อินเดีย

PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลง ก.ย. นี้!

วันนี้เรามาอัปเดตข่าวเศรษฐกิจอินเดียกันหน่อยนะครับ กับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการล่าสุด หลายคนอาจจะสงสัยว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. นี่มันหมายความว่ายังไง? แล้วมีผลกระทบอะไรบ้าง? มาดูกันเลย!

ผลสำรวจจาก S&P Global เผยว่าดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 60.9 ในเดือนกันยายน จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 62.9 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปีเลยทีเดียว ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เบื้องต้นที่ 61.6 ด้วยนะครับ

แต่ไม่ต้องตกใจกันไป ดัชนี PMI ที่สูงกว่า 50 นั้นยังคงบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจยังอยู่ในภาวะขยายตัวอยู่ เพียงแต่เป็นการขยายตัวที่ช้าลงเท่านั้นเองครับ ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ถึงจะเรียกว่าอยู่ในภาวะหดตัว

บริษัทต่างๆ รายงานว่าธุรกิจยังคงเติบโตได้เนื่องจากอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่งและการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่ก็มีบางบริษัทที่ยอมรับว่ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นและมาตรการควบคุมต้นทุนอยู่เช่นกัน เรียกได้ว่ามีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยท้าทายที่ต้องรับมือกันไป

สำหรับดัชนีธุรกิจใหม่ แม้จะลดลงจากเดือนสิงหาคม แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งและขยายตัวเร็วที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2567 เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก

อย่างไรก็ตาม ดัชนีอุปสงค์จากต่างประเทศสำหรับภาคบริการของอินเดียอ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม บริษัทต่างๆ ระบุว่าการแข่งขันด้านราคากับผู้ให้บริการต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งยอดขาย งานนี้ต้องทำการบ้านกันหนักหน่อยแล้ว!

ถึงกระนั้น ความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับปีหน้ากลับปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน บริษัทต่างๆ ให้เหตุผลว่าตนมีมุมมองเชิงบวกจากแผนการจัดแคมเปญโฆษณา การคาดการณ์ว่าประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ราคาที่แข่งขันได้ และแนวโน้มการลดหย่อนภาษี มองไปข้างหน้าก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้ลุ้นกันอยู่

แต่ก็มีเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ การจ้างงานยังขยายตัวในระดับที่ไม่สูงนัก โดยมีบริษัทไม่ถึง 5% ที่ตอบแบบสำรวจว่ามีการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจได้ในระยะยาว

ทั้งแรงกดดันด้านต้นทุนและการขึ้นราคาบริการต่างปรับลดลงจากเดือนสิงหาคม การผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคอยู่ในอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคโดยตรงครับ

อัตราเงินเฟ้อของอินเดียในเดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.61% ในเดือนกรกฎาคม ยุติแนวโน้มขาลงที่ดำเนินมาติดต่อกัน 9 เดือน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2-6% ของธนาคารกลางอินเดีย ซึ่งในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ธนาคารกลางได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (repo rate) ไว้ที่ 5.50%

ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ลดลงมาอยู่ที่ 61.0 ในเดือนกันยายน จาก 63.2 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน แต่ยังสะท้อนถึงการขยายตัวโดยรวมที่แข็งแกร่งอยู่

ตัวเลขในดัชนี PMI รวมชี้ให้เห็นว่าทั้งสองภาคส่วนเติบโตช้าลง โดยมีคำสั่งซื้อใหม่และผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงในเดือนกันยายน ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่ว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย.

PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย.

สรุปง่ายๆ ก็คือ PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. จริง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจของอินเดียก็ยังอยู่ในช่วงขยายตัว เพียงแต่ต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ทำไม PMI ภาคบริการอินเดียถึงโตช้าลง?

สาเหตุหลักๆ ก็มาจากอุปสงค์ที่แผ่วลง โดยเฉพาะอุปสงค์จากต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันภายในประเทศและมาตรการควบคุมต้นทุนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเติบโตช้าลง

ถึงแม้ว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังจะแย่ลงนะครับ เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณว่าเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมองหาโอกาสในการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ ที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต

สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนและวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่าลืมติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆ นะครับ

ที่มา – PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. หลังดีมานด์แผ่ว

PMI อินเดีย: ภาคผลิตแผ่ว ราคาพุ่งรอบ 12 ปี

ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง สวนทางกับราคาที่พุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 12 ปี สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงมีความผันผวน

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ซึ่งรวบรวมข้อมูลโดย S&P Global ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.7 ในเดือนกันยายน จากเดิม 59.3 ในเดือนสิงหาคม ตัวเลขนี้ต่ำกว่าการประเมินเบื้องต้นที่ 58.5 และถือเป็นระดับที่อ่อนตัวที่สุดในรอบ 4 เดือน แม้ว่าดัชนีจะยังคงสูงกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัว แต่การชะลอตัวลงนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง

โดยทั่วไปแล้ว ดัชนี PMI ที่สูงกว่า 50 แสดงถึงกิจกรรมทางธุรกิจที่อยู่ในช่วงขยายตัว ในขณะที่ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว การที่ PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง จึงเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การขยายตัวชะลอลงมาจากการที่ยอดสั่งซื้อใหม่และผลผลิตต่างก็อ่อนกำลังลง ผู้ตอบแบบสำรวจชี้ว่าแรงกดดันจากการแข่งขันที่เข้มข้นเป็นปัจจัยลบที่สำคัญ แม้ว่ายอดสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศจะกลับมาเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าก็ตาม

นักเศรษฐศาสตร์จาก HSBC ให้ความเห็นว่า ยอดสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าเดิมในเดือนกันยายน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์จากนอกสหรัฐฯ กำลังเข้ามาช่วยชดเชยอุปสงค์ที่ลดลงจากสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากมาตรการทางภาษีต่างๆ

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานก็ชะลอตัวลงสู่ระดับที่อ่อนแอที่สุดในรอบปี โดยมีบริษัทเพียง 2% เท่านั้นที่ขยายกำลังคนของตน สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังในการลงทุนและขยายธุรกิจ

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อของราคาปัจจัยการผลิตได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับขึ้นราคาขายในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 12 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันต่อผู้บริโภคและอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในอนาคต

PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง นั้นอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดหุ้น ซึ่งนักลงทุนอาจมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ทำไม PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลงจึงสำคัญ?

ดัชนี PMI ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่ทันต่อเหตุการณ์เกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงในดัชนีนี้สามารถช่วยให้นักวิเคราะห์และผู้กำหนดนโยบายเข้าใจถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจและทำการตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

  • การชะลอตัวของยอดสั่งซื้อใหม่: แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ที่ลดลงทั้งในและต่างประเทศ
  • การจ้างงานที่ชะลอตัว: บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน
  • อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น: สร้างแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตและราคาขาย

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะยังคงเติบโต แต่สัญญาณของการชะลอตัวในภาคการผลิตและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด การที่ PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และนักลงทุนและผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในการปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาจเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้

ที่มา – PMI อินเดียภาคผลิตขยายตัวแผ่วลง สวนทางราคาขึ้นแตะไฮในรอบเกือบ 12 ปี

X เตรียมอุทธรณ์ ปมตำรวจสั่งลบเนื้อหา

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเอ็กซ์ประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลอินเดีย ที่เปิดทางให้ตำรวจกว่า 2 ล้านนายทั่วประเทศ มีอำนาจสั่งลบเนื้อหาบนโลกออนไลน์ได้ตามอำเภอใจ ผ่านพอร์ทัลที่ชื่อว่า “สหโยค” (Sahyog) ข่าวดังกล่าวทำให้เกิดคำถามตามมามากมายเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ

X เตรียมอุทธรณ์คำสั่งศาลอินเดีย ปมระบบพอร์ทัลที่ให้อำนาจตำรวจสั่งลบเนื้อหา

“เราจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งนี้เพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก” เอ็กซ์แถลงผ่านแพลตฟอร์มของตนเอง นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งแรก หลังจากสัปดาห์ที่แล้วศาลสูงแห่งรัฐกรณาฏกะได้ปัดตกคำร้องของบริษัทฯ ที่ต้องการให้ล้มเลิกกลไกการควบคุมเนื้อหาของรัฐบาลอินเดีย การตัดสินใจนี้ทำให้สถานการณ์ระหว่างเอ็กซ์และรัฐบาลอินเดียตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

เอ็กซ์ชี้ว่าระบบสหโยคให้อำนาจเจ้าหน้าที่สั่งลบเนื้อหาได้เพียงเพราะเนื้อหานั้นถูกกล่าวหาว่า “ผิดกฎหมาย” โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากศาลหรือกระบวนการยุติธรรมใด ๆ อีกทั้งยังขู่ว่าแพลตฟอร์มจะมีความผิดทางอาญาหากไม่ปฏิบัติตาม

ที่ผ่านมา เอ็กซ์และรัฐบาลอินเดียมีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด โดยเอ็กซ์มองว่ากลไกของรัฐบาลคือการเซนเซอร์ ขณะที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยืนยันว่าระบบใหม่นี้จำเป็นต่อการจัดการเนื้อหาผิดกฎหมายที่แพร่หลาย และสร้างความรับผิดชอบบนโลกออนไลน์

ทำไม X เตรียมอุทธรณ์คำสั่งศาลอินเดียจึงสำคัญ?

การที่ X เตรียมอุทธรณ์คำสั่งศาลอินเดีย ปมระบบพอร์ทัลที่ให้อำนาจตำรวจสั่งลบเนื้อหา สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลในเรื่องของการควบคุมเนื้อหาออนไลน์ ในขณะที่รัฐบาลต้องการควบคุมเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือผิดกฎหมาย บริษัทเทคโนโลยีก็กังวลว่าการควบคุมที่เข้มงวดเกินไปจะกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก

ด้านอีลอน มัสก์ เจ้าของเอ็กซ์ ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นผู้ที่ยึดมั่นในเสรีภาพการพูดแบบสุดขั้ว เคยมีปัญหากับหน่วยงานรัฐในหลายประเทศเรื่องการลบเนื้อหามาแล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลโมดีได้ยกระดับการควบคุมอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปี 2566 โดยเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ที่สามารถสั่งลบเนื้อหา และเปิดตัวเว็บไซต์เมื่อเดือนต.ค. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งคำสั่งตรงถึงบริษัทเทคโนโลยีได้เลย

ประเด็นที่ X เตรียมอุทธรณ์คำสั่งศาลอินเดีย ปมระบบพอร์ทัลที่ให้อำนาจตำรวจสั่งลบเนื้อหา นี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการควบคุมเนื้อหาออนไลน์ในอนาคต

การต่อสู้ระหว่าง X และรัฐบาลอินเดียเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความท้าทายที่บริษัทเทคโนโลยีกำลังเผชิญอยู่ในโลกปัจจุบัน การสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพในการแสดงออกและความรับผิดชอบบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและไม่มีทางออกที่ง่ายดาย

ในท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจครั้งนี้อาจกำหนดทิศทางของเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์ในอินเดียและอาจส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าผลลัพธ์ของการอุทธรณ์นี้จะเป็นอย่างไร และจะส่งผลต่ออนาคตของอินเทอร์เน็ตอย่างไรบ้าง

ที่มา – X เตรียมอุทธรณ์คำสั่งศาลอินเดีย ปมระบบพอร์ทัลที่ให้อำนาจตำรวจสั่งลบเนื้อหา

ยอดดับเหตุโกลาหลอินเดียพุ่ง! แตะ 38 ราย

สื่อท้องถิ่นอินเดียรายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแตกตื่นโกลาหลที่เกิดระหว่างงานชุมนุมทางการเมืองในภาคใต้ของอินเดียเมื่อวันเสาร์ (27 ก.ย.) เพิ่มขึ้นเป็น 38 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ข่าวเศร้าสลดนี้ได้สร้างความตกตะลึงและความเสียใจไปทั่วประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นที่รัฐทมิฬนาฑูทางตอนใต้ของอินเดียระหว่างงานชุมนุมที่จัดโดยวิชัย นักแสดงภาพยนตร์ชื่อดัง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองทมิฬนาฑู เวตรี คาซากัม (Tamilaga Vettri Kazhagam) ของเขาเอง เหตุการณ์ยอดดับเหตุโกลาหลครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากที่มารวมตัวกันเพื่อฟังปราศรัยและให้กำลังใจนักแสดงคนโปรด

วี เซนธิล บาลาจี ผู้นำอาวุโสของพรรคดราวิดา มุนเนตรา คาซาคัม พรรครัฐบาลท้องถิ่นรัฐทมิฬนาฑู เปิดเผยว่ามีผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลเอกชน 46 ราย และโรงพยาบาลรัฐ 12 ราย เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ยอดดับเหตุโกลาหลในครั้งนี้

ทั้งนี้ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้แสดงความเสียใจกับการสูญเสียชีวิตและขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวเหยื่อผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้ รวมถึงขอให้ผู้บาดเจ็บทุกคนหายดีโดยเร็ว รัฐบาลอินเดียได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

ยอดดับเหตุโกลาหลกลางงานชุมนุมการเมืองในอินเดียเพิ่มแตะ 38 ราย

เหตุการณ์ยอดดับเหตุโกลาหลครั้งนี้นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมทางการเมืองในอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยและความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินในงานที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก

สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของเหตุโกลาหล?

  • ความหนาแน่นของฝูงชน: มีผู้คนจำนวนมากเกินกว่าที่สถานที่จัดงานจะรองรับได้ ทำให้เกิดความแออัดและยากต่อการเคลื่อนไหว
  • การจัดการที่ไม่ดี: การวางแผนและการจัดการงานอาจมีข้อบกพร่อง ทำให้ไม่สามารถควบคุมฝูงชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข่าวลือหรือความตื่นตระหนก: ข่าวลือหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ฝูงชนเกิดความตื่นตระหนกอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดการแตกตื่นและเหยียบกัน
  • สภาพอากาศ: อากาศร้อนจัดหรือฝนตกหนักอาจทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายและเกิดความเครียด ซึ่งอาจนำไปสู่ความวุ่นวายได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการวางแผนและการจัดการงานชุมนุมขนาดใหญ่อย่างรอบคอบ รัฐบาลและผู้จัดงานต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมเป็นอันดับแรก และต้องมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่รัดกุม

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุยอดดับเหตุโกลาหลครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและขอเป็นกำลังใจให้ผู้บาดเจ็บหายดีโดยเร็ว หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและจัดการความเสี่ยงในงานชุมนุมขนาดใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีก

ที่มา – ยอดดับเหตุโกลาหลกลางงานชุมนุมการเมืองในอินเดียเพิ่มแตะ 38 ราย

“ทรัมป์” ซัดจีน-อินเดีย หนุนรัสเซีย!

“ทรัมป์” ซัดจีน-อินเดีย กลางเวที UN ชี้เป็นท่อน้ำเลี้ยงรัสเซีย เหตุยังซื้อน้ำมันหนุนสงคราม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เมื่อวันอังคาร (23 ก.ย.) ที่ผ่านมา โดยมุ่งโจมตีจีนและอินเดียว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของสงครามรัสเซียในยูเครน เนื่องจากยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งปรับท่าทีทางการทูตให้อ่อนลงกับสองประเทศเอเชียรายนี้

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นแม้สหรัฐฯ พยายามรื้อฟื้นการเจรจาการค้ากับจีนและอินเดีย ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังตำหนิชาติพันธมิตรนาโตที่ยังพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียสูงเกินไป แต่กลับเลือกใช้ถ้อยคำค่อนข้างระวังเมื่อต้องโยงความรับผิดชอบตรงไปยังรัสเซีย

สุนทรพจน์ของทรัมป์กินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเกินกว่ากำหนด 15 นาทีที่วางไว้ต่อผู้นำหนึ่งคน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นการยกผลงานในรอบ 8 เดือนแรกของการกลับเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มากกว่าการเน้นย้ำความสำคัญของพหุภาคีนิยมในการแก้ปัญหาโลก ซึ่งเป็นวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังแก้ต่างให้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราที่สูง โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของสหรัฐฯ พร้อมระบุว่า มาตรการเหล่านี้ช่วยให้สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าครั้งประวัติศาสตร์กับหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ใช้เวที UN โจมตีนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลดทอนความสำคัญของฉันทามติทางวิทยาศาสตร์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิพากษ์วิจารณ์ UN ว่า “มีแต่ถ้อยคำกลวงเปล่า” ที่ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้จริง

ทรัมป์ทิ้งท้ายว่า ไม่เพียงแต่ UN ไม่ได้แก้ปัญหาที่ควรแก้ แต่บ่อยครั้งยังสร้างปัญหาใหม่ให้เราต้องจัดการ พร้อมยกปัญหาการอพยพผิดกฎหมายที่ไร้การควบคุมว่าเป็นวิกฤตการเมืองอันดับหนึ่งของยุคที่กำลังทำลายประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ทำไมทรัมป์ถึงพุ่งเป้าไปที่จีนและอินเดียเรื่องรัสเซีย?

การที่ทรัมป์ออกมาซัดจีนและอินเดียเรื่องการสนับสนุนรัสเซีย กลางเวที UN นั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของสหรัฐฯ ที่สองประเทศนี้ยังคงมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกก็ตาม การที่จีนและอินเดียยังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้รัสเซียมีรายได้ไปสนับสนุนสงครามในยูเครน ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของสหรัฐฯ และพันธมิตร

แม้ว่าสหรัฐฯ จะพยายามรื้อฟื้นการเจรจาทางการค้ากับจีนและอินเดีย แต่การที่ทรัมป์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง Indicates that the US is not afraid to use its influenceเพื่อกดดันให้ทั้งสองประเทศเปลี่ยนท่าทีต่อรัสเซีย การออกมากล่าวหาเช่นนี้ อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคตได้

นอกจากนี้ การที่ทรัมป์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของสหรัฐฯ ผ่านมาตรการทางภาษี ยังเป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง

โดยรวมแล้ว ถ้อยแถลงของทรัมป์ในการประชุม UN สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งที่ซับซ้อนในเวทีโลก และความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะรักษาอิทธิพลของตนเองในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การที่ “ทรัมป์” ซัดจีน-อินเดีย กลางเวที UN ชี้เป็นท่อน้ำเลี้ยงรัสเซีย เหตุยังซื้อน้ำมันหนุนสงคราม นั้น เป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด

อนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผลกระทบต่อสงครามในยูเครนจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ที่มา – “ทรัมป์” ซัดจีน-อินเดีย กลางเวที UN ชี้เป็นท่อน้ำเลี้ยงรัสเซีย เหตุยังซื้อน้ำมันหนุนสงคราม

อุตฯไอทีอินเดียสะเทือน! สหรัฐฯ ขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B

วงการไอทีอินเดียกำลังสั่นสะเทือน! เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าที่บริษัทไอทีอินเดียใช้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปทำงานในอเมริกา การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความกังวลอย่างมากให้กับบริษัทซอฟต์แวร์และบริการแห่งชาติของอินเดีย (Nasscom) ที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมไอทีของประเทศ

อุตฯไอทีอินเดียสะเทือน หลังสหรัฐฯขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B

Nasscom แสดงความกังวลอย่างยิ่งว่าการที่สหรัฐฯ ขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ไปอยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีจากอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ต้องพึ่งพาการส่งผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีไปทำงานในสหรัฐอเมริกา

การประกาศใช้นโยบายนี้อย่างกะทันหันสร้างความตกใจและทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการวางแผนธุรกิจของหลายบริษัท Nasscom ชี้ให้เห็นว่ามาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่อชาวอินเดียจำนวนมาก และอาจขัดขวางการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีอินเดียที่กำลังดำเนินโครงการสำคัญๆ ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B นี้อาจส่งผลเสียต่อระบบนิเวศนวัตกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจกระทบตลาดงานทั่วโลกในระยะยาว

ผลกระทบจากการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ต่ออุตสาหกรรมไอทีอินเดีย

กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียเองก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านมนุษยธรรมที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการนี้ โดยระบุว่าอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัวจำนวนมาก รัฐบาลอินเดียหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะพิจารณาผลกระทบเหล่านี้และดำเนินการแก้ไขอย่างเหมาะสม

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในประกาศปรับขึ้นค่าธรรมเนียมที่บริษัทต่างๆ ต้องจ่ายเพื่อสนับสนุนผู้สมัครวีซ่า H-1B จากเดิมหลักพันดอลลาร์ เป็น 100,000 ดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม โฆษกทำเนียบขาว แคโรไลน์ เลวิตต์ ได้ออกมาให้ความกระจ่างว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B นี้ จะไม่มีผลบังคับใช้กับผู้ถือวีซ่าเดิมที่เดินทางกลับเข้าประเทศ และจะเรียกเก็บเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เลวิตต์ยังระบุเพิ่มเติมว่าผู้ถือวีซ่า H-1B ที่อยู่นอกประเทศจะไม่ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ในการกลับเข้าสู่สหรัฐฯ และผู้ถือวีซ่า H-1B สามารถเดินทางเข้า-ออกสหรัฐฯ ได้ตามปกติ

ค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะมีผลกับการขอวีซ่า H-1B รอบใหม่เท่านั้น ไม่รวมผู้ถือวีซ่าปัจจุบันหรือผู้ต่ออายุวีซ่า นอกจากนี้ เลวิตต์ยังยืนยันว่าค่าธรรมเนียมนี้ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมรายปี แต่เป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเพียงครั้งเดียวเมื่อยื่นขอวีซ่า

ถึงแม้ว่าการชี้แจงของทำเนียบขาวจะช่วยลดความกังวลลงได้บ้าง แต่การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อุตฯไอทีอินเดียสะเทือนอย่างแน่นอน และบริษัทต่างๆ อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายวีซ่าในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานทักษะสูงจากทั่วโลก

ที่มา – อุตฯไอทีอินเดียสะเทือน หลังสหรัฐฯขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B

“ปูติน” ต่อสาย “โมดี” ถกยูเครน & ความสัมพันธ์

“ปูติน” ต่อสาย “โมดี” หารือความสัมพันธ์ทวิภาคี-สถานการณ์ยูเครน

เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียได้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยประเด็นหลักในการหารือคือความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน

ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัสเซียและอินเดียที่มีมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ โดยเน้นย้ำถึงพื้นฐานที่สำคัญคือการสนับสนุนซึ่งกันและกันของทั้งสองชาติ นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังได้แสดงความพึงพอใจต่อความสำเร็จในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง

ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียได้แถลงเพิ่มเติมว่า “ผู้นำทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนที่ประธานาธิบดีรัสเซียจะเดินทางเยือนอินเดียในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับยูเครน” การเยือนอินเดียของประธานาธิบดีปูตินในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ภายหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ นายกรัฐมนตรีโมดีได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) โดยระบุว่า อินเดียมีความมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายความขัดแย้งในยูเครนอย่างสันติ แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการของอินเดียที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและการเจรจา

การหารือระหว่าง “ปูติน” ต่อสาย “โมดี” ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอินเดียในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนหลายประการ ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและระดับโลก

สถานการณ์ยูเครนยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในการสนทนาครั้งนี้ แม้ว่าอินเดียจะไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน แต่ก็แสดงเจตจำนงที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สร้างสรรค์ของอินเดียในเวทีระหว่างประเทศ

โดยสรุปแล้ว การสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง “ปูติน” ต่อสาย “โมดี” เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างรัสเซียและอินเดีย รวมถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนอย่างสันติ การหารือในครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณที่ดีต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีและความพยายามในการสร้างสันติภาพในภูมิภาค

การที่ผู้นำทั้งสองให้ความสำคัญกับการหารือในประเด็นต่างๆ อย่างเปิดอกและสร้างสรรค์ ถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต ความเข้าใจซึ่งกันและกันและความร่วมมือที่ใกล้ชิด จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในอนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอินเดียมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทิศทางที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และความมั่นคง การแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างสองประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

การที่อินเดียมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ในเวทีระหว่างประเทศ จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของอินเดียในฐานะผู้นำที่มีความรับผิดชอบในภูมิภาคเอเชีย และมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในระดับโลก

ที่มา – “ปูติน” ต่อสาย “โมดี” หารือความสัมพันธ์ทวิภาคี-สถานการณ์ยูเครน

สหรัฐฯ จี้ G7 รีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย

สหรัฐฯ เดินเกมต่อ! จี้กลุ่ม G7 ขึ้นภาษีจีนและอินเดีย เหตุยังซื้อน้ำมันรัสเซียต่อเนื่อง ประเด็นร้อนที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในเวทีการค้าระหว่างประเทศ สหรัฐฯ เตรียมเรียกร้องให้ญี่ปุ่นและชาติสมาชิก G7 พิจารณามาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและอินเดียเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโต้ที่ทั้งสองประเทศยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ ในการกดดันให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครนโดยเร็ว

โฆษกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า การที่จีนและอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เท่ากับเป็นการสนับสนุนทางการเงินให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ในการทำสงครามในยูเครน และยืดเยื้อความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์

“กลุ่ม G7 จำเป็นต้องแสดงจุดยืนร่วมกับสหรัฐฯ” โฆษกกล่าว และเสริมว่ารัฐมนตรีคลังของประเทศสมาชิก G7 จะมีการหารือออนไลน์ในวันนี้ (12 ก.ย.) เพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องจากสหรัฐฯ ในประเด็นการรีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย

สหรัฐฯ จี้ G7 รีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพยุโรป (EU) ให้ร่วมมือกันเก็บภาษีศุลกากรจากจีนและอินเดียในอัตราสูงสุดถึง 100% เพื่อเร่งให้สงครามในยูเครนยุติลง การขยายข้อเรียกร้องไปยังญี่ปุ่น อังกฤษ และแคนาดา ซึ่งเป็นสมาชิก G7 ที่ไม่ได้อยู่ใน EU จึงเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม การที่ญี่ปุ่นจะปรับขึ้นภาษีศุลกากรในอัตราสูงต่อจีนและอินเดียยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับทั้งสองประเทศ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย เพิ่งเดินทางเยือนกรุงโตเกียวเมื่อปลายเดือนสิงหาคม เพื่อหารือกับนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ทำไมสหรัฐฯ ถึงต้องการให้ G7 รีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย?

เหตุผลหลักคือ สหรัฐฯ มองว่าการที่จีนและอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียเป็นการขัดขวางความพยายามในการตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเงินของรัสเซีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำสงครามในยูเครน การเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนและอินเดีย จะทำให้ทั้งสองประเทศต้องพิจารณาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่น และลดการพึ่งพาน้ำมันจากรัสเซีย

เมื่อเดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากอินเดีย เนื่องจากยังคงซื้อน้ำมันรัสเซีย ทำให้ภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียสูงถึง 50% อินเดียวิพากษ์วิจารณ์มาตรการดังกล่าวว่าไม่ยุติธรรม เนื่องจากสหรัฐฯ และ EU เองก็ยังมีการค้ากับรัสเซียเช่นกัน

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความท้าทายในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ การที่สหรัฐฯ พยายามผลักดันให้กลุ่ม G7 ร่วมกันรีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการกดดันรัสเซีย แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนและอินเดียได้เช่นกัน

ประเด็นนี้ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการหารือของรัฐมนตรีคลัง G7 จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือไม่ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร การที่สหรัฐฯ เดินหน้าผลักดันแนวทางนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองและการทหาร

สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่าทีของประเทศสมาชิก G7 อื่นๆ จะเป็นอย่างไร และจะมีประเทศใดที่พร้อมจะเข้าร่วมกับสหรัฐฯ ในการรีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย หรือไม่ การตัดสินใจของแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน รวมถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนและอินเดีย ความมั่นคงด้านพลังงาน และความเชื่อมั่นในแนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ

แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ยูเครน จีน อินเดีย และประเทศสมาชิก G7 เอง ดังนั้นการติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา – สหรัฐฯ เดินเกมต่อ จี้ G7 รีดภาษีจีน-อินเดีย ฐานไม่หยุดซื้อน้ำมันรัสเซีย

อินเดียจับมือคะฉิ่น เล็งนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา

อินเดียกำลังมองหาแหล่งแร่หายากใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ ล่าสุดมีรายงานว่าอินเดียได้จับมือกับกลุ่มกบฏคะฉิ่น (Kachin Independence Army – KIA) ในเมียนมา เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการนำเข้าแร่หายากจากพื้นที่ที่ KIA ควบคุมอยู่ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่จีนควบคุมไว้อย่างเข้มงวด

อินเดียจับมือกลุ่มกบฏคะฉิ่น เล็งนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา

แหล่งข่าวจากกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) เปิดเผยว่า ขณะนี้ KIA ได้เริ่มเก็บตัวอย่างแร่หายากเพื่อส่งให้ทางการอินเดียทำการวิเคราะห์และประเมินปริมาณแร่ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ตกลงที่จะพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งออกแร่หายากในเชิงพาณิชย์ให้อินเดียอีกด้วย

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมออนไลน์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงเหมืองแร่ของอินเดียเป็นผู้ยื่นคำขอจัดขึ้น การประชุมดังกล่าวถือเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษ เนื่องจากรัฐบาลอินเดียโดยปกติแล้วจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มนอกภาครัฐ โดยมีตัวแทนจาก IREL ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ของรัฐบาล, Midwest Advanced Materials ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน และบริษัทอื่น ๆ เข้าร่วม

เป็นที่น่าสังเกตว่า Midwest Advanced Materials ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอินเดียเมื่อปีที่แล้ว เพื่อทำการผลิตแม่เหล็กแร่หายากในเชิงพาณิชย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอินเดียในการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากภายในประเทศ

ก่อนหน้านี้ กระทรวงเหมืองแร่ของอินเดียได้มอบหมายให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนสำรวจความเป็นไปได้ในการเก็บและขนส่งตัวอย่างแร่จากเหมืองในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ KIA โดยอินเดียมีแผนที่จะนำตัวอย่างแร่หายากที่ได้ไปทดสอบในห้องปฏิบัติการภายในประเทศ เพื่อประเมินว่ามีปริมาณแร่หายากเพียงพอต่อการนำไปใช้ในการผลิตแม่เหล็กสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูงหรือไม่

ทำไมอินเดียถึงมองหาแร่หายากจากเมียนมา?

การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอินเดียในการแสวงหาทางเลือกใหม่ ๆ ท่ามกลางข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยจีน ซึ่งปัจจุบันจีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก การที่อินเดียพยายามหาแหล่งแร่หายากจากที่อื่น จึงเป็นการลดการพึ่งพาจีนและเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนเอง

การอินเดียจับมือกลุ่มกบฏคะฉิ่น เล็งนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรของอินเดีย แร่หายากเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด การเข้าถึงแหล่งแร่เหล่านี้จะช่วยให้อินเดียสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การอินเดียจับมือกลุ่มกบฏคะฉิ่น เล็งนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา ยังมีความสำคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ซึ่งอาจนำไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวก็มีความเสี่ยงและความท้าทายอยู่บ้าง เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเมียนมา และความซับซ้อนในการขนส่งแร่จากพื้นที่ที่ KIA ควบคุมอยู่ ทางอินเดียจะต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบเพื่อให้การนำเข้าแร่หายากจากเมียนมาประสบความสำเร็จ

โดยสรุปแล้ว การอินเดียจับมือกลุ่มกบฏคะฉิ่น เล็งนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา เป็นความพยายามที่น่าสนใจในการ diversification แหล่งทรัพยากรแร่หายากของอินเดีย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างอินเดียและเมียนมาในอนาคต

ที่มา – อินเดียจับมือกลุ่มกบฏคะฉิ่น เล็งนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา รับมือจีนคุมเข้มส่งออก

“ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100%

“ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100% อ้างยังซื้อน้ำมันรัสเซียหนุนสงคราม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) เก็บภาษีศุลกากรจากอินเดียและจีนในอัตราสูงสุดถึง 100% เพื่อตอบโต้ที่ทั้งสองประเทศยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ข้อเรียกร้อง “ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100% นี้สร้างความตกตะลึงไปทั่ววงการการค้าโลก

สื่อหลายสำนักรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ทรัมป์เสนอเรื่องนี้ในระหว่างการหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และ EU ที่กรุงวอชิงตัน พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการในแนวทางเดียวกับยุโรป หาก EU ไม่ดำเนินการตามที่ “ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100%

ข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์มีขึ้นหลังเส้นตายที่เขากำหนดให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ต้องหารือกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ผ่านไปโดยไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่เมื่อเดือนก่อน ทรัมป์เพิ่งพบกับปูตินที่รัฐอะแลสกา

ปัจจุบัน สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากอินเดีย เนื่องจากยังคงซื้อน้ำมันรัสเซีย และเมื่อรวมกับภาษีที่เคยเก็บอยู่แล้ว 25% ส่งผลให้ภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียสูงถึง 50% ซึ่งอินเดียออกมาวิจารณ์ว่ามาตรการดังกล่าวไม่ยุติธรรมและไม่สมเหตุสมผล เพราะทั้งสหรัฐฯ และ EU เองก็ยังคงมีการค้ากับรัสเซียเช่นกัน

สำหรับจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด สหรัฐฯ ยังไม่ได้บังคับใช้ภาษีรอบสอง หลังจากบรรลุข้อตกลงกับปักกิ่งเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนลงเหลือ 30%

ข้อมูลคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุว่า มูลค่าการค้าสินค้าระหว่าง EU กับรัสเซียปี 2567 อยู่ที่กว่า 6.75 หมื่นล้านยูโร (7.81 หมื่นล้านดอลลาร์) ขณะที่การค้าบริการปี 2566 อยู่ที่ราว 1.72 หมื่นล้านยูโร ส่วนข้อมูลจากสถานทูตอินเดียประจำกรุงมอสโกเผยว่า มูลค่าการค้าระหว่างอินเดียกับรัสเซียในรอบปีงบประมาณที่สิ้นสุด ณ เดือนมี.ค. 2568 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.87 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 5.8 เท่าจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดซึ่งอยู่ที่เพียง 1.01 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังโพสต์ผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) เมื่อคืนวันอังคาร (9 ก.ย.) ยืนยันว่า สหรัฐฯ และอินเดียได้กลับมาเปิดการเจรจาการค้าอีกครั้ง พร้อมยกย่องนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่าเป็น “เพื่อนที่ดีมาก” และมั่นใจว่าการเจรจาจะบรรลุผลสำเร็จโดยไม่ติดขัด

“ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100%

สถานการณ์นี้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดพลังงานโลกอย่างมาก หาก EU ทำตามข้อเรียกร้องของ “ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100% จริง อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและสินค้าอื่นๆ ทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การตัดสินใจครั้งนี้ของ EU จะเป็นตัวชี้วัดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการค้าโลกในอนาคต

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ “ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100%:

  • ราคาน้ำมันดิบโลกผันผวน
  • ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ, EU, อินเดีย, และจีนตึงเครียด
  • สินค้าจากอินเดียและจีนมีราคาสูงขึ้นในยุโรป
  • การค้าโลกชะลอตัว

การตัดสินใจของสหภาพยุโรป (EU) ในเรื่องนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์

ที่มา – “ทรัมป์” บีบ EU รีดภาษีอินเดีย-จีน 100% อ้างยังซื้อน้ำมันรัสเซียหนุนสงคราม