เคียร์ สตาร์เมอร์

อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เน้นเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ยืนยันว่าจะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องวีซ่าขึ้นหารือกับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ในการเยือนกรุงนิวเดลี โดยเน้นหารืออังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย ในวันพรุ่งนี้ (9 ต.ค.) เขาต้องการเน้นอังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดียและส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่าการเดินทางครั้งนี้มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ทั้งสองประเทศได้ทำไว้แล้ว และชี้ว่าประเด็นวีซ่าไม่อยู่ในแผนการเจรจา เนื่องจากข้อตกลงการค้าครั้งล่าสุดไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับวีซ่า ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าหลังจากที่ประเด็นดังกล่าวเคยเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุข้อตกลงในอดีต

สตาร์เมอร์กล่าวว่า ภาคธุรกิจกำลังได้รับประโยชน์จากข้อตกลงที่ลงนามเมื่อเดือนก.ค. หลังจากบรรลุในเดือนพ.ค. และย้ำว่าการหารือกับผู้นำอินเดียครั้งนี้จะมุ่งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อเจรจาเรื่องการเคลื่อนไหวของแรงงานหรือวีซ่าทำงาน

ขณะเดียวกัน ผู้นำสหราชอาณาจักรยังคงดำเนินนโยบายเข้มงวดมากขึ้นในประเด็นผู้อพยพ ท่ามกลางกระแสความกังวลของประชาชนที่เพิ่มขึ้น และในขณะที่พรรคแรงงานของเขามีคะแนนนิยมตามหลังพรรคปฏิรูปสหราชอาณาจักร (Reform UK) ซึ่งมีแนวทางประชานิยม

สตาร์เมอร์ยังระบุด้วยว่า จะไม่หยิบยกเรื่องวีซ่าเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากอินเดีย แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะเพิ่งประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B แต่โดยรวมแล้วเขายังคงต้องการให้สหราชอาณาจักรเป็นจุดหมายปลายทางของบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก

เมื่อถูกถามถึงท่าทีต่อประเทศที่ปฏิเสธรับตัวอาชญากรต่างชาติหรือผู้ที่สหราชอาณาจักรต้องการส่งกลับ สตาร์เมอร์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำหรับอินเดีย เนื่องจากทั้งสองประเทศมีข้อตกลงส่งตัวบุคคลกลับประเทศอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าจะพิจารณาแนวทางนี้ในภาพรวมต่อไป โดยอยู่ระหว่างศึกษาว่าควรเชื่อมโยงการออกวีซ่ากับข้อตกลงการส่งตัวกลับหรือไม่

อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เน้นหารือส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

ประเด็นสำคัญ: อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย

การยืนยันจุดยืนของสหราชอาณาจักรในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าที่มีอยู่แล้ว การตัดสินใจที่จะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องวีซ่าขึ้นมาหารือ อาจเป็นการหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสให้การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

แม้ว่าประเด็นเรื่องวีซ่าจะเป็นที่สนใจของหลายฝ่าย แต่การที่สหราชอาณาจักรเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับอินเดียในระยะยาว

การที่สตาร์เมอร์กล่าวว่าจะไม่หยิบยกเรื่องวีซ่าเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากอินเดียนั้น น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นว่าสหราชอาณาจักรต้องการที่จะดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ การที่เขายังคงต้องการให้สหราชอาณาจักรเป็นจุดหมายปลายทางของบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

การพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงการออกวีซ่ากับข้อตกลงการส่งตัวกลับ เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นถึงความพยายามของสหราชอาณาจักรในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการบังคับใช้กฎหมาย

โดยรวมแล้ว การตัดสินใจของสหราชอาณาจักรที่จะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องวีซ่าขึ้นมาหารือกับอินเดียในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่จะมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาว เป็นการเดินหมากที่น่าสนใจที่ต้องติดตามผลลัพธ์ต่อไป

อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เพื่อเน้นการค้าเสรีที่มีอยู่เดิม หากคุณเป็นนักธุรกิจที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในอินเดีย นี่เป็นสัญญาณที่ดี! ลองศึกษาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสองประเทศดูนะครับ

ที่มา – อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เน้นหารือส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

ทรัมป์จ้องทวงคืน “ฐานทัพบากราม” ในอัฟฯ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร (UK) เมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ว่า สหรัฐฯ ต้องการกลับไปควบคุมฐานทัพอากาศบากรามในอัฟกานิสถานอีกครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ของอัฟกานิสถานได้ออกมาปฏิเสธทันที โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นที่กองทัพสหรัฐฯ จะต้องกลับมาตั้งฐานทัพในประเทศ

ฐานทัพบากรามแห่งนี้สร้างขึ้นในยุคโซเวียต และเคยเป็นฐานที่มั่นหลักของกองทัพสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 9 กันยายน 2544 จนกระทั่งสหรัฐฯ ถอนทหารออกไปในปี 2564 ซึ่งเป็นการเปิดทางให้กลุ่มตาลีบันกลับเข้ายึดอำนาจได้ในที่สุด

“เรากำลังพยายามเอามันกลับคืน” ทรัมป์กล่าวถึงฐานทัพบากราม “เราต้องการฐานทัพนั้นคืน” โดยให้เหตุผลว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะอยู่ใกล้กับจีน

อย่างไรก็ดี รัฐบาลตาลีบันในกรุงคาบูลยืนยันว่าไม่เปิดรับข้อตกลงลักษณะนี้

ซากีร์ จาลาล เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอัฟกานิสถาน โพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ว่า “อัฟกานิสถานและสหรัฐฯ ควรหันมาพูดคุยกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้สหรัฐฯ กลับมาตั้งฐานทัพในประเทศอีก”

จาลาลยังระบุเสริมอีกว่า ทั้งสองชาติสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองได้ หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน

ข่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 ก.ย.) เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้เปิดการเจรจากับทางการอัฟกานิสถาน เพื่อหาทางช่วยเหลือพลเมืองอเมริกันที่ถูกควบคุมตัวในประเทศ โดยมีอดัม โบห์เลอร์ ทูตพิเศษด้านตัวประกันของรัฐบาลทรัมป์ และซัลเมย์ คาลิลซาด อดีตทูตพิเศษสหรัฐฯ ประจำอัฟกานิสถาน เข้าพบกับอะมีร์ ข่าน มุตตากี รัฐมนตรีต่างประเทศของตาลีบัน

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังไม่ได้รับรองรัฐบาลตาลีบันอย่างเป็นทางการ หลังจากที่กลุ่มตาลีบันกลับเข้ายึดอำนาจในปี 2564 ซึ่งยุติการแทรกแซงทางทหารของสหรัฐฯ ที่ดำเนินมานาน 20 ปี

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ทำไมทรัมป์ถึงต้องการ “ฐานทัพบากราม” คืน? การที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาแสดงความต้องการที่จะทวงคืน ฐานทัพบากราม ในอัฟกานิสถานนั้น สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากสหรัฐฯ เพิ่งจะถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานไปเมื่อไม่นานมานี้ การกลับเข้าไปมีบทบาทอีกครั้งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญ

ทรัมป์ต้องการ “ฐานทัพบากราม” คืนจริงหรือ?

ฐานทัพบากราม มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์จริงหรือไม่? ทำเลที่ตั้งของฐานทัพแห่งนี้ใกล้กับประเทศจีน ทำให้เป็นจุดที่สามารถเฝ้าระวังและตอบโต้ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นฐานในการปฏิบัติการในภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียใต้ได้อีกด้วย

ทำไมจึงต้องเป็น “ฐานทัพบากราม”?

การที่ทรัมป์เน้นย้ำถึงความสำคัญของ ฐานทัพบากราม อาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในภูมิภาค การกลับเข้าไปควบคุมฐานทัพแห่งนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ สามารถรักษาสมดุลอำนาจและปกป้องผลประโยชน์ของตนเองได้

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลตาลีบันปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการเจรจาเพื่อให้ได้ ฐานทัพบากราม คืนมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สหรัฐฯ อาจต้องใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเป็นอย่างไร? หากสหรัฐฯ สามารถทวงคืน ฐานทัพบากราม ได้สำเร็จ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ, อัฟกานิสถาน, และจีน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค

การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้อาจมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและเด็ดขาดของสหรัฐฯ ในสายตาของนานาชาติ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่คาดฝัน และต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลที่จะตามมา

สถานการณ์นี้ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และการตัดสินใจของสหรัฐฯ จะมีผลต่ออนาคตของอัฟกานิสถานและภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา – ทรัมป์ลั่น สหรัฐฯ จ้องทวงคืน “ฐานทัพบากราม” ในอัฟกานิสถาน ที่เคยทิ้งไว้ตอนถอนทหาร

สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้

สถานการณ์โลกกำลังร้อนระอุ! สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานตรงกันว่า อังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ข่าวนี้สะพัดไปทั่ว สร้างความฮือฮาในแวดวงการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งมีท่าทีต่อต้านแนวคิดดังกล่าว ได้เสร็จสิ้นภารกิจเยือนอังกฤษและเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาไปเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา

สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม สำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ออกมาเรียกร้องให้อิสราเอล ดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อยุติ “สถานการณ์อันเลวร้ายในกาซา” พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในระยะยาว หากไม่เป็นเช่นนั้น รัฐบาลอังกฤษจะพิจารณาให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ภายในเดือนกันยายน เพื่อ “ปกป้องความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาด้วยแนวทางสองรัฐ” ซึ่งเป็นแนวทางที่นานาชาติให้การสนับสนุน

เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เคยแสดงความกังวลว่า “ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า การแก้ปัญหาด้วยแนวทางสองรัฐกำลังถอยหลัง และดูห่างไกลความจริงยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาในรอบหลายปี” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่อังกฤษมองเห็นในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้

ทำไมข่าว สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้ ถึงสำคัญ?

หากอังกฤษประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ในช่วงสุดสัปดาห์นี้จริง จะถือว่าเร็วกว่าที่นายสตาร์เมอร์เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าวว่า หากอิสราเอลไม่ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในกาซา อังกฤษจะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-30 กันยายน ที่นครนิวยอร์ก

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ จะมีการประชุมนานาชาติระดับสูงว่าด้วยการระงับข้อพิพาทอย่างสันติในปาเลสไตน์และการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ ในวันที่ 22 กันยายน โดยมีฝรั่งเศสและซาอุดีอาระเบียเป็นประธานการประชุมร่วม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหานี้

การตัดสินใจของอังกฤษในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และอาจเป็นแรงผลักดันให้ประเทศอื่นๆ หันมาพิจารณาให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ทางการเมืองของภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้

การที่ สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้ ตอกย้ำถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในเร็ววัน การตัดสินใจครั้งนี้ของอังกฤษสร้างความสนใจและความคาดหวังไปทั่วโลก หลายฝ่ายจับตาดูท่าทีของนานาชาติและผลกระทบที่จะตามมาอย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่า การรับรองรัฐปาเลสไตน์ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคที่บอบช้ำจากสงครามมาอย่างยาวนาน

การตัดสินใจของอังกฤษครั้งนี้ ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ ที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของปาเลสไตน์และตะวันออกกลางไปตลอดกาล

ที่มา – สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้

ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง ป้องการปะทะผู้ประท้วง

สถานการณ์ตึงเครียดในลอนดอนเมื่อตำรวจลอนดอนส่งกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 1,600 นายในวันนี้ (13 ก.ย.) เพื่อควบคุมความปลอดภัยในการชุมนุมของสองกลุ่มผู้ประท้วงที่มีความเห็นต่างกันอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ประท้วงฝ่ายขวาและต่อต้านผู้อพยพ ในขณะที่อีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ การเผชิญหน้ากันของทั้งสองกลุ่มนี้สร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ขบวนประท้วง “Unite the Kingdom” ซึ่งจัดโดยสตีเฟน แยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมมี่ โรบินสัน มีกำหนดการเริ่มต้นจากสะพานวอเตอร์ลู และจะเคลื่อนขบวนไปยังไวท์ฮอลล์ ในขณะเดียวกัน กลุ่ม “Stand Up To Racism” ซึ่งเป็นการประท้วงตอบโต้ จะรวมตัวกันที่ปลายอีกด้านของไวท์ฮอลล์ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป็นที่คาดการณ์ว่าขบวน Unite the Kingdom จะใช้โอกาสนี้ในการไว้อาลัยให้กับ ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวอเมริกัน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกยิงเมื่อวันพุธ การรวมตัวของผู้สนับสนุนเพื่อไว้อาลัยให้กับเคิร์กอาจดึงดูดผู้คนจำนวนมาก และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรง

เพื่อป้องกันการปะทะกันของทั้งสองกลุ่ม ตำรวจลอนดอนส่งกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมาก พร้อมทั้งวางรั้วเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างผู้ประท้วงทั้งสองฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 นายที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเดินขบวนโดยตรง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ประเด็นเรื่องผู้อพยพได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญในสหราชอาณาจักร เนื่องจากจำนวนผู้ยื่นขอลี้ภัยและผู้อพยพที่เดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษได้สูงเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์นี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลในการหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว

เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสาธารณชน นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ได้แต่งตั้ง ชาบานา มาห์มูด ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ของอังกฤษ โดยมีเป้าหมายหลักในการรับมือกับปัญหาการอพยพที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ตำรวจลอนดอนส่งกำลังรับมือการประท้วง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลอนดอนสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ที่ฝังรากลึกในสังคม การชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าประเด็นเรื่องผู้อพยพและการเหยียดเชื้อชาติยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ในสังคม

ความท้าทายในการควบคุมการประท้วง: ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง

การจัดการกับการชุมนุมประท้วงที่มีความขัดแย้งสูงเช่นนี้เป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากการรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ยังต้องคำนึงถึงสิทธิในการแสดงออกและความคิดเห็นของผู้ประท้วงทุกคน การใช้กำลังจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังและสมเหตุสมผล เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน

  • การวางแผนและการเตรียมพร้อม: เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
  • การสื่อสารและการเจรจา: การสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมากับผู้ประท้วงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง
  • การใช้เทคโนโลยี: การใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิดและระบบวิเคราะห์ข้อมูล สามารถช่วยในการติดตามสถานการณ์และป้องกันเหตุร้าย
  • การทำงานร่วมกับชุมชน: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับความร่วมมือและข้อมูลที่เป็นประโยชน์

การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง และเคารพซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความขัดแย้งและความรุนแรง

สถานการณ์ที่ลอนดอนเป็นเครื่องเตือนใจว่าความท้าทายในการจัดการความขัดแย้งทางสังคมเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การตำรวจลอนดอนส่งกำลังเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการควบคุมสถานการณ์ แต่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ในระยะยาว

ที่มา – ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง 1,600 นาย ป้องกันการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงสองฝ่าย

มาครง-สตาร์เมอร์ นำทัพประชุมกลุ่มหนุนยูเครน

“มาครง-สตาร์เมอร์” เตรียมร่วมเป็นประธานการประชุม “กลุ่มพันธมิตรที่เต็มใจ” เพื่อยูเครน

ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร จะร่วมกันเป็นประธานการประชุม “กลุ่มพันธมิตรที่เต็มใจ” เพื่อยูเครน ในช่วงบ่ายวันอังคารนี้ (19 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ภายหลังการเจรจาในกรุงวอชิงตัน นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญในการสนับสนุนยูเครนในสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด

ทำเนียบเอลีเซของปธน.มาครงเสริมว่า ประเทศต่าง ๆ จะร่วมกันดำเนินการเรื่องหลักประกันด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นานาชาติต่างให้ความสนใจ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน และบรรดาผู้นำยุโรปอีก 7 คนที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ (18 ส.ค.) โดยการพบปะกันครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขวิกฤตการณ์ในยูเครน หลังจากการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา เมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.) ปิดฉากลงโดยไม่มีความคืบหน้าใด ๆ

ปธน.เซเลนสกีต้องการหลักประกันด้านความมั่นคง

ทั้งนี้ ปธน.เซเลนสกีระบุว่า เขาต้องการ “ทุกอย่าง” เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคง โดยกล่าวว่า “หลักประกันนี้ประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับอาวุธ บุคลากร ภารกิจฝึกอบรม และข่าวกรองเป็นจำนวนมาก และส่วนที่สอง เราจะหารือกับพันธมิตรของเรา ซึ่งขึ้นอยู่กับประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา และเพื่อน ๆ ของเราอีกมากมาย” สถานการณ์ในยูเครนยังคงต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

การที่ “มาครง-สตาร์เมอร์” เตรียมร่วมเป็นประธานการประชุม “กลุ่มพันธมิตรที่เต็มใจ” เพื่อยูเครน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรในการแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยูเครน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะนำไปสู่การหาทางออกและสร้างความมั่นคงให้กับยูเครนในระยะยาว

การร่วมมือกันของผู้นำจากประเทศต่างๆ เพื่อสนับสนุนยูเครนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อทั้งภูมิภาคและทั่วโลก การให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านอาวุธ การฝึกอบรม หรือข้อมูลข่าวกรอง ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับยูเครน

นอกจากนี้ การหารือกับพันธมิตรต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีบทบาทสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่จะช่วยให้การสนับสนุนยูเครนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ยูเครนสามารถเผชิญกับความท้าทายต่างๆ และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศได้ในที่สุด

ดังนั้น การประชุมที่ “มาครง-สตาร์เมอร์” เตรียมเป็นประธานร่วม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของยูเครน และเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของนานาชาติในการช่วยเหลือและสนับสนุนยูเครนให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ไปได้ด้วยดี การมี “กลุ่มพันธมิตรที่เต็มใจ” เพื่อยูเครน เข้มแข็ง จะทำให้ยูเครนได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 68)

การที่ “มาครง-สตาร์เมอร์” เตรียมร่วมเป็นประธานการประชุม “กลุ่มพันธมิตรที่เต็มใจ” เพื่อยูเครน ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะนำไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในยูเครน

ที่มา – “มาครง-สตาร์เมอร์” เตรียมร่วมเป็นประธานการประชุม “กลุ่มพันธมิตรที่เต็มใจ” เพื่อยูเครน

เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมทรัมป์-ปูติน

สถานการณ์โลกกำลังจับจ้องไปที่การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย แต่ก่อนหน้านั้น มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน เดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลา 9.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวน์นิง ซึ่งเป็นบ้านพักและสำนักงานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ การพบปะครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเกิดขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดที่กำลังจะมาถึง

การเดินทางมาพบปะกับนายกฯอังกฤษของเซเลนสกี เกิดขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะมีการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่อะแลสกาในวันศุกร์นี้ เพื่อหาทางออกและยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมานาน การพูดคุยในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะมีการหารือถึงแนวทางและความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา

ก่อนหน้านี้ในวันพุธ ทรัมป์ได้จัดการประชุมทางไกลร่วมกับเซเลนสกีและผู้นำยุโรปคนอื่นๆ ได้แก่ ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี, อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) และมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความพยายามของนานาชาติในการแก้ไขสถานการณ์

ภายหลังการประชุม ทรัมป์ได้ออกมาเตือนรัสเซียว่า หากปูตินปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงหยุดยิงภายในสัปดาห์นี้ รัสเซียจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่รุนแรงอย่างมาก โดยมีการเตือนถึงความเป็นไปได้ในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหากการประชุมในวันศุกร์นี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน

สถานการณ์โดยรวมมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน การพบปะระหว่าง เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทของสหราชอาณาจักรในการเป็นตัวกลางและการสนับสนุนยูเครน การที่เซเลนสกีเลือกที่จะมาพบกับนายกฯ สตาร์เมอร์ ก่อนการประชุมสุดยอดนั้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพยายามในการหาทางออกทางการทูตก่อนที่จะมีการตัดสินใจที่อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง การเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้

ความคาดหวังของประชาคมโลกอยู่ที่การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และปูติน ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืนให้กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน การที่ เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน ทำให้เกิดความหวังว่าจะมีข้อเสนอและแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา

การพบปะ เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน มีความสำคัญอย่างไร?

การพบปะกันระหว่างเซเลนสกีและนายกฯ สตาร์เมอร์ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงความ solidarity และการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรต่อยูเครน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก่อนการประชุมสุดยอดที่กำลังจะเกิดขึ้น

  • การหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในยูเครน
  • การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและแนวทางการแก้ไขปัญหา
  • การประสานงานและความร่วมมือระหว่างประเทศ

การที่ผู้นำยูเครนและอังกฤษได้หารือกันอย่างใกล้ชิดก่อนการประชุมสุดยอด ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติและสร้างสรรค์

ดังนั้น การที่ เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน จึงเป็นการเตรียมพร้อมและการสร้างความเข้าใจร่วมกันก่อนที่จะมีการเจรจาในระดับที่สูงขึ้น และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการหาทางออกให้กับความขัดแย้งในยูเครน

จับตาดูผลการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และปูตินอย่างใกล้ชิด แนวทางที่ทั้งสองผู้นำจะตกลงกัน จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตของยูเครนและสถานการณ์โลก

ที่มา – เซเลนสกีดอดพบนายกฯอังกฤษ ก่อนประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินพรุ่งนี้