงทุนในการสร้างระบบที่โปร่งใสและเคารพสิทธิของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง หากไม่ทำเช่นนั้น อาจต้องเผชิญกับค่าปรับจำนวนมากและความเสียหายต่อชื่อเสียงในระยะยาว

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับทุกคน หากคุณสนใจเรื่องนี้และอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีที่ Google ถูกฝรั่งเศสปรับอ่วม 325 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์ สามารถอ่านข่าวต้นฉบับได้เลยครับ

ที่มา – Google ถูกฝรั่งเศสปรับอ่วม 325 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎการใช้เครื่องมือติดตามออนไลน์

ศาลชี้ Google ไม่ต้องขาย Chrome คงดีล Apple แต่ต้องแชร์ข้อมูล

ศาลสหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินครั้งสำคัญในคดีต่อต้านการผูกขาด โดยอนุญาตให้ Google ไม่ต้องขายธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome และสามารถจ่ายเงินให้ Apple ต่อไปได้ตามข้อตกลงเดิม แต่มีคำสั่งให้ต้องแชร์ข้อมูลการค้นหาแก่บริษัทคู่แข่ง เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาดเสิร์ชออนไลน์ ความเคลื่อนไหวนี้ส่งผลกระทบต่ออนาคตของ Google และตลาดเทคโนโลยีโดยรวมอย่างมาก

คำตัดสินของผู้พิพากษาเขต อมิต เมห์ตา ส่งผลให้หุ้นของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google พุ่งขึ้นกว่า 7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ขณะที่หุ้น Apple ปรับตัวขึ้น 3% เนื่องจากนักลงทุนสบายใจขึ้นว่า ข้อตกลงมูลค่ามหาศาลระหว่างสองบริษัท ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ประเมินไว้ที่ปีละ 2 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น จะไม่ถูกยกเลิก

นอกจากนี้ ผู้พิพากษายังอนุญาตให้ Google สามารถเก็บรักษาระบบปฏิบัติการ Android ไว้ได้ ซึ่งทั้ง Chrome และ Android ถือเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจโฆษณาออนไลน์ที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่บริษัท การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ Google ในการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน

คำตัดสินดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานถึง 5 ปี ระหว่าง Google กับหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ซึ่งตั้งคำถามต่อการครองตลาดของกลุ่มบริษัทบิ๊กเทคมาโดยตลอด โดยเมื่อปีที่แล้ว ผู้พิพากษาเมห์ตาได้วินิจฉัยว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดตลาดการค้นหาและโฆษณาออนไลน์อย่างผิดกฎหมายจริง

อย่างไรก็ดี ในการกำหนดมาตรการเยียวยา ผู้พิพากษาเมห์ตาระบุว่าเขาใช้ “ความถ่อมตน” ในการพิจารณา โดยให้เหตุผลว่าการเข้ามาของบริษัท AI ได้สร้างการแข่งขันในรูปแบบใหม่ขึ้นมา นับตั้งแต่คดีนี้เริ่มต้นขึ้น

“ศาลถูกขอให้มองอนาคตผ่านลูกแก้วคริสตัล ซึ่งไม่ใช่ความถนัดของผู้พิพากษา” เมห์ตาเขียนในคำตัดสิน พร้อมเสริมว่า “เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่แวดวงนี้และความรวดเร็วของมันช่างน่าทึ่ง” เขามองว่าบรรดาบริษัท AI ในปัจจุบันอยู่ในสถานะที่พร้อมจะแข่งขันกับ Google ได้ดีกว่าที่เคยมีมาในรอบหลายทศวรรษ

ผู้พิพากษาเมห์ตาให้เหตุผลว่า การเติบโตของ AI โดยเฉพาะ ChatGPT ของ OpenAI ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นเจ้าตลาดของเสิร์ชเอนจินแบบดั้งเดิม ดังนั้น การสั่งห้ามข้อตกลงจ่ายเงินระหว่าง Google กับ Apple จึงยิ่งมีความจำเป็นน้อยลง

แม้การที่ไม่ต้องขายธุรกิจหลักอย่าง Chrome และ Android จะเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุน แต่เงื่อนไขที่บังคับให้ Google ต้องแชร์ข้อมูลแก่คู่แข่ง ก็อาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว โดยหากบริษัท AI สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ ก็จะช่วยเร่งการพัฒนาแชตบอตและเสิร์ชเอนจินของตนเองให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ด้านหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไป ตามที่ เกล สเลเตอร์ ผู้ช่วยอัยการสูงสุดระบุผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ส่วน Google ได้แสดงความกังวลผ่านบล็อกโพสต์ว่า “การแชร์ข้อมูลจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้และความเป็นส่วนตัว” และกำลังตรวจสอบคำตัดสินอย่างละเอียด

ทั้งนี้ Google เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่ามีแผนจะยื่นอุทธรณ์ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการทางกฎหมายอาจยืดเยื้อต่อไปอีกหลายปี และมีความเป็นไปได้สูงที่คดีจะสิ้นสุดที่ศาลฎีกา

ศาลชี้ Google ไม่ต้องขาย Chrome คงดีล Apple แต่ต้องแชร์ข้อมูล

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองคือ ผลกระทบของการแชร์ข้อมูลต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และการแข่งขันในตลาดเสิร์ชเอนจินในระยะยาว การตัดสินใจครั้งนี้ของศาลอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต

ทำไมศาลถึงตัดสินให้ Google ไม่ต้องขาย Chrome?

เหตุผลหลักที่ศาลตัดสินให้ Google ไม่ต้องขาย Chrome และคงดีล Apple ไว้ได้ เนื่องจากศาลมองว่า การเติบโตของ AI และบริษัทต่างๆ ที่พัฒนา AI ได้สร้างการแข่งขันในตลาดเสิร์ชเอนจินแบบดั้งเดิมมากขึ้น ทำให้การผูกขาดของ Google ลดลง ศาลจึงเห็นว่าการบังคับให้ Google ขาย Chrome หรือยกเลิกดีลกับ Apple ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

  • การเติบโตของ AI เป็นปัจจัยสำคัญ
  • บริษัท AI อื่นๆ พร้อมแข่งขันกับ Google มากขึ้น
  • การบังคับขาย Chrome อาจไม่เป็นประโยชน์

อย่างไรก็ตาม การที่ Google ต้องแชร์ข้อมูลให้คู่แข่ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของ Google เองในอนาคต บริษัทคู่แข่งอาจใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่แข่งขันกับ Google ได้โดยตรง

ในภาพรวม คำตัดสินของศาลครั้งนี้มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งต่อ Google, Apple, บริษัท AI อื่นๆ และผู้บริโภค การติดตามความเคลื่อนไหวในอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ศาลชี้ Google ไม่ต้องขาย Chrome คงดีล Apple แต่ต้องแชร์ข้อมูล – สรุปคือ Google รอดจากการถูกบังคับให้ขาย Chrome แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการแชร์ข้อมูลให้กับคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดเสิร์ชเอนจิน

ที่มา – ศาลชี้ Google ไม่ต้องขาย Chrome-คงดีล Apple ได้ แต่สั่งแชร์ข้อมูลให้คู่แข่ง

ออสเตรเลียฟ้อง Google ปมผูกขาด Search กับบ. โทรคมนาคม

คณะกรรมการการแข่งขันและผู้บริโภคแห่งออสเตรเลีย (ACCC) ได้ทำการยื่นฟ้อง Google ในวันนี้ (18 สิงหาคม) โดยมีข้อหาว่า Google ได้ทำการต่อต้านการแข่งขันทางการค้า จากข้อตกลงที่ Google Search ทำไว้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่อย่าง Telstra และ Optus ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนมีนาคม 2564 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้มีการติดตั้ง Google Search เพียงอย่างเดียวบนโทรศัพท์ Android ที่บริษัทเหล่านี้เป็นผู้จัดจำหน่าย

ทาง ACCC ได้ระบุว่า ข้อตกลงที่ Google ทำกับ Telstra และ Optus นั้น ทำให้ทั้งสองบริษัทได้รับส่วนแบ่งรายได้จาก Google ซึ่งมาจากค่าโฆษณาที่ผู้บริโภคเห็นขณะใช้งาน Google Search บนโทรศัพท์ระบบ Android ซึ่งถือเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อ Google เพียงฝ่ายเดียว

อย่างไรก็ตาม ทาง Google ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลเป็นอย่างดี โดยได้ยอมรับผิดและตกลงที่จะยื่นคำร้องร่วมกันต่อศาลรัฐบาลกลาง โดย Google จะทำการจ่ายค่าปรับรวมเป็นจำนวน 55 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือประมาณ 35.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเป็นการชดเชยสำหรับการกระทำดังกล่าว

นอกจากนี้ ACCC ยังได้รับคำมั่นสัญญาจาก Google เอเชียแปซิฟิก และ Google LLC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ว่าจะทำการยกเลิกข้อกำหนดบางส่วนในสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ Android และบริษัทโทรคมนาคม ตัวอย่างเช่น การยกเลิกข้อกำหนดที่บังคับให้ติดตั้งแอปพลิเคชันมาล่วงหน้า และการจำกัดการตั้งค่าเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น

ออสเตรเลียฟ้อง Google ปมผูกขาด Search กับบ. โทรคมนาคม

จีน่า-แคสส์ ก็อตต์ลิบ ประธาน ACCC ได้ออกมาเปิดเผยว่า ผลลัพธ์ในวันนี้จะทำให้ชาวออสเตรเลียหลายล้านคนมีทางเลือกในการค้นหาข้อมูลที่มากขึ้นในอนาคต และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการค้นหารายอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่ง สามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวออสเตรเลียได้อย่างแท้จริง ถือเป็นการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด

ทำไมการฟ้อง Google ปมผูกขาด Search กับบ. โทรคมนาคม ถึงสำคัญ?

การดำเนินการทางกฎหมายครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า หน่วยงานกำกับดูแลพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงและดำเนินการกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่อาจมีการใช้สถานะทางการตลาดที่เหนือกว่าเพื่อกีดกันการแข่งขัน การที่ Google ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือในการแก้ไขสัญญา แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในออสเตรเลียเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาการผูกขาดในตลาดดิจิทัลได้อีกด้วย การที่ผู้บริโภคมีทางเลือกในการค้นหาที่มากขึ้น และผู้ให้บริการรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดได้อย่างเท่าเทียมกัน จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและบริการที่ดีขึ้นในระยะยาว นี่คือหัวใจสำคัญของการแข่งขันที่เป็นธรรม

ประเด็นสำคัญอยู่ที่การผูกขาดทางการตลาดที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและคู่แข่งรายอื่นๆ การที่ ACCC เข้ามาจัดการปัญหา ออสเตรเลียฟ้อง Google ปมผูกขาด Search กับบ. โทรคมนาคม นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันที่เป็นธรรมและยั่งยืน

โดยสรุปแล้ว คดีที่ ACCC ยื่นฟ้อง Google ในครั้งนี้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันในยุคดิจิทัล และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้แต่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพื่อรักษาความเป็นธรรมและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับผู้บริโภค หากไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ Google อาจใช้ความได้เปรียบของตนเองในการกีดกันคู่แข่งและจำกัดทางเลือกของผู้บริโภค

การที่ Google ตกลงที่จะจ่ายค่าปรับและแก้ไขสัญญา ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการผูกขาด แต่สิ่งสำคัญคือการติดตามและตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นจริงและส่งผลกระทบในระยะยาว การสร้างตลาดดิจิทัลที่เป็นธรรมและโปร่งใสเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการส่งเสริมนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

ที่มา – หน่วยงานกำกับดูแลออสซี่ฟ้อง Google ปมผูกขาด Search กับบ.โทรคมนาคม