อัตราว่างงาน

จีนสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 10.57 ล้านตำแหน่ง

ข่าวดีจากแดนมังกร! จีนสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 10.57 ล้านตำแหน่ง ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย. 2568) ถือเป็นความสำเร็จที่น่าจับตามอง และคิดเป็น 88% ของเป้าหมายที่รัฐบาลจีนตั้งไว้สำหรับปีนี้

สถานการณ์ตลาดแรงงานของจีนดูสดใสขึ้นเรื่อยๆ โดยอัตราการว่างงานในเขตเมืองล่าสุดในเดือนกันยายนอยู่ที่ 5.2% ลดลง 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนก่อนหน้า ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน

ชุย เผิงเฉิง โฆษกกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคม ได้ออกมาแถลงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพของตลาดแรงงาน โดยเน้นย้ำถึงมาตรการต่างๆ ที่กำลังดำเนินการเพื่อสนับสนุนการจ้างงานอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและเร่งแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

จีนสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 10.57 ล้านตำแหน่ง

รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายอัตราการว่างงานในเขตเมืองไว้ที่ประมาณ 5.5% ในปี 2568 และตั้งเป้าที่จะสร้างงานใหม่ในเขตเมืองให้ได้มากกว่า 12 ล้านตำแหน่งในปีนี้ ความมุ่งมั่นนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจจีนและความสามารถในการสร้างโอกาสการจ้างงาน

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน หวัง เสี่ยวผิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคม ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า จีนสามารถสร้างงานใหม่ในเขตเมืองได้ถึง 59.21 ล้านตำแหน่ง นับตั้งแต่เริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2564-2568) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 55 ล้านตำแหน่งเสียอีก

ปัจจัยที่ส่งผลให้จีนสร้างงานใหม่ในเขตเมืองได้ตามเป้า

  • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
  • นโยบายสนับสนุนการจ้างงานของรัฐบาล
  • การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและบริการ

การที่จีนสามารถสร้างงานใหม่ได้จำนวนมากเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนและความสามารถในการปรับตัวต่อความท้าทายต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดแรงงานทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก การสร้างงานใหม่ในจีนจึงส่งผลดีต่อการจ้างงานทั่วโลกด้วย

จีนสร้างงานใหม่ในเขตเมือง เป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้จีนสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานได้อย่างยั่งยืน

การที่จีนยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างงานใหม่และรักษาเสถียรภาพของตลาดแรงงาน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน

ที่มา – จีนสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 10.57 ล้านตำแหน่ง 9 เดือนแรกปีนี้ ด้านอัตราว่างงานขยับลง

ญี่ปุ่น: อัตราว่างงานพุ่ง 2.6% สูงสุดในรอบ 13 เดือน

สถานการณ์ตลาดแรงงานในญี่ปุ่นกำลังเป็นที่จับตามอง เมื่อกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งไปแตะ 2.6% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือนเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในเดือนกรกฎาคม สาเหตุหลักมาจากการที่พนักงานจำนวนมากมองหางานใหม่ที่ให้ผลตอบแทนและโอกาสที่ดีกว่าเดิม

อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง: เกิดอะไรขึ้น?

นอกจาก อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง แล้ว ทางการญี่ปุ่นยังได้เปิดเผยข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่น่าสนใจอีกด้วย อัตราส่วนตำแหน่งงานต่อผู้สมัครงานในเดือนสิงหาคมลดลง 0.02 จุดจากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.20 จุด ซึ่งหมายความว่า ในปัจจุบัน มีตำแหน่งงานว่าง 120 ตำแหน่งสำหรับผู้สมัครงานทุกๆ 100 คน

ในส่วนของจำนวนผู้ที่มีงานทำนั้น พบว่าลดลง 0.3% สู่ระดับ 68.1 ล้านคน ในขณะที่จำนวนผู้ที่ว่างงานกลับเพิ่มขึ้นถึง 9.1% หรือคิดเป็นจำนวน 1.79 ล้านคน

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของกลุ่มผู้ว่างงาน พบว่ามีจำนวน 770,000 คนที่ลาออกจากงานโดยสมัครใจ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะลาออกเพื่อมองหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 13.2% จากเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ยังมีจำนวน 430,000 คนที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งเพิ่มขึ้น 19.4%

ทำไมอัตราว่างงานญี่ปุ่นถึงพุ่งสูงขึ้น?

การที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี สะท้อนให้เห็นว่าภาวะตลาดแรงงานของญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอลงเล็กน้อย สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่นักลงทุนในตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้

ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเรื้อรังยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำเนินงานของธุรกิจในญี่ปุ่น ข้อมูลจาก Tokyo Shoko Research ระบุว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ มีบริษัทถึง 237 แห่งที่ต้องยื่นล้มละลายเนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริษัทจำนวนมากระบุว่าไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของผู้สมัครงานที่ต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้นได้

เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว หลายบริษัทในญี่ปุ่นจึงหันไปพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น รายงานระบุว่า ณ เดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานญี่ปุ่นจำนวน 2.3 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์ อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง สูงขึ้นนี้ เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหางานในญี่ปุ่น หรือผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดแรงงานของญี่ปุ่น การติดตามข้อมูลและแนวโน้มต่างๆ อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

การที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน หรือหางานใหม่ที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ และการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้งานที่ใช่และผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ที่มา – อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งแตะ 2.6% ในเดือนส.ค. สูงสุดในรอบ 13 เดือน

ออสเตรเลียจ้างงานลด ส.ค. แต่ว่างงาน 4.2%

ข่าวเศรษฐกิจวันนี้ที่น่าจับตามองคือสถานการณ์ในออสเตรเลีย! สำนักงานสถิติแห่งชาติของออสเตรเลียรายงานว่า แม้ ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. แต่อัตราว่างงานยังทรงตัวที่ 4.2% มาเจาะลึกรายละเอียดกันครับ

ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค.

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ภาพรวมการจ้างงานจะลดลงเล็กน้อย แต่ก็มีความน่าสนใจซ่อนอยู่ โดยอัตราว่างงานของออสเตรเลียในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 4.2% ซึ่งเท่ากับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความคงที่ในตลาดแรงงาน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงภายใน

การจ้างงานพนักงานเต็มเวลาลดลงถึง 40,900 ตำแหน่ง แต่ในทางกลับกัน การจ้างงานพนักงานไม่เต็มเวลา (พนักงานพาร์ตไทม์) กลับเพิ่มขึ้น 35,500 ตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ตัวเลขจ้างงานโดยรวมปรับตัวลดลง 5,400 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบรายเดือน แต่เมื่อมองภาพรวม 12 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้นถึง 217,200 ตำแหน่ง

ในเดือนกรกฎาคม เราเห็นการจ้างงานพนักงานเต็มเวลาเพิ่มขึ้นถึง 60,500 ตำแหน่ง และตัวเลขจ้างงานโดยรวมปรับตัวขึ้นถึง 24,500 ตำแหน่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน

นอกจากนี้ อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน และอัตราส่วนผู้มีงานทำต่อประชากร ต่างลดลง 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ในเดือนสิงหาคม สู่ระดับ 66.8% และ 64.0% ตามลำดับ

ฌอน คริก หัวหน้าฝ่ายสถิติแรงงานของสำนักงานสถิติฯ กล่าวว่า จำนวนชั่วโมงทำงานทั้งหมดของชาวออสเตรเลียลดลง 0.4% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการจ้างงานเต็มเวลาที่ลดลง

ทำไมถึงต้องจับตาดูตัวเลขการจ้างงาน?

ตัวเลขการจ้างงานเป็นดัชนีสำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพเศรษฐกิจโดยรวม หากการจ้างงานลดลง อาจส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทางกลับกัน หากการจ้างงานเพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. จึงเป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ

  • การจ้างงานเต็มเวลา vs ไม่เต็มเวลา: การเปลี่ยนแปลงระหว่างการจ้างงานเต็มเวลาและไม่เต็มเวลาสามารถบ่งบอกถึงความมั่นคงของงานและความพึงพอใจของลูกจ้าง
  • อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน: อัตราที่ลดลงอาจบ่งบอกถึงความท้อแท้ของผู้ที่กำลังหางาน หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
  • จำนวนชั่วโมงทำงาน: การลดลงของจำนวนชั่วโมงทำงานอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้คนและการใช้จ่ายโดยรวม

สถานการณ์ ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. นี้อาจมีผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล รวมถึงทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต นักลงทุนและผู้ประกอบการควรติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

ถึงแม้ว่าตัวเลข ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. จะดูไม่สดใสนัก แต่การที่อัตราว่างงานยังคงทรงตัวแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดแรงงานออสเตรเลีย และยังคงต้องติดตามสถานการณ์นี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ที่มา – ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. แต่อัตราว่างงานทรงตัว 4.2%

พายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจ อัตราว่างงานฟิลิปปินส์พุ่ง

สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์รายงานว่า อัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 5.3% ในเดือนกรกฎาคม จาก 3.7% ในเดือนมิถุนายน ถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 สถานการณ์พายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจฟิลิปปินส์อย่างหนัก

สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน มาจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นและฝนตกหนักจากฤดูมรสุม แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อพายุหมุนเขตร้อน

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุไต้ฝุ่นถึง 4 ลูก และมรสุมที่รุนแรง ทำให้เกิดฝนตกหนักทั่วประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต เกิดน้ำท่วม และสร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตร ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยจะมีพายุหมุนพัดผ่านประมาณ 20 ลูกต่อปี

เดนนิส มาปา นักสถิติประจำสำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์กล่าวว่า อุตสาหกรรมในภาคส่วนที่อ่อนไหวต่อสภาพอากาศเลวร้าย โดยเฉพาะภาคการเกษตรและการประมง มีการจ้างงานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ภาคการเกษตรมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ

ข้อมูลล่าสุดนี้แสดงให้เห็นผลกระทบของสภาพอากาศเลวร้ายต่อการจ้างงาน เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังตรวจสอบการทุจริตในโครงการน้ำท่วม เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ราล์ฟ เรคโต รัฐมนตรีคลังฟิลิปปินส์แถลงว่า รัฐบาลสูญเสียงบประมาณที่ใช้สำหรับโครงการป้องกันน้ำท่วมไปกับการทุจริตถึง 70% ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

พายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจฟิลิปปินส์

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคการเกษตรเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน การขนส่งสินค้าและการเดินทางถูกขัดขวาง โรงงานและธุรกิจต่างๆ ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว ส่งผลให้การผลิตลดลงและรายได้ของประชาชนลดลง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากพายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ นักลงทุนอาจลังเลที่จะลงทุนในประเทศที่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง เนื่องจากความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น

รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ และการส่งเสริมการประกันภัยพืชผล อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกมากที่ต้องทำเพื่อให้ฟิลิปปินส์สามารถรับมือกับความท้าทายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้

ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน

การที่พายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ทำให้ตลาดแรงงานผันผวน คนจำนวนมากตกงานโดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและประมง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากพายุ ทำให้เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิตของผู้คนในพื้นที่ประสบภัย

  • การสูญเสียรายได้: ผู้ที่ตกงานไม่สามารถหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ทำให้เกิดปัญหาทางการเงินและความยากจน
  • ปัญหาหนี้สิน: หลายครอบครัวต้องกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น
  • การย้ายถิ่นฐาน: ผู้คนจำนวนมากตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองใหญ่เพื่อหางานทำ ทำให้เกิดปัญหาความแออัดและการขาดแคลนทรัพยากรในเมือง

รัฐบาลและองค์กรต่างๆ กำลังให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ความต้องการยังคงมีอยู่มาก การฟื้นฟูเศรษฐกิจและการสร้างงานใหม่เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศ การวางแผนการใช้ที่ดินอย่างชาญฉลาด และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ฟิลิปปินส์สามารถสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้

ที่มา – พายุไต้ฝุ่นกระทบเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ทำอัตราว่างงานพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี

ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง! ก.ค. เพิ่ม 24,500 ตำแหน่ง

ข่าวดีสำหรับตลาดแรงงานออสเตรเลีย! สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานว่าเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 24,500 ตำแหน่ง สัญญาณบวกนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง

ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง 24,500 ตำแหน่งเดือนก.ค.

การเพิ่มขึ้นของ ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง 24,500 ตำแหน่งเดือนก.ค. นี้ ถือว่าสูงกว่าเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้นเพียง 1,000 ตำแหน่งเท่านั้น และยังสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์อีกด้วย แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการจ้างงานพนักงานเต็มเวลาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวเลขที่น่าสนใจอื่นๆ ที่ ABS รายงานมีดังนี้:

  • อัตราการว่างงาน: ลดลงมาอยู่ที่ 4.2% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งต่ำกว่าระดับ 4.3% ในเดือนมิถุนายน
  • การจ้างงานเต็มเวลา: เพิ่มขึ้นถึง 60,500 ตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของภาคธุรกิจในการจ้างงานระยะยาว
  • อัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน: ปรับตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 67.0%

ทำไมตัวเลข ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง 24,500 ตำแหน่งเดือนก.ค. ถึงสำคัญ?

ตัวเลข ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง 24,500 ตำแหน่งเดือนก.ค. ที่แข็งแกร่งนี้ มีผลกระทบหลายด้าน:

  1. ต่อธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA): ข้อมูลนี้อาจทำให้ RBA พิจารณาทบทวนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
  2. ต่อค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย: ข่าวนี้ช่วยหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
  3. ต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ: การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม RBA ยังคงจับตาดูอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมหากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงตามที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนในตลาดยังคงคาดการณ์ว่า RBA จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมเดือนพฤศจิกายน

ถึงแม้ว่าตัวเลข ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง 24,500 ตำแหน่งเดือนก.ค. จะเป็นข่าวดี แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานออสเตรเลียในอนาคต การวางแผนทางการเงินและการลงทุนอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังมีความผันผวน

ที่มา – ออสเตรเลียจ้างงานพุ่ง 24,500 ตำแหน่งเดือนก.ค. อัตราว่างงานลดลงแตะ 4.2%

เฟดชี้ข้อมูลจ้างงานหนุน ลดดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้

มิเชล โบว์แมน รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความเห็นเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) ว่า ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ออกมาซบเซายิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เป็นแนวทางที่เหมาะสม

โบว์แมนกล่าวที่งานประชุมผู้บริหารธนาคารในรัฐโคโลราโดว่า “การปรับนโยบายเชิงรุกให้เข้าใกล้ภาวะปกติมากขึ้นจากจุดที่ค่อนข้างจำกัดในปัจจุบันนั้น จะช่วยป้องกันไม่ให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงไปกว่านี้ และลดโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) จะต้องใช้นโยบายแก้ไขที่รุนแรงขึ้น หากตลาดแรงงานทรุดตัวลงไปอีก”

ข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า เดือนก.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ขณะที่อัตราการว่างงานก็ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 4.1% ในเดือนมิ.ย. เป็น 4.2% ในเดือนก.ค.

ในการประชุมนโยบายเฟดเมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25% – 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โบว์แมนเป็นหนึ่งในสองเจ้าหน้าที่เฟดที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าว

เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ เพราะกังวลว่ามาตรการภาษีนำเข้าที่ใช้กับคู่ค้าของสหรัฐฯ อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือนมิ.ย.ก็เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.

อย่างไรก็ดี โบว์แมนมองว่าราคาที่เพิ่มขึ้นเพราะภาษีนำเข้าเป็นเพียง “ผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งเดียว” และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ 2% ในที่สุด

โบว์แมนกล่าวว่า “นโยบายการเงินต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การที่เรามองข้ามตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นชั่วคราวและผ่อนคลายนโยบายบางส่วนเพื่อไม่ให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงนั้น จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

ทั้งนี้ เฟดยังมีกำหนดการประชุมนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้ คือในเดือนก.ย. ต.ค. และธ.ค.

เจ้าหน้าที่เฟดชี้ ข้อมูลจ้างงานอ่อนแอหนุนลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้

ข้อมูลจ้างงานซบเซาหนุนเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้

จากความเห็นของมิเชล โบว์แมน ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เฟดจะพิจารณาลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดการเงินทั่วโลก

นักลงทุนและผู้บริโภคควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น การลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้อาจกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อได้เช่นกัน

ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงและการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้

ที่มา – เจ้าหน้าที่เฟดชี้ ข้อมูลจ้างงานอ่อนแอหนุนลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้