โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี

เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมทรัมป์-ปูติน

สถานการณ์โลกกำลังจับจ้องไปที่การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย แต่ก่อนหน้านั้น มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน เดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลา 9.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวน์นิง ซึ่งเป็นบ้านพักและสำนักงานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ การพบปะครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเกิดขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดที่กำลังจะมาถึง

การเดินทางมาพบปะกับนายกฯอังกฤษของเซเลนสกี เกิดขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะมีการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่อะแลสกาในวันศุกร์นี้ เพื่อหาทางออกและยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมานาน การพูดคุยในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะมีการหารือถึงแนวทางและความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา

ก่อนหน้านี้ในวันพุธ ทรัมป์ได้จัดการประชุมทางไกลร่วมกับเซเลนสกีและผู้นำยุโรปคนอื่นๆ ได้แก่ ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี, อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) และมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความพยายามของนานาชาติในการแก้ไขสถานการณ์

ภายหลังการประชุม ทรัมป์ได้ออกมาเตือนรัสเซียว่า หากปูตินปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงหยุดยิงภายในสัปดาห์นี้ รัสเซียจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่รุนแรงอย่างมาก โดยมีการเตือนถึงความเป็นไปได้ในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหากการประชุมในวันศุกร์นี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน

สถานการณ์โดยรวมมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน การพบปะระหว่าง เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทของสหราชอาณาจักรในการเป็นตัวกลางและการสนับสนุนยูเครน การที่เซเลนสกีเลือกที่จะมาพบกับนายกฯ สตาร์เมอร์ ก่อนการประชุมสุดยอดนั้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพยายามในการหาทางออกทางการทูตก่อนที่จะมีการตัดสินใจที่อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง การเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้

ความคาดหวังของประชาคมโลกอยู่ที่การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และปูติน ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืนให้กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน การที่ เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน ทำให้เกิดความหวังว่าจะมีข้อเสนอและแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา

การพบปะ เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน มีความสำคัญอย่างไร?

การพบปะกันระหว่างเซเลนสกีและนายกฯ สตาร์เมอร์ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงความ solidarity และการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรต่อยูเครน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก่อนการประชุมสุดยอดที่กำลังจะเกิดขึ้น

  • การหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในยูเครน
  • การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและแนวทางการแก้ไขปัญหา
  • การประสานงานและความร่วมมือระหว่างประเทศ

การที่ผู้นำยูเครนและอังกฤษได้หารือกันอย่างใกล้ชิดก่อนการประชุมสุดยอด ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติและสร้างสรรค์

ดังนั้น การที่ เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน จึงเป็นการเตรียมพร้อมและการสร้างความเข้าใจร่วมกันก่อนที่จะมีการเจรจาในระดับที่สูงขึ้น และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการหาทางออกให้กับความขัดแย้งในยูเครน

จับตาดูผลการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และปูตินอย่างใกล้ชิด แนวทางที่ทั้งสองผู้นำจะตกลงกัน จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตของยูเครนและสถานการณ์โลก

ที่มา – เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินพรุ่งนี้

ยุโรป-สหรัฐฯ เห็นพ้อง 5 ข้อ เจรจา[รัสเซีย](รัสเซีย)

สถานการณ์ระหว่างประเทศกำลังร้อนระอุ! มีรายงานจากสื่อยูเครนว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ได้ออกมาเปิดเผยว่า บรรดาผู้นำจากยุโรปและสหรัฐฯ ได้เห็นพ้องกันในหลักการสำคัญ 5 ประการสำหรับการเจรจากับรัสเซีย เพื่อหาทางออกให้กับวิกฤตที่เกิดขึ้น

ใจความสำคัญของการแถลงข่าวร่วมกับ ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี คือ ยูเครนจะต้องมีส่วนร่วมโดยตรงในการยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างสันติ นี่เป็นประเด็นที่เซเลนสกีเน้นย้ำอย่างมาก

เซเลนสกี กล่าวว่า ทุกข้อกังวลของยูเครนควรได้รับการหารือกับยูเครนโดยเฉพาะ และยังเรียกร้องให้เตรียมพร้อมสำหรับการหารือไตรภาคีระหว่างยูเครน รัสเซีย และสหรัฐฯ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรับรองการหยุดยิงและความมั่นคงของยูเครน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจหลักของ ผู้นำยุโรป-สหรัฐฯ เห็นพ้องหลักการ 5 ข้อในการเจรจากับรัสเซีย ในครั้งนี้

นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงยิ่งขึ้นกับรัสเซีย หากรัสเซียปฏิเสธที่จะหยุดยิง มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจนี้ ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการบีบให้รัสเซียกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา

สำนักข่าวซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า เซเลนสกี และแมร์ซ ได้ประชุมทางไกลผ่านวิดีโอเมื่อวันพุธ ร่วมกับบุคคลสำคัญระดับโลก ได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ, อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) และ มาร์ค รุตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) และบุคคลอื่นๆอีกมากมาย การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาระดับโลก

ที่น่าสนใจคือ มีกำหนดการที่ทรัมป์จะพบปะกับปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา ในวันที่ 15 ส.ค. นี้ การพบปะนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียด

ผู้นำยุโรป-สหรัฐฯ เห็นพ้องหลักการ 5 ข้อในการเจรจากับรัสเซีย

โดยสรุปแล้ว หลักการ 5 ข้อที่ ผู้นำยุโรป-สหรัฐฯ เห็นพ้องหลักการ 5 ข้อในการเจรจากับรัสเซีย ประกอบด้วย:

  • ยูเครนต้องมีส่วนร่วมโดยตรงในการเจรจา
  • ทุกข้อกังวลของยูเครนต้องได้รับการหารือกับยูเครน
  • เตรียมพร้อมสำหรับการหารือไตรภาคี (ยูเครน, รัสเซีย, สหรัฐฯ)
  • รับรองการหยุดยิง
  • รับรองความมั่นคงของยูเครน

ประเด็นที่น่าติดตามต่อไปคือ ท่าทีของรัสเซียต่อข้อเสนอเหล่านี้ และการหารือระหว่างทรัมป์และปูติน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอน แต่ความพยายามทางการทูตเหล่านี้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนานาชาติในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ

ทำไมหลักการ 5 ข้อในการเจรจา[รัสเซีย](รัสเซีย)จึงสำคัญ

การที่ ผู้นำยุโรป-สหรัฐฯ เห็นพ้องหลักการ 5 ข้อในการเจรจากับรัสเซีย นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาติตะวันตกในการสนับสนุนยูเครน และเป็นการวางกรอบที่ชัดเจนสำหรับการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หลักการเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของยูเครน การรับฟังข้อกังวลของยูเครน และการรับประกันความมั่นคงของยูเครน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงคือการทำให้รัสเซียยอมรับหลักการเหล่านี้ และเข้าร่วมในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ รัสเซียอาจมีข้อเรียกร้องและเงื่อนไขของตนเอง ซึ่งอาจขัดแย้งกับหลักการที่ชาติตะวันตกเสนอ ดังนั้น การเจรจาจึงอาจเป็นไปอย่างยากลำบากและต้องใช้ความพยายามอย่างมากจากทุกฝ่าย

ถึงกระนั้นก็ตาม การมีหลักการที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำทางการเจรจา และเพิ่มโอกาสในการบรรลุข้อตกลงที่ยุติธรรมและยั่งยืนสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ในท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของการเจรจาจะขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงของทุกฝ่ายในการประนีประนอมและหาทางออกร่วมกัน สถานการณ์ยังคงมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่ความพยายามทางการทูตเหล่านี้ ยังคงเป็นแสงสว่างแห่งความหวังในการแก้ไขวิกฤต

ที่มา – ผู้นำยุโรป-สหรัฐฯ เห็นพ้องหลักการ 5 ข้อในการเจรจากับรัสเซีย

ทรัมป์-ปูติน ประชุมสุดยอด ส่อยูเครนสละดินแดน

ทั่วโลกกำลังจับตาความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่อาจนำไปสู่การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีครึ่ง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เตรียมประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ณ เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ หลังจากที่การเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนสามรอบก่อนหน้านี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในการบรรลุสันติภาพ

จับตา “ทรัมป์-ปูติน” ประชุมสุดยอด 15 ส.ค.

อะแลสกามีนัยสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากจักรวรรดิรัสเซียเคยครอบครองอะแลสกามาก่อน จนกระทั่งพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ขายอะแลสกาให้สหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2410 และกลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในปี 2502 โดยนักวิเคราะห์มองว่า การเลือกอะแลสกาเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ราวกับต้องการบอกเป็นนัยว่าดินแดนสามารถซื้อขายได้ และ “พรมแดนของประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงได้”

อย่างไรก็ตาม ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซีย ให้เหตุผลเพียงว่า รัสเซียและสหรัฐฯ เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีเพียงช่องแคบแบริงกั้นกลางระหว่างกันเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่คณะผู้แทนของรัสเซียจะบินข้ามช่องแคบแบริงเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งสำคัญระหว่างผู้นำทั้งสองที่อะแลสกา

การเดินทางไปยังอะแลสกาครั้งนี้จะถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำของรัสเซียเยือนอะแลสกา แม้ว่าจักรวรรดิรัสเซียเคยครอบครองอะแลสกามานานก็ตาม นอกจากนี้ การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ จะถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีสำหรับปูติน โดยครั้งหลังสุดเขาได้เดินทางเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2558 เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นิวยอร์ก

ทรัมป์ยืนยันว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน จะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในวันศุกร์นี้ อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวเปิดเผยในภายหลังว่า ทรัมป์และเซเลนสกีจะประชุมออนไลน์ร่วมกันก่อนในวันพุธนี้ (13 ส.ค.) โดยมีผู้นำยุโรปหลายคนร่วมหารือด้วย ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยืนยันว่าเซเลนสกีจะเป็นคนแรกที่เขาโทรหาหลังเสร็จสิ้นการประชุมกับปูติน

ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวระบุว่าทรัมป์ยินดีจัดการประชุมไตรภาคีระหว่างทรัมป์ ปูติน และเซเลนสกี อย่างไรก็ตาม ทางรัสเซียคัดค้านการพบกันระหว่างปูตินกับเซเลนสกี อย่างน้อยก็จนกว่ารัสเซียและยูเครนจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพและพร้อมที่จะลงนามในข้อตกลงดังกล่าว โดยปูตินกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาไม่ได้ต่อต้านการพบกับเซเลนสกี แต่ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขบางประการก่อน ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน

ส่วนทางด้านเซเลนสกีรีบดักคอก่อนที่ทรัมป์จะพบกับปูติน โดยย้ำว่า “ข้อตกลงใดที่เกิดขึ้นโดยไม่มียูเครน ก็เท่ากับเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อสันติภาพ” และเป็น “ข้อตกลงที่ไม่มีผล”

จับตา “ทรัมป์-ปูติน” ประชุมสุดยอด 15 ส.ค. ส่อบีบยูเครนสละดินแดนแลกหยุดยิง

แม้ว่ารัสเซียและยูเครนต่างแสดงจุดยืนว่าต้องการยุติสงคราม แต่ต่างฝ่ายต่างก็แสดงความต้องการในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่สามารถยอมรับได้ โดยสิ่งที่รัสเซียต้องการคือ ยูเครนต้องสละดินแดนที่รัสเซียเข้ายึดครอง ยูเครนต้องไม่พยายามเข้าร่วมนาโต และยูเครนต้องจำกัดขนาดของกองทัพ เนื่องจากรัสเซียมีความกังวลอย่างมากว่านาโตอาจใช้ยูเครนเป็นฐานเพื่อนำกองกำลังเข้ามาประจำการใกล้ชายแดนรัสเซีย ส่วนทางด้านยูเครนก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่ยอมยกดินแดนใด ๆ ให้รัสเซีย รวมถึงไม่ยอมรับการที่รัสเซียเข้าครอบครองดินแดนไครเมียก่อนหน้านี้ด้วย

สหรัฐฯ ได้เสนอแนวทางแก้ไขความขัดแย้ง โดยทรัมป์กล่าวว่าจะพยายามเจรจากับปูติน เพื่อนำดินแดนที่รัสเซียยึดครองกลับมาคืนให้กับยูเครนบางส่วน แต่ยูเครนอาจต้องยอมสละดินแดนบางส่วนเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยมีรายงานว่า ข้อเสนอระบุว่า รัสเซียจะได้ครอบครองดินแดนไครเมียที่ยึดไปตั้งแต่ปี 2557 พร้อมกับครอบครองภูมิภาคดอนบาส (ประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์) ทางตะวันออกของยูเครน แต่รัสเซียต้องถอนกำลังทหารออกจากแคว้นเคอร์ซอนและซาโปริซเซีย

ยูเครนและชาติพันธมิตรในยุโรปกังวลว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะเปิดทางให้รัสเซียสามารถใช้กำลังทางทหารเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนของยูเครนใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น การประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่มียูเครนเข้าร่วม อาจทำให้ปูตินสามารถโน้มน้าวทรัมป์และบีบให้ยูเครนต้องยอมจำนนในที่สุด ขณะที่คายา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายการต่างประเทศของสหภาพยุโรป (EU) เตือนว่า “การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนต้องไม่ให้รางวัลแก่ผู้รุกราน”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) ต่อประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของรัสเซีย โดยมาตรการภาษีดังกล่าวจะทำให้ผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสูงถึง 100% เมื่อส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นแรงกดดันทางเศรษฐกิจขั้นรุนแรงเพื่อบีบให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน ตลาดพลังงานจึงจับตาการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินในวันศุกร์นี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากการประชุมนำไปสู่การหยุดยิง หรือทำให้ข้อตกลงสันติภาพเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ทรัมป์ก็อาจระงับมาตรการภาษีทุติยภูมิที่ประกาศเรียกเก็บจากอินเดียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจะมีผลบังคับใช้ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่ออุปทานน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง ขณะเดียวกัน ความหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน ยังส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ซึ่งกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงตามไปด้วย

ทรัมป์ประกาศตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นหนึ่งในนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ และหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สองเมื่อเดือนมกราคม ทรัมป์ก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจามาตลอด และการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินในวันศุกร์นี้อาจเป็นตัวตัดสินว่าทรัมป์จะไปต่อหรือพอแค่นี้ โดยมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต เชื่อว่า ทรัมป์ต้องการสร้างความมั่นใจว่าปูตินจริงจังหรือไม่ในการสร้างสันติภาพ ถ้าปูตินไม่จริงจัง ทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ แต่ถ้าปูตินจริงจัง นับตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไป การเจรจาจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยยูเครนและยุโรปจะถูกดึงเข้าร่วมการเจรจาด้วย เพื่อนำไปสู่การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในท้ายที่สุด

การประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินครั้งนี้ มีหลายฝ่ายกังวลว่าอาจนำไปสู่ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมต่อยูเครน แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการหาทางออกให้กับวิกฤตที่ยืดเยื้อ หากทรัมป์และปูตินสามารถหาจุดร่วมกันได้ สันติภาพอาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ที่มา – In Focus: จับตา “ทรัมป์-ปูติน” ประชุมสุดยอด 15 ส.ค. ส่อบีบยูเครนสละดินแดนแลกหยุดยิง