อินวิเดีย

Foxconn เตรียมใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI

Foxconn เตรียมใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ป้อน Nvidia

ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) หรือ หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี (Hon Hai Precision Industry) บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในโลกจากไต้หวัน เตรียมนำหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์มาใช้ที่โรงงานในเมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อดำเนินการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ให้กับอินวิเดีย (Nvidia) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต

“โรงงานแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในโรงงานแรก ๆ ที่นำหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล NVIDIA Isaac GR00T N มาใช้งานในสายการผลิต โดยฟ็อกซ์คอนน์และอินวิเดียมีเป้าหมายที่จะสร้างโรงงาน AI อัจฉริยะที่เป็นมาตรฐานระดับโลก” ฟ็อกซ์คอนน์ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ระหว่างการประชุมนักพัฒนาของอินวิเดีย ณ กรุงวอชิงตันดีซี

นอกจากนี้ ฟ็อกซ์คอนน์เน้นย้ำว่าจะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ในรัฐเท็กซัส วิสคอนซิน และแคลิฟอร์เนีย เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขยายกำลังการผลิตนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฟ็อกซ์คอนน์ในการเป็นผู้นำในด้านการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI

ขณะเดียวกัน ยัง หลิว ประธานฟ็อกซ์คอนน์ ระบุว่า “ทีมงานของเรากำลังนำโซลูชันดาต้าเซ็นเตอร์ AI ที่ล้ำหน้าที่สุดมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าชั้นนำของเราคงความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน AI”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าฟ็อกซ์คอนน์และอินวิเดียกำลังเจรจากันเรื่องการนำหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์มาใช้ที่โรงงานในเมืองฮิวสตัน โดยตั้งเป้าว่าจะดำเนินการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569

ทำไม Foxconn ถึงเลือกใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI?

การตัดสินใจของ Foxconn ในการใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI มีเหตุผลหลายประการ:

  • ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น: หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตได้
  • ความแม่นยำที่สูงขึ้น: หุ่นยนต์สามารถทำงานที่ซ้ำซากและต้องการความแม่นยำสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • ลดต้นทุน: ในระยะยาว การใช้หุ่นยนต์สามารถลดต้นทุนด้านแรงงานและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้
  • ความปลอดภัย: หุ่นยนต์สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายหรือไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ได้

นอกจากนี้ การใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ยังช่วยให้ Foxconn สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเซิร์ฟเวอร์ AI ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

การนำหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์มาใช้ในการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Foxconn เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีหุ่นยนต์กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตมากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าจะมีการนำหุ่นยนต์มาใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคต

คุณคิดว่าการใช้หุ่นยนต์ในการผลิตจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างไร? มาร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้เลย!

ที่มา – Foxconn เตรียมใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ป้อน Nvidia

วงในเผย! สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia ให้ UAE

วงในกระซิบ สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE แล้ว! สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า สหรัฐอเมริกาได้อนุมัติการส่งออกชิปจากบริษัท Nvidia ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นที่เรียบร้อย

แหล่งข่าววงในเผยว่า สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง สังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้มอบใบอนุญาตส่งออกให้แก่ Nvidia ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงทวิภาคีด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำข้อตกลงกันไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างทั้งสองประเทศ

ข้อตกลงนี้เองที่จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์หลายแห่งใน UAE ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการพัฒนาโมเดล AI ต่างๆ นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของ UAE เลยทีเดียว

รายงานยังระบุอีกว่า การอนุมัติดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ UAE ได้ยื่นข้อเสนอแผนการที่เป็นรูปธรรมในการลงทุนในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

โฆษกของรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า “กระทรวงพาณิชย์ยึดมั่นในข้อตกลงความร่วมมือด้าน AI ที่จะพลิกโฉมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับ UAE และมองเห็นโอกาสในการสร้างประโยชน์ร่วมกัน”

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม มีรายงานว่าสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับ UAE ในการอนุญาตให้ UAE นำเข้าชิป AI ที่ล้ำสมัยที่สุดจาก Nvidia จำนวน 500,000 ชิ้นต่อปี โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป และข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างน้อยถึงปี 2570 พร้อมทั้งมีโอกาสที่จะขยายระยะเวลาไปจนถึงปี 2573 อีกด้วย

การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้กับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศในอ่าวอาหรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า ซาอุดีอาระเบียให้คำมั่นสัญญาทางการค้ารวมมูลค่าถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงข้อตกลงจัดซื้อชิปจำนวนมหาศาลจาก Nvidia, Advanced Micro Devices (AMD) และ Qualcomm อีกด้วย

วงในเผย สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE

การอนุมัติ วงในเผย สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE ในครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ UAE ในการเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค

ทำไมข่าววงในเผย สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE ถึงสำคัญ?

เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงแค่การส่งออกสินค้า แต่เป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ การที่สหรัฐฯ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia มูลค่ามหาศาลนี้ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ มองเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของตลาด AI ใน UAE และต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการเติบโตนั้น

  • เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
  • ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี AI ใน UAE
  • สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสหรัฐฯ และ UAE

การที่ วงในเผย สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE นับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีของโลก และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้น

การอนุมัติ วงในเผย สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE ครั้งนี้ อาจนำไปสู่การลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดชิป AI ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้นในอนาคต

ที่มา – วงในเผย สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป Nvidia มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ UAE

จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามชิป AI

จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามสั่งซื้อชิป AI จากอินวิเดีย

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหยุดซื้อชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผลิตโดยบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ของสหรัฐฯ เพื่อเร่งเสริมสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้จีนต้องเร่ง จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามสั่งซื้อชิป AI จากอินวิเดีย อย่างจริงจังเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

FT รายงานว่า สำนักงานไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) ได้สั่งให้บริษัทต่าง ๆ อาทิ ไบต์แดนซ์ (ByteDance) และอาลีบาบา (Alibaba) หยุดการทดสอบและสั่งซื้อชิปโมเดล RTX Pro 6000D ซึ่งออกแบบมาเพื่อจีนโดยเฉพาะและเพิ่งเปิดตัวเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยหลายบริษัทมีแผนจะสั่งซื้อชิปหลายหมื่นชิ้นและได้เริ่มทดสอบกับซัพพลายเออร์ของอินวิเดียแล้ว ก่อนได้รับคำสั่งให้หยุดดำเนินการดังกล่าว

*เลิกซื้อชิปที่ผลิตโดยสหรัฐฯ – สร้างห่วงโซ่อุปทานพึ่งพาตนเอง

คำสั่งห้ามนี้ถือว่าเข้มงวดกว่าคำแนะนำก่อนหน้านี้ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ชิปรุ่น H20 ของอินวิเดียที่ออกแบบมาสำหรับตลาดจีนเช่นกัน โดยในขณะนี้ จีนผลักดันให้บริษัทในประเทศตัดขาดจากซัพพลายเออร์สหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพาตนเองได้ การมุ่งเน้น จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามสั่งซื้อชิป AI จากอินวิเดีย จะช่วยให้จีนมีความมั่นคงทางเทคโนโลยีมากขึ้น

ผู้บริหารอุตสาหกรรมรายหนึ่งกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมาก “ก่อนหน้านี้บางคนยังคาดหวังว่า อินวิเดียอาจกลับมาส่งมอบสินค้าได้ หากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ดีขึ้น แต่ตอนนี้ทุกคนถูกระดมมาเพื่อสร้างระบบภายในประเทศขึ้นแทนแล้ว”

ทั้งนี้ อินวิเดียได้ทำการพัฒนาชิปรุ่นพิเศษสำหรับจีน หลังจากสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของโจ ไบเดนได้สั่งห้ามการส่งออกชิปรุ่นทรงพลังที่สุดให้กับจีน

*จีนระดมบริษัทในประเทศเพิ่มกำลังผลิตชิป AI

FT รายงานว่า ทางการจีนเพิ่งเรียกบริษัทภายในประเทศอย่างหัวเว่ย (Huawei), แคมบริคอน (Cambricon), อาลีบาบา (Alibaba) และไป่ตู้ (Baidu) มาประเมินเปรียบเทียบชิปของพวกเขากับชิปของอินวิเดียที่อนุญาตให้ใช้ได้ภายใต้ข้อจำกัดของสหรัฐฯ

แหล่งข่าวระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลเชื่อว่า ชิป AI ของจีนกำลังพัฒนาได้ใกล้เคียงหรืออาจเหนือกว่าชิปรุ่นที่สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้เข้าถึงได้

นอกจากนี้ จีนยังตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตชิป AI ในประเทศให้ได้ 3 เท่าภายในปีหน้า โดยแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมระบุว่า “ฉันทามติสูงสุดในตอนนี้คือ การที่จะมีซัพพลายชิปภายในประเทศเพียงพอต่อความต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งพาอินวิเดียอีกต่อไป”

จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามสั่งซื้อชิป AI จากอินวิเดีย

การที่จีน จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามสั่งซื้อชิป AI จากอินวิเดีย เป็นการประกาศอิสรภาพทางเทคโนโลยีที่ชัดเจน หากทำได้สำเร็จ จะส่งผลต่อตลาดโลกอย่างมาก และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

ที่มา – จีนเดินหน้าผลิตชิปในประเทศ หลังห้ามสั่งซื้อชิป AI จากอินวิเดีย

จีนเผย Nvidia ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

สำนักงานบริหารการกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีน (SAMR) เปิดเผยผลการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า อินวิเดีย (Nvidia) บริษัทชิปยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน และจะสั่งสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป

อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ของหน่วยงานกำกับดูแลของจีนระบุสั้น ๆ เพียงหนึ่งประโยคโดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ขณะที่หุ้น Nvidia ปรับตัวลดลง 2.6% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดที่นิวยอร์ก

การสอบสวนดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากทางการจีนอ้างว่า อินวิเดียละเมิดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการเข้าซื้อกิจการ เมลลาน็อกซ์ (Mellanox) ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชิปจากอิสราเอลในปี 2563 โดยในขณะนั้น หน่วยงานกำกับดูแลของจีนได้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวแบบมีเงื่อนไขว่า อินวิเดียต้องจัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทท้องถิ่นในจีนอย่างต่อเนื่อง แต่จีนกลับพบว่า อินวิเดียไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้ จึงขยายการสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อต้านการผูกขาดทางการค้า

สถานการณ์นี้ซับซ้อนขึ้นเนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ และจีนกำลังเจรจาการค้า ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็นเวลา 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 14 ก.ย. นำโดยสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งครอบคลุมประเด็นการค้าและเศรษฐกิจ ตลอดจนการกำหนดเส้นตายการขายกิจการแพลตฟอร์มติ๊กต๊อก (TikTok) ของจีน

ผลกระทบจากการที่ จีนเผย Nvidia ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ Nvidia ในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญอย่างมากสำหรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ การที่บริษัทไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับหน่วยงานกำกับดูแลของจีนอาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ข่าวนี้ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดังจะเห็นได้จากการที่หุ้นของ Nvidia ปรับตัวลดลงทันทีที่มีข่าวออกมา นักลงทุนกังวลว่าการถูกสอบสวนและการถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่จีนออกมาดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทต่างชาติในช่วงเวลาที่มีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อาจเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการกำกับดูแลบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในประเทศ และอาจเป็นการส่งสัญญาณไปยังบริษัทอื่นๆ ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของจีนอย่างเคร่งครัด

จีนเผย Nvidia ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

การที่จีนออกมาดำเนินการกับ Nvidia ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อตกลงทางการค้าในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในจีนจำเป็นต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจีนอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ

สิ่งที่น่าจับตามองต่อไปคือ หน่วยงานกำกับดูแลของจีนจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และจะมีบทลงโทษใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อ Nvidia บ้าง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามดูว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างไร และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีนหรือไม่

ผลกระทบต่อเนื่องจากกรณี จีนเผย Nvidia ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Nvidia เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นอย่างมาก หากจีนใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างเข้มงวดมากขึ้น บริษัทเหล่านี้อาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาความสามารถในการแข่งขัน

นอกจากนี้ ผู้บริโภคในประเทศจีนอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน หากการแข่งขันในตลาดลดลง อาจทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น และทางเลือกสำหรับผู้บริโภคลดน้อยลง

สุดท้ายนี้ จีนเผย Nvidia ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในจีน การทำความเข้าใจกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจีน การปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้า และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในตลาดจีน

ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการวางแผนกลยุทธ์อย่างรอบคอบ เพื่อรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลจีน

ที่มา – จีนเผยผลสอบเบื้องต้นชี้ Nvidia ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

Nvidia กำไร Q2/69 เกินคาด หุ้นร่วงเช้า

บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 ของปีงบการเงิน 2569 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 27 ก.ค. 2568 พร้อมกับคาดการณ์ว่า การเติบโตของรายได้ในไตรมาส 3 จะยังคงสูงกว่า 50% ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังไม่มีสัญญาณชะลอตัว

อินวิเดียเปิดเผยว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 1.05 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.01 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 4.674 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.606 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ อินวิเดียระบุว่า โดยรวมแล้วรายได้ในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้น 56% จากระดับ 3.004 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกันที่รายได้ของบริษัทปรับตัวขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบรายปี นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเติบโตของ AI เชิงรู้สร้าง (Generative AI) เริ่มส่งผลต่อผลประกอบการของอินวิเดีย

ผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 2/2569 ของอินวิเดียถือเป็นเครื่องยืนยันว่า ธุรกิจศูนย์ข้อมูลของอินวิเดียยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั่วโลก โดยโคเลตต์ เครสส์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของอินวิเดียกล่าวในระหว่างการแถลงผลประกอบการว่า บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ประมาณ 3 – 4 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นทศวรรษนี้

อินวิเดียคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ บวกลบไม่เกิน 2% โดยตัวเลขดังกล่าวไม่รวมรายได้จากการจัดส่งชิปรุ่น H20 ให้กับจีน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาส 3 ของอินวิเดียจะอยู่ที่ 5.31 หมื่นล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี หุ้นอินวิเดียร่วงลงกว่า 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วงเช้าวันนี้ (28 ส.ค.) หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ารายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 4.11 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.134 หมื่นล้านดอลลาร์

Nvidia เผยกำไรสูงกว่าคาดใน Q2/69 แต่หุ้นร่วงเช้านี้หลังเผยรายได้ศูนย์ข้อมูลต่ำกว่าคาด

ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่น AI แม้ว่า Nvidia เผยกำไรสูงกว่าคาดใน Q2/69 แต่หุ้นร่วงเช้านี้หลังเผยรายได้ศูนย์ข้อมูลต่ำกว่าคาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนให้ความสำคัญกับรายละเอียดและแนวโน้มในอนาคตมากกว่าตัวเลขผลกำไรเพียงอย่างเดียว

ทำไม Nvidia เผยกำไรสูงกว่าคาดใน Q2/69 แต่หุ้นร่วงเช้านี้หลังเผยรายได้ศูนย์ข้อมูลต่ำกว่าคาด จึงเป็นเรื่องสำคัญ?

การที่ Nvidia เผยกำไรสูงกว่าคาดใน Q2/69 แต่หุ้นร่วงเช้านี้หลังเผยรายได้ศูนย์ข้อมูลต่ำกว่าคาด เป็นสัญญาณเตือนสำหรับนักลงทุนว่าการเติบโตในอนาคตอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง ธุรกิจศูนย์ข้อมูลเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอินวิเดีย การที่รายได้ส่วนนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้

นอกจากนี้ สถานการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิเคราะห์อย่างละเอียด และการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว การติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด

การที่ Nvidia เผยกำไรสูงกว่าคาดใน Q2/69 แต่หุ้นร่วงเช้านี้หลังเผยรายได้ศูนย์ข้อมูลต่ำกว่าคาด แสดงให้เห็นว่าตลาดมีความผันผวนและไม่แน่นอน การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงการยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ดังนั้น การลงทุนในหุ้น Nvidia หรือหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้

ที่มา – Nvidia เผยกำไรสูงกว่าคาดใน Q2/69 แต่หุ้นร่วงเช้านี้หลังเผยรายได้ศูนย์ข้อมูลต่ำกว่าคาด

Nvidia ระงับผลิตชิป H20 สำหรับจีน จริงหรือ?

มีข่าวออกมาว่า Nvidia สั่งซัพพลายเออร์ให้ระงับการผลิตชิป AI รุ่น H20 สำหรับตลาดจีน จริงหรือไม่? มาเจาะลึกรายละเอียดของข่าวนี้กัน

ตามรายงานจากเว็บไซต์ ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม ได้อ้างอิงแหล่งข่าววงในว่า บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ได้สั่งการไปยังบริษัทคู่ค้าผู้ผลิตชิ้นส่วนบางราย ให้ระงับการผลิต ชิป AI รุ่น H20 สำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะ

รายงานยังระบุอีกว่า ในสัปดาห์นี้ Nvidia ได้ออกคำสั่งให้บริษัท แอมคอร์ เทคโนโลยี (Amkor Technology) ยุติสายการผลิตชิป H20 และยังได้แจ้งเรื่องนี้ไปยัง ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) อีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทแอมคอร์เป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการประกอบและบรรจุชิปขั้นสูง ในขณะที่บริษัทซัมซุงเป็นผู้จัดส่งชิปหน่วยความจำสมรรถนะสูง (high-bandwidth memory) สำหรับชิปรุ่นดังกล่าว

โฆษกของ Nvidia ได้ออกมาให้ความเห็นในแถลงการณ์ว่า “ทางบริษัทฯ มีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดรับกับสภาวการณ์ของตลาด”

“ดังที่รัฐบาลของทั้งสองชาติเป็นที่รับทราบกันดีว่า ชิป H20 นั้นไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ทางการทหาร หรือมีไว้สำหรับโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ทางการจีนย่อมไม่พึ่งพาชิปจากอเมริกาเพื่อการดำเนินงานของภาครัฐฉันใด รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ย่อมไม่พึ่งพาชิปจากจีนฉันนั้น”

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน ทางการจีนได้เรียกบริษัทสัญชาติจีน รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตอย่าง เทนเซ็นต์ (Tencent) และไบต์แดนซ์ (ByteDance) เข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดซื้อชิป H20 และแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงของข้อมูล

Nvidia สั่งระงับการผลิตชิป AI รุ่น H20 สำหรับตลาดจีน จริงหรือไม่?

ข่าวนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากชิป H20 ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดจีนโดยเฉพาะ หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีน ทำให้ Nvidia ต้องปรับปรุงชิปของตนเองเพื่อให้สามารถวางจำหน่ายในจีนได้

การระงับการผลิตชิป H20 อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงแผนการขยายตลาดของ Nvidia ในประเทศจีน

ผลกระทบของการระงับผลิตชิป H20 ต่อตลาดจีน

การระงับการผลิต ชิป AI รุ่น H20 สำหรับตลาดจีน อาจส่งผลกระทบหลายด้าน:

  • กระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีจีน: บริษัทเทคโนโลยีของจีนอาจต้องหาแหล่งชิป AI อื่น ๆ เพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของตน
  • ทำให้การพัฒนา AI ในจีนช้าลง: การขาดแคลนชิป AI ที่มีประสิทธิภาพอาจส่งผลกระทบต่อความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในประเทศจีน
  • ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน: การระงับการผลิตชิปอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ถึงแม้ว่า Nvidia จะออกมาแถลงการณ์ว่าเป็นการปรับห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด แต่หลายฝ่ายยังคงสงสัยถึงสาเหตุที่แท้จริงของการตัดสินใจครั้งนี้

การที่ Nvidia สั่งระงับการผลิต ชิป AI รุ่น H20 สำหรับตลาดจีน เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกในอนาคตอันใกล้นี้.

ที่มา – สื่อตีข่าว Nvidia สั่งซัพพลายเออร์ระงับการผลิตชิป AI รุ่น H20 สำหรับตลาดจีน

จีนสั่งแบนชิป Nvidia และ AMD: สื่อตีข่าว

มีรายงานว่าทางการจีนได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้งานชิปของ Nvidia และ AMD ในหลายภาคส่วน นี่คือประเด็นสำคัญที่ สื่อตีข่าว จีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปของ Nvidia และ AMD

ทางการจีนได้แจ้งให้บริษัทต่างๆ หลีกเลี่ยงการใช้ชิปรุ่น H20 ของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) หรือชิปของบริษัทเอเอ็มดี (AMD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและความมั่นคงแห่งชาติ

แหล่งข่าวได้ให้ข้อมูลว่า คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ อินวิเดียได้รับการอนุมัติให้ส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีประสิทธิภาพต่ำลงได้ นอกจากนี้ มีรายงานว่าทำเนียบขาวได้ยืนยันว่า อินวิเดียและเอเอ็มดี จะแบ่งรายได้ 15% ที่ได้จากจีนให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ

ประเทศจีนเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ผลิตชิป AI ชั้นนำอย่าง Nvidia และ AMD

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้ง Nvidia และ AMD ได้เปิดเผยว่าบริษัททั้งสองจะกลับมาจัดส่งชิปให้กับจีนในเร็วๆ นี้ หลังจากที่รัฐบาลได้กำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตส่งออกตั้งแต่ช่วงต้นปี ชิปรุ่น H20 ของ Nvidia และชิปรุ่น MI380 ของ AMD ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้หลีกเลี่ยงข้อจำกัดในการส่งออกชิป AI ไปยังจีนที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ชิป H20 ของ Nvidia เป็นชิปที่ล้าสมัย และจะไม่ยอมให้มีการจัดส่งชิป Blackwell ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าให้กับจีน หากไม่มีการลดประสิทธิภาพของชิปลงประมาณ 30% – 50%

ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อวี้หยวน ตันเทียน ได้ระบุในบทความว่า ชิป H20 ของ Nvidia ก่อให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยต่อจีน หลังจากที่ทางการจีนได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับช่องโหว่ (backdoor) ในชิปดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ได้เรียกเจ้าหน้าที่ของ Nvidia เข้าชี้แจงว่า ชิป AI รุ่น H20 มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงหรือไม่ ขณะที่สมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติบางคนของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ชิปขั้นสูงที่ส่งออกไปยังต่างประเทศต้องติดตั้งฟังก์ชัน “การติดตามและระบุตำแหน่ง” (tracking and positioning)

สื่อตีข่าว จีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปของ Nvidia และ AMD

ทำไมจีนถึงสั่งแบนชิป Nvidia และ AMD?

เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการตัดสินใจครั้งนี้มาจากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ รัฐบาลจีนอาจมองว่าการใช้ชิปเหล่านี้อาจทำให้ระบบของประเทศมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์หรือการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าจีนต้องการผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น การจำกัดการใช้งานชิปจากต่างประเทศอาจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ผลกระทบต่อตลาดชิปและบริษัทเทคโนโลยี

การที่ สื่อตีข่าว จีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปของ Nvidia และ AMD ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดชิปทั่วโลก Nvidia และ AMD เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ และจีนเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับบริษัทเหล่านี้ การสูญเสียตลาดจีนไปอาจทำให้รายได้ของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่พึ่งพาชิปของ Nvidia และ AMD ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ

อนาคตของอุตสาหกรรมชิปในจีน

แม้ว่าการแบนชิปจากต่างประเทศอาจสร้างความท้าทายในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจเป็นโอกาสสำหรับบริษัทจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตนเอง หากรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เราอาจได้เห็นบริษัทจีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปในอนาคต การที่ สื่อตีข่าว จีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปของ Nvidia และ AMD อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้

โดยสรุป การที่ สื่อตีข่าว จีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปของ Nvidia และ AMD เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้ผลิตชิป บริษัทเทคโนโลยี หรือแม้แต่อนาคตของอุตสาหกรรมชิปในจีนเอง การติดตามความเคลื่อนไหวและการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ที่มา – สื่อตีข่าว จีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปของ Nvidia และ AMD

ทรัมป์แย้ม! Nvidia ขายชิป Blackwell ลดสเปกให้จีน?

ทรัมป์แย้ม! อาจยอมให้ Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีน

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเป็นนัยว่า เขาอาจยินยอมให้ Nvidia ขายชิปรุ่น Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI สุดล้ำ ให้กับประเทศจีนได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องลดสเปกของชิปรุ่นนี้ลงก่อน

ในการแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์กล่าวว่า “เป็นไปได้ที่ผมจะทำข้อตกลง” สำหรับชิป Blackwell ที่มีการ “ลดสเปก” ซึ่งอาจเป็นการ “ลดประสิทธิภาพลง 30% ถึง 50%” เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาจะพบกับ เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นชิปรุ่นดังกล่าว

นักวิเคราะห์ในวงการมองว่า หากชิป Blackwell ที่ถูกลดสเปกลงได้รับการอนุมัติให้ส่งออกไปยังจีนได้จริง จะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะสหรัฐฯ ตั้งเป้าที่จะจำกัดให้จีนเข้าถึงได้แค่เทคโนโลยีที่ด้อยกว่า หรือไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดเท่านั้น การอนุญาตให้ขายชิปที่ลดสเปก อาจเป็นกลยุทธ์ในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเทคโนโลยีและการค้า

เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia เคยเน้นย้ำมาโดยตลอดว่า หากจีนถูกตัดขาดจากชิปของสหรัฐฯ บริษัทเทคโนโลยีจีนอย่าง Huawei จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น สหรัฐฯ ควรอนุญาตให้ขายชิปให้กับจีน เพื่อให้บริษัทจีนยังคงต้องพึ่งพาชิปเหล่านี้ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI

ทำไมทรัมป์ถึงแย้มเรื่อง Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีน?

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามไม่ให้ Nvidia จำหน่ายชิป H20 ให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง แม้ว่าบริษัทจะเพิ่งประกาศว่าข้อห้ามดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตาม ชิปประสิทธิภาพสูงเหล่านี้มักถูกนำไปใช้ในแอปพลิเคชัน AI ต่างๆ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Nvidia เพิ่งตกลงที่จะมอบรายได้ 15% ของยอดขายชิปเซมิคอนดักเตอร์ในจีนให้กับสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตในการส่งออกไปยังจีน ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Nvidia จะมอบรายได้ 15% จากการจำหน่ายชิป H20 ในจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากตลาดจีน

การที่ทรัมป์ออกมาให้ความเห็นเรื่องที่อาจยอมให้ Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีนนั้น บ่งบอกถึงความซับซ้อนของสถานการณ์การค้าและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของจีนในด้าน AI

การพิจารณาอนุมัติให้ Nvidia ขายชิป Blackwell รุ่นลดสเปกให้จีน ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่สหรัฐฯ จะใช้ในการควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีของโลก

โดยรวมแล้ว เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยี

สถานการณ์นี้ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และต้องติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ จะตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่มา – ทรัมป์แย้ม อาจยอมให้ Nvidia ขายชิป Blackwell แบบลดสเปกให้จีน

จีนไม่ปลื้ม! กำชับเลี่ยงใช้ชิป Nvidia H20

ทางการจีนไม่ปลื้มชิป Nvidia H20 กำชับบริษัทในประเทศเลี่ยงใช้

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานโดยอ้างสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ทางการจีนได้กำชับให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ชิป H20 ของอินวิเดีย (Nvidia) โดยได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังบริษัทหลายแห่ง พร้อมทั้งกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามใช้ชิป H20 ของอินวิเดียสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือความมั่นคงของชาติ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของรัฐหรือเอกชนก็ตาม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่สื่อของรัฐบาลจีนแสดงความกังวลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับชิป H20 โดยได้ออกมาแสดงความกังวลเรื่องช่องโหว่ (backdoor) ในชิปดังกล่าว ทั้งยังมองว่าชิปรุ่นนี้ไม่ได้ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งนี้ อินวิเดียได้พัฒนาชิป AI รุ่น H20 ขึ้นมาเพื่อตลาดจีนโดยเฉพาะ หลังจากที่สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดในการส่งออกชิป AI ขั้นสูงเมื่อปลายปี 2566 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งห้ามการขายชิปเหล่านี้ในเดือนเม.ย. เมื่อความตึงเครียดทางการค้ากับจีนเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามในเดือนก.ค.

ก่อนหน้านี้ สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ได้เรียกเจ้าหน้าที่ของบริษัทอินวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เข้าชี้แจงว่า ชิป AI รุ่น H20 ที่อินวิเดียจำหน่ายให้กับจีนนั้น มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงหรือไม่

ชิป AI ของอินวิเดียถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงอย่างร้ายแรง ขณะที่สมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติบางคนของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ชิปขั้นสูงที่ส่งออกไปยังต่างประเทศต้องติดตั้งฟังก์ชัน “การติดตามและระบุตำแหน่ง” (tracking and positioning)

CAC ระบุในแถลงการณ์ว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เทคโนโลยี “การติดตามและระบุตำแหน่ง” และ “การปิดระบบจากระยะไกล” (remote shutdown) ของชิปอินวิเดีย ถือเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลให้กับจีน

อย่างไรก็ดี โฆษกของอินวิเดียกล่าวว่า “ความปลอดภัยทางไซเบอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา อินวิเดียไม่ได้สร้าง ‘ช่องโหว่’ ในชิปของเราที่จะทำให้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงหรือควบคุมชิปจากระยะไกลได้”

การตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นจากจีนอาจสร้างความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในอีกด้านหนึ่งให้กับเจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดียที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างนโยบายด้านเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ กับความต้องการที่จะขายสินค้าในตลาดจีนที่มีศักยภาพในการทำกำไร

จีนสั่งเลี่ยงใช้ชิป Nvidia H20 กระทบอะไรบ้าง?

การที่ทางการจีนสั่งให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ชิป Nvidia H20 นั้น ส่งผลกระทบหลายด้านด้วยกัน:

  • กระทบต่ออินวิเดีย: ตลาดจีนเป็นตลาดใหญ่สำหรับอินวิเดีย การสูญเสียตลาดนี้ไปย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทอย่างแน่นอน
  • กระทบต่อบริษัทจีน: บริษัทจีนอาจต้องหันไปหาชิปทางเลือกอื่น ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าหรือมีราคาแพงกว่า
  • กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความขัดแย้งเรื่องชิปอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การที่จีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20 ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของจีนอีกด้วย จีนต้องการพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเองมากขึ้นและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

ในอนาคต เราอาจได้เห็นจีนพัฒนาชิป AI ของตนเองเพื่อทดแทนชิปจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป AI ทั่วโลกอย่างแน่นอน การที่จีนไม่ปลื้มและสั่งเลี่ยงใช้ชิป Nvidia H20 จึงเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ การที่จีนตัดสินใจเช่นนี้ น่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ที่มา – ทางการจีนไม่ปลื้มชิป Nvidia H20 กำชับบริษัทในประเทศเลี่ยงใช้