อังกฤษ

เครื่องบิน รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉิน!

เกิดเหตุระทึก! เครื่องบิน รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉินในอังกฤษ หลังกระจกเครื่องบินร้าว สร้างความตกใจให้กับผู้โดยสารและลูกเรือ

ADS-B Exchange ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฝ้าระวังเส้นทางการบิน รายงานว่า เครื่องบินที่มีพีธ เฮกเสธ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ โดยสารมาด้วยนั้น ได้ลงจอดที่สนามบินกองทัพแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงเย็นวันพุธ (15 ต.ค.) หลังจากมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ฌอน พาร์เนล โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ยืนยันผ่านทางแพลตฟอร์ม X ว่า เครื่องบินที่รัฐมนตรีกลาโหมโดยสารมานั้น ได้ลงจอดนอกตารางบิน ซึ่งมีสาเหตุมาจาก “รอยร้าวที่กระจกหน้าของเครื่องบิน”

พาร์เนลกล่าวเพิ่มเติมว่า “เครื่องบินลงจอดตามขั้นตอนมาตรฐาน และทุกคนบนเครื่อง รวมถึงรัฐมนตรีเฮกเสธ ปลอดภัยดี”

เที่ยวบิน SAM 153 ลำนี้ได้บินอยู่เหนือดินแดนแอตแลนติกเหนือ ก่อนที่จะวกกลับไปยังสหราชอาณาจักร โดยพาร์เนลกล่าวว่า เที่ยวบินนี้มีกำหนดเดินทางกลับสู่สหรัฐฯ หลังเสร็จสิ้นการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมของกลุ่ม NATO ซึ่งจัดขึ้นในประเทศเบลเยียม โดยที่ประชุมมีการหารือกันเกี่ยวกับความมั่นคงในยูเครน

รัฐมนตรีเฮกเสธได้โพสต์ข้อความหลังจากเครื่องลงจอดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขอบคุณพระเจ้า ภารกิจเดินหน้าต่อไป!”

ทางด้าน BBC Verify ซึ่งติดตามเที่ยวบินดังกล่าว พบว่า เครื่องบินเริ่มลดระดับความสูงที่บริเวณนอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์ จากนั้นจึงหันหัวกลับไปทางทิศตะวันออก โดยลดระดับลงมาอยู่ที่ความสูง 10,000 ฟุต ตามข้อมูลจาก FlightRadar24 ซึ่งในช่วงเวลานี้เอง เครื่องบินเริ่มส่งสัญญาณ “รหัสฉุกเฉิน 7700” (7700 squawk code) บนเครื่องส่งสัญญาณ ซึ่งรหัสดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณให้ทราบถึงเหตุฉุกเฉินทั่วไปบนเครื่องบิน ตั้งแต่เครื่องยนต์ขัดข้อง การลดความดันอากาศ ไปจนถึงภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

ก่อนหน้านี้ในเดือนก.พ. เครื่องบินของรัฐบาลที่มีมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยสารมาด้วยนั้น ก็ต้องบินกลับเช่นกัน เนื่องจากกระจกหน้าห้องนักบินมีรอยร้าว

เครื่องบิน รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉิน

เหตุการณ์เครื่องบิน รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉินครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามถึงมาตรการความปลอดภัยของการเดินทางด้วยเครื่องบินของบุคคลสำคัญ แม้โฆษกกระทรวงกลาโหมจะยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากรอยร้าวที่กระจกหน้าของเครื่องบิน และไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการบำรุงรักษาเครื่องบินอย่างสม่ำเสมอ และการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

รายละเอียดเหตุการณ์ เครื่องบิน รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉิน

  • วันและเวลา: เมื่อช่วงเย็นวันพุธ (15 ต.ค.)
  • สถานที่: สนามบินกองทัพแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร
  • สาเหตุ: รอยร้าวที่กระจกหน้าของเครื่องบิน
  • ผู้โดยสาร: พีธ เฮกเสธ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ และคณะ
  • ผลกระทบ: ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินของบุคคลสำคัญก็ยังมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้เสมอ การตระหนักถึงความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือทุกคน นอกจากนี้ การบำรุงรักษาเครื่องบินอย่างสม่ำเสมอและเข้มงวดยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน

การที่เครื่องบิน รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉิน แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้เราใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศมากยิ่งขึ้น หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันมาให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาเครื่องบิน และการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินมากยิ่งขึ้น

ที่มา – เครื่องบินรมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลงจอดฉุกเฉินในอังกฤษ หลังกระจกเครื่องบินร้าว

อังกฤษเผย คดี Hate Crime พุ่งครั้งแรก! – สรุปข่าว

สถานการณ์อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง หรือ Hate Crime ในสหราชอาณาจักร กำลังเป็นที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อกระทรวงมหาดไทยของสหราชอาณาจักรได้ออกมาเปิดเผยถึงสถิติที่น่ากังวลว่า จำนวนคดี คดี Hate Crime พุ่งสูงขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สถิติชี้มุ่งเป้าเชื้อชาติ-ศาสนา ในอังกฤษและเวลส์ ซึ่งรวมถึงความผิดที่มีแรงจูงใจจากเชื้อชาติและศาสนา

คดี Hate Crime พุ่งสูงขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สถิติชี้มุ่งเป้าเชื้อชาติ-ศาสนา

รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่า มีอาชญากรรมจากความเกลียดชังเกิดขึ้นเกือบ 116,000 คดีในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 2% จาก 113,100 คดีในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับความรุนแรงและความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในสังคม

เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียด เราจะพบว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชังทางศาสนาที่มุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิม มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 19% โดยการเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์โจมตีที่เซาท์พอร์ตและการจลาจลที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของชุมชนชาวมุสลิมและการเผชิญกับความรุนแรงและความเกลียดชัง

ความเห็นจากรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับ คดี Hate Crime พุ่งสูงขึ้น

ชาบานา มะห์มูด รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยอังกฤษ ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ โดยกล่าวว่าชุมชนชาวมุสลิมและชาวยิว “ยังคงประสบกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่รุนแรงในระดับที่ยอมรับไม่ได้ … สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า มีคนจำนวนมากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวจากสิ่งที่พวกเขาเป็น สิ่งที่พวกเขาเชื่อ หรือที่ที่พวกเขาจากมา” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของอาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อผู้คนและชุมชน

นอกจากนี้ สำนักข่าวซินหัวยังรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีชาวยิวสองรายเสียชีวิตจากการโจมตีที่เกิดขึ้นในโบสถ์ยิวในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อว่าเป็นพลเมืองอังกฤษเชื้อสายซีเรีย ได้ขับรถพุ่งชนผู้คนที่มาร่วมพิธีทางศาสนา จากนั้นจึงก่อเหตุใช้มีดแทงขณะสวมเสื้อกั๊กพลีชีพปลอม ก่อนถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญในที่เกิดเหตุ เหตุการณ์นี้เป็นการตอกย้ำถึงความรุนแรงและความเกลียดชังที่สามารถเกิดขึ้นได้ในสังคม และความจำเป็นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างความเข้าใจและความอดทนอดกลั้นในสังคม การส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา และการต่อต้านความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและปลอดภัย

สถานการณ์ คดี Hate Crime พุ่งสูงขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สถิติชี้มุ่งเป้าเชื้อชาติ-ศาสนา ในสหราชอาณาจักรเป็นสัญญาณเตือนว่าเราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติอย่างจริงจัง การสร้างสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้อีกในอนาคต

การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของความเกลียดชังเป็นสิ่งจำเป็น เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและได้รับการยอมรับ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร มาจากไหน หรือเชื่อในสิ่งใด

ที่มา – อังกฤษเผยคดี Hate Crime พุ่งสูงขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สถิติชี้มุ่งเป้าเชื้อชาติ-ศาสนา

อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เน้นเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ยืนยันว่าจะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องวีซ่าขึ้นหารือกับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ในการเยือนกรุงนิวเดลี โดยเน้นหารืออังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย ในวันพรุ่งนี้ (9 ต.ค.) เขาต้องการเน้นอังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดียและส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่าการเดินทางครั้งนี้มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ทั้งสองประเทศได้ทำไว้แล้ว และชี้ว่าประเด็นวีซ่าไม่อยู่ในแผนการเจรจา เนื่องจากข้อตกลงการค้าครั้งล่าสุดไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับวีซ่า ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าหลังจากที่ประเด็นดังกล่าวเคยเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุข้อตกลงในอดีต

สตาร์เมอร์กล่าวว่า ภาคธุรกิจกำลังได้รับประโยชน์จากข้อตกลงที่ลงนามเมื่อเดือนก.ค. หลังจากบรรลุในเดือนพ.ค. และย้ำว่าการหารือกับผู้นำอินเดียครั้งนี้จะมุ่งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อเจรจาเรื่องการเคลื่อนไหวของแรงงานหรือวีซ่าทำงาน

ขณะเดียวกัน ผู้นำสหราชอาณาจักรยังคงดำเนินนโยบายเข้มงวดมากขึ้นในประเด็นผู้อพยพ ท่ามกลางกระแสความกังวลของประชาชนที่เพิ่มขึ้น และในขณะที่พรรคแรงงานของเขามีคะแนนนิยมตามหลังพรรคปฏิรูปสหราชอาณาจักร (Reform UK) ซึ่งมีแนวทางประชานิยม

สตาร์เมอร์ยังระบุด้วยว่า จะไม่หยิบยกเรื่องวีซ่าเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากอินเดีย แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะเพิ่งประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B แต่โดยรวมแล้วเขายังคงต้องการให้สหราชอาณาจักรเป็นจุดหมายปลายทางของบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก

เมื่อถูกถามถึงท่าทีต่อประเทศที่ปฏิเสธรับตัวอาชญากรต่างชาติหรือผู้ที่สหราชอาณาจักรต้องการส่งกลับ สตาร์เมอร์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำหรับอินเดีย เนื่องจากทั้งสองประเทศมีข้อตกลงส่งตัวบุคคลกลับประเทศอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าจะพิจารณาแนวทางนี้ในภาพรวมต่อไป โดยอยู่ระหว่างศึกษาว่าควรเชื่อมโยงการออกวีซ่ากับข้อตกลงการส่งตัวกลับหรือไม่

อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เน้นหารือส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

ประเด็นสำคัญ: อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย

การยืนยันจุดยืนของสหราชอาณาจักรในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าที่มีอยู่แล้ว การตัดสินใจที่จะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องวีซ่าขึ้นมาหารือ อาจเป็นการหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสให้การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

แม้ว่าประเด็นเรื่องวีซ่าจะเป็นที่สนใจของหลายฝ่าย แต่การที่สหราชอาณาจักรเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับอินเดียในระยะยาว

การที่สตาร์เมอร์กล่าวว่าจะไม่หยิบยกเรื่องวีซ่าเพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากอินเดียนั้น น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นว่าสหราชอาณาจักรต้องการที่จะดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ การที่เขายังคงต้องการให้สหราชอาณาจักรเป็นจุดหมายปลายทางของบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

การพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงการออกวีซ่ากับข้อตกลงการส่งตัวกลับ เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นถึงความพยายามของสหราชอาณาจักรในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการบังคับใช้กฎหมาย

โดยรวมแล้ว การตัดสินใจของสหราชอาณาจักรที่จะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องวีซ่าขึ้นมาหารือกับอินเดียในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่จะมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาว เป็นการเดินหมากที่น่าสนใจที่ต้องติดตามผลลัพธ์ต่อไป

อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เพื่อเน้นการค้าเสรีที่มีอยู่เดิม หากคุณเป็นนักธุรกิจที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในอินเดีย นี่เป็นสัญญาณที่ดี! ลองศึกษาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสองประเทศดูนะครับ

ที่มา – อังกฤษยันไม่คุยเรื่องวีซ่ากับอินเดีย เน้นหารือส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดแทงหน้าโบสถ์ยิวแมนเชสเตอร์

เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อตำรวจอังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายราย เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงและความเสียใจให้กับผู้คนในชุมชนและทั่วโลก

ตำรวจเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ ได้ยืนยันถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย จากเหตุแทงกันที่เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกโบสถ์ยิวฮีตันพาร์ค บนถนนมิดเดิลตัน ในย่านครัมป์ซอลล์ เมืองแมนเชสเตอร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา สร้างความโศกเศร้าให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้

นอกจากผู้เสียชีวิต 2 รายแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 ราย ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในอาการสาหัส และได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชายคนที่ 3 ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงวิสามัญ และคาดว่าเสียชีวิตแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังรอการยืนยันอย่างเป็นทางการ เนื่องจากพบวัตถุต้องสงสัยบนร่างกายของผู้เสียชีวิต ทำให้ต้องมีการส่งหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ามาตรวจสอบพื้นที่

ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำอังกฤษ ได้ออกมาแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยกล่าวว่า “ตำรวจกำลังระดมกำลังเพิ่มเติมไปยังโบสถ์ยิวทั่วประเทศ” เพื่อรักษาความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่

ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลา 9.31 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีผู้แจ้งว่าพบคนขับรถพุ่งชนคนบนทางเท้า และมีชายคนหนึ่งถูกแทง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะยิงใส่ผู้ต้องสงสัยเมื่อเวลา 9.38 น. การตอบสนองอย่างรวดเร็วของเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นมากกว่านี้

ผลกระทบจากเหตุการณ์ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์

เหตุการณ์ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์ ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความเชื่อมั่นของประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน

แอนดี เบิร์นแฮม นายกเทศมนตรีเมืองแมนเชสเตอร์ ได้กล่าวกับสำนักข่าวบีบีซีก่อนหน้านี้ว่า ประชาชนควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว แต่รับประกันกับประชาชนว่า “อันตรายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ดูเหมือนจะจบลงแล้ว” เพื่อให้ประชาชนคลายความกังวลและสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในสังคม การป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน

การสร้างสังคมที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคนต้องอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกัน การเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองในสังคม

เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหายจากอาการป่วยโดยเร็ว เราหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต และขอให้สังคมของเรามีความสงบสุขและปลอดภัยสำหรับทุกคน

ที่มา – ตร.อังกฤษวิสามัญมือมีดในเหตุบุกแทงหน้าโบสถ์ยิวเมืองแมนเชสเตอร์ เหยื่อดับ 2 ศพ

อังกฤษเลิกแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถานในรอบ 5 ปี

ในที่สุดก็มีข่าวดี! อังกฤษประกาศเลิกแบน สายการบินแห่งชาติปากีสถาน (Pakistan International Airlines – PIA) ทำให้สายการบินแห่งชาติปากีสถานสามารถกลับมาบินตรงไปยังสหราชอาณาจักรได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี! ถือเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับชาวปากีสถานและผู้ที่ต้องการเดินทางระหว่างสองประเทศ

อังกฤษเลิกแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถาน บินตรงได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา PIA ได้ออกมาประกาศว่า ทางการอังกฤษได้อนุมัติให้สายการบินสามารถกลับมาให้บริการเที่ยวบินโดยสารและขนส่งสินค้าโดยตรงได้อีกครั้ง โดยจะเริ่มต้นที่เมืองแมนเชสเตอร์ก่อน จากนั้นจะขยายเส้นทางไปยังเมืองเบอร์มิงแฮมและลอนดอน ซึ่งเส้นทางบินเหล่านี้ถือเป็นเส้นทางที่ทำกำไรสูงสุดให้กับ PIA เลยทีเดียว

การกลับมาทำการบินได้อีกครั้งนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดระยะเวลาการถูกแบนที่ยาวนานถึง 5 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้สายการบินแห่งชาติปากีสถานต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำเนินงานอย่างมาก

ทำไมอังกฤษถึงแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถาน?

ต้องย้อนกลับไปในปี 2563 ที่สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) ได้สั่งระงับเที่ยวบินของ PIA เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัย หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบินของปากีสถานในขณะนั้นได้ออกมาเปิดเผยว่ามีนักบินบางส่วนใช้ใบอนุญาตปลอม ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของการบินกับสายการบิน PIA

อย่างไรก็ตาม ทางปากีสถานไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ทำการปรับปรุงมาตรฐานต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับขององค์กรกำกับดูแลการบินระหว่างประเทศ จนในที่สุด EU ก็ได้ยกเลิกคำสั่งแบนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา และล่าสุดอังกฤษก็ประกาศยกเลิกคำสั่งแบนเช่นกัน

นอกจากนี้ การแปรรูป PIA ยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ปากีสถานต้องดำเนินการเพื่อให้ได้รับการอนุมัติเงินกู้จำนวน 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสายการบินแห่งชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ถึงแม้ว่า PIA จะเผชิญกับความท้าทายมามากมาย แต่ก็มีข่าวดีให้ได้ชื่นใจ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ PIA เพิ่งรายงานผลกำไรก่อนหักภาษีเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการกลับมาเติบโตอีกครั้ง

ปัจจุบัน รัฐบาลปากีสถานได้รับความสนใจจากกลุ่มธุรกิจในประเทศถึง 5 รายที่ต้องการเข้าซื้อกิจการของ PIA ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Airblue, Lucky Cement, Arif Habib และ Fauji Fertilizer ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ โดยคาดว่าจะมีการยื่นเสนอราคาซื้อ PIA รอบสุดท้ายภายในปีนี้

การกลับมาของ สายการบินแห่งชาติปากีสถาน ในเส้นทางบินตรงสู่สหราชอาณาจักร ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมการบินของปากีสถาน รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย การเดินทางที่สะดวกสบายมากขึ้นจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้า ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

หลังจากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า PIA จะสามารถรักษามาตรฐานความปลอดภัยและพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารและกลับมาเป็นสายการบินชั้นนำอีกครั้ง

ที่มา – อังกฤษเลิกแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถาน บินตรงได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี

อังกฤษเล็งยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง จริงหรือ?

เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังพิจารณามาตรการที่น่าสนใจ นั่นคือการ ยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลกให้เข้ามาทำงานและสร้างสรรค์เศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งนับเป็นการเดินหมากที่สวนทางกับนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B อย่างมาก

ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ระบุว่า คณะทำงานของสตาร์เมอร์กำลังเร่งจัดทำข้อเสนอเพื่อดึงดูดบุคคลากรที่มีคุณภาพสูงจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน

แม้ว่าทางสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังของอังกฤษจะยังไม่ได้ออกมายืนยันหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับข่าวนี้ แต่ก็สร้างความฮือฮาและความสนใจในวงกว้างถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านวีซ่า

อังกฤษเล็งยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเข้าเมือง โดยมีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B สำหรับบริษัทต่างชาติจากหลักพันดอลลาร์ขึ้นไปเป็น 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อคัดกรองบุคลากรที่มีทักษะสูงที่จำเป็นจริงๆ และป้องกันการเข้ามาแย่งงานของแรงงานชาวอเมริกัน

ทำไมนโยบายยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูงถึงสำคัญ?

การตัดสินใจของอังกฤษในการพิจารณา ยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง นั้นสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับการดึงดูดผู้มีความสามารถจากต่างประเทศ ในขณะที่สหรัฐฯ มุ่งเน้นการปกป้องแรงงานในประเทศ อังกฤษกลับมองว่าการเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีทักษะสูงจากทั่วโลกเข้ามาทำงานและสร้างสรรค์ในประเทศ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

แน่นอนว่าการ ยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง อาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือจะช่วยดึงดูดผู้ที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในอังกฤษมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในประเทศ นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขา

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็คืออาจทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดแรงงานและอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานชาวอังกฤษเอง

ดังนั้น หากอังกฤษตัดสินใจที่จะ ยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง จริง ก็จำเป็นต้องมีการพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชน

การแข่งขันในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูงกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในระดับโลก และนโยบายด้านวีซ่าก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของบุคลากรเหล่านั้น ไม่ว่าอังกฤษจะตัดสินใจอย่างไร ก็จะเป็นที่จับตามองของนานาชาติและส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะสูงในอนาคต

ที่มา – อังกฤษเล็งยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง สวนทางสหรัฐฯ ขึ้นค่าธรรมเนียมกระฉูด

สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้

สถานการณ์โลกกำลังร้อนระอุ! สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานตรงกันว่า อังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ข่าวนี้สะพัดไปทั่ว สร้างความฮือฮาในแวดวงการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งมีท่าทีต่อต้านแนวคิดดังกล่าว ได้เสร็จสิ้นภารกิจเยือนอังกฤษและเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาไปเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา

สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม สำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ออกมาเรียกร้องให้อิสราเอล ดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อยุติ “สถานการณ์อันเลวร้ายในกาซา” พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในระยะยาว หากไม่เป็นเช่นนั้น รัฐบาลอังกฤษจะพิจารณาให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ภายในเดือนกันยายน เพื่อ “ปกป้องความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาด้วยแนวทางสองรัฐ” ซึ่งเป็นแนวทางที่นานาชาติให้การสนับสนุน

เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เคยแสดงความกังวลว่า “ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า การแก้ปัญหาด้วยแนวทางสองรัฐกำลังถอยหลัง และดูห่างไกลความจริงยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาในรอบหลายปี” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่อังกฤษมองเห็นในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้

ทำไมข่าว สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้ ถึงสำคัญ?

หากอังกฤษประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ในช่วงสุดสัปดาห์นี้จริง จะถือว่าเร็วกว่าที่นายสตาร์เมอร์เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าวว่า หากอิสราเอลไม่ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในกาซา อังกฤษจะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-30 กันยายน ที่นครนิวยอร์ก

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ จะมีการประชุมนานาชาติระดับสูงว่าด้วยการระงับข้อพิพาทอย่างสันติในปาเลสไตน์และการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ ในวันที่ 22 กันยายน โดยมีฝรั่งเศสและซาอุดีอาระเบียเป็นประธานการประชุมร่วม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหานี้

การตัดสินใจของอังกฤษในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และอาจเป็นแรงผลักดันให้ประเทศอื่นๆ หันมาพิจารณาให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ทางการเมืองของภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้

การที่ สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้ ตอกย้ำถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในเร็ววัน การตัดสินใจครั้งนี้ของอังกฤษสร้างความสนใจและความคาดหวังไปทั่วโลก หลายฝ่ายจับตาดูท่าทีของนานาชาติและผลกระทบที่จะตามมาอย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่า การรับรองรัฐปาเลสไตน์ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคที่บอบช้ำจากสงครามมาอย่างยาวนาน

การตัดสินใจของอังกฤษครั้งนี้ ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ ที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของปาเลสไตน์และตะวันออกกลางไปตลอดกาล

ที่มา – สื่อนอกตีข่าว อังกฤษจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์สุดสัปดาห์นี้

Google ทุ่ม 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ สร้างงาน!

กูเกิล (Google) ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักร มูลค่ากว่า 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มุ่งหวังจะช่วยสร้างงานกว่า 8,000 ตำแหน่งต่อปี การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีการประกาศข้อตกลงและความร่วมมือทางธุรกิจที่สำคัญอีกหลายรายการ

นอกจากการลงทุนในภาพรวมแล้ว กูเกิลยังได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงลอนดอน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน

ศูนย์ข้อมูล Waltham Cross แห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงลอนดอนเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยอากาศที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในการระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ยังสามารถส่งความร้อนที่เกิดจากกระบวนการทำงานไปยังบ้านเรือนหรือธุรกิจที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอีกด้วย

นอกจากนี้ กูเกิลยังได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทเชลล์ (Shell) เพื่อสนับสนุนความมั่นคงของโครงข่ายพลังงานและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของสหราชอาณาจักร โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

กูเกิลคาดการณ์ว่า การดำเนินงานในสหราชอาณาจักรจะสามารถใช้พลังงานสะอาดได้เกือบ 95% ภายในปี 2569 จากโครงการพลังงานสะอาดต่างๆ และความร่วมมือกับบริษัทเชลล์ การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอังกฤษ กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกา กูเกิลยังระบุว่า การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะสร้างงานในธุรกิจของสหราชอาณาจักรได้ถึงปีละ 8,250 ตำแหน่ง

การประกาศลงทุนครั้งใหญ่นี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาลพรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ซึ่งกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาและเพิ่มคะแนนนิยมในผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ

การเยือนสหราชอาณาจักรของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังคาดว่าจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จะมีการประกาศข้อตกลงทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้งสองประเทศ

Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี

การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ Google ต่อศักยภาพของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกไปยังนักลงทุนรายอื่นๆ ให้พิจารณาลงทุนในสหราชอาณาจักรต่อไป

ทำไม Google ถึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในอังกฤษ?

ปัจจัยที่น่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ Google ได้แก่ ความพร้อมของบุคลากรที่มีทักษะ ความแข็งแกร่งของระบบนิเวศด้านเทคโนโลยี และการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ การที่สหราชอาณาจักรเป็นประตูสู่ตลาดยุโรปก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google พิจารณาด้วย

การลงทุนของ Google ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหราชอาณาจักรในระยะยาว

การที่ Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี นั้นเป็นการลงทุนที่สำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างงานเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ Google ต่อศักยภาพของสหราชอาณาจักร

สิ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยี และจะช่วยให้สหราชอาณาจักรกลายเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกได้หรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป

โดยสรุปแล้ว การที่กูเกิล ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี เป็นข่าวดีสำหรับทั้งสหราชอาณาจักรและ Google เอง การลงทุนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ

ที่มา – Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี

อังกฤษ-สหรัฐฯ ร่วมมือพลังงานนิวเคลียร์ สัปดาห์นี้

รัฐบาลอังกฤษประกาศข่าวสำคัญ! เตรียมลงนามความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์กับสหรัฐอเมริกา ในสัปดาห์ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนอังกฤษ ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาพลังงานสะอาดและมั่นคงของอังกฤษ

อังกฤษ-สหรัฐฯ เตรียมลงนามร่วมมือพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่างทรัมป์เดินทางเยือนสัปดาห์นี้

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษได้ผลักดันการขยายพลังงานนิวเคลียร์อย่างจริงจัง โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงทุนถึง 1.4 หมื่นล้านปอนด์ (ประมาณ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่ Sizewell C ในเทศมณฑลซัฟฟอล์ก นอกจากนี้ ยังมีแผนสนับสนุนบริษัทโรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce Plc) ในการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) อีกด้วย

ประธานาธิบดีทรัมป์มีกำหนดการเดินทางถึงอังกฤษในวันอังคารที่ 16 กันยายน เพื่อเริ่มภารกิจเยือนเป็นเวลาสองวัน ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ เขาและนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ จะร่วมกันประกาศความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการยกระดับโครงการและการลงทุนใหม่ ๆ รวมถึงแผนการลงทุนของบริษัทเอ็กซ์-เอ็นเนอร์จี (X-Energy) จากสหรัฐอเมริกา และบริษัทเซนตริกา (Centrica) จากอังกฤษ เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าแบบ SMR จำนวนมากถึง 12 โรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ

รายละเอียดเพิ่มเติมในแถลงการณ์ระบุว่า แผนการลงทุนนี้ยังรวมถึงโครงการพัฒนาศูนย์ข้อมูลขั้นสูง มูลค่า 1.1 หมื่นล้านปอนด์ (ประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR ที่จะสร้างขึ้นใหม่ แทนที่โรงไฟฟ้าถ่านหินเดิมในภาคกลางของอังกฤษ โครงการนี้เป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทโฮลเทค อินเตอร์เนชันแนล (Holtec International) จากสหรัฐอเมริกา, อีดีเอฟ (EDF) จากฝรั่งเศส และไตรแท็กซ์ (Tritax) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์

ความพิเศษของข้อตกลงความร่วมมืออังกฤษ-สหรัฐฯ เตรียมลงนามร่วมมือพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่างทรัมป์เดินทางเยือนสัปดาห์นี้ ในครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงกฎระเบียบด้านนิวเคลียร์อีกด้วย นั่นหมายความว่า หากโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยในประเทศใดประเทศหนึ่ง อีกประเทศหนึ่งก็สามารถนำผลการตรวจสอบนั้นมาใช้เพื่อสนับสนุนการตรวจสอบของตนเองได้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการออกใบอนุญาตจากเดิม 3-4 ปี เหลือเพียง 2 ปีเท่านั้น

ทำไมความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ครั้งนี้ถึงสำคัญ?

ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคม ประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์ได้หารือกันเกี่ยวกับการกระชับความร่วมมือด้าน SMR ในระหว่างที่ผู้นำทั้งสองได้พบกันระหว่างที่ทรัมป์เดินทางไปพักผ่อนและตีกอล์ฟที่รีสอร์ตของเขาในสกอตแลนด์ การหารือในครั้งนั้นนำมาสู่ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์

พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและมีความเสถียรสูง ซึ่งสามารถช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่และขนาดเล็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน

  • ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีนิวเคลียร์
  • สร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • สร้างความมั่นคงทางพลังงาน

ความร่วมมืออังกฤษ-สหรัฐฯ เตรียมลงนามร่วมมือพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่างทรัมป์เดินทางเยือนสัปดาห์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อตกลงทางการเมือง แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง

สรุปแล้ว ความร่วมมือนี้จะนำมาซึ่งการลงทุนจำนวนมหาศาล เทคโนโลยีที่ทันสมัย และความเชี่ยวชาญที่จะช่วยให้ทั้งสองประเทศบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังทั่วโลกว่า พลังงานนิวเคลียร์ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

สำหรับประเทศไทย การติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจมีโอกาสในการเรียนรู้และนำเทคโนโลยีบางอย่างมาปรับใช้เพื่อพัฒนาพลังงานของประเทศได้ในอนาคต

ที่มา – อังกฤษ-สหรัฐฯ เตรียมลงนามร่วมมือพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่างทรัมป์เดินทางเยือนสัปดาห์นี้

รมว.ต่างประเทศอังกฤษเยือนยูเครน ช่วยเหลือรัสเซีย

รมว.ต่างประเทศอังกฤษเยือนยูเครน! อิเวตต์ คูเปอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ เดินทางเยือนกรุงเคียฟของยูเครนในวันนี้ (12 ก.ย.) นับเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง การเดินทางครั้งนี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของอังกฤษที่มีต่อยูเครน พร้อมให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในช่วงฤดูหนาว มูลค่าถึง 142 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 192.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ!

แพ็กเกจความช่วยเหลือเพิ่มเติมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยแบ่งเป็น 100 ล้านปอนด์สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชุมชนแนวหน้า และอีก 42 ล้านปอนด์ สำหรับการซ่อมแซมและปกป้องระบบพลังงานสำคัญต่างๆ ที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง

การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์โดรนของรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าของนาโตในโปแลนด์ สร้างความกังวลไปทั่วภูมิภาค

คูเปอร์มีกำหนดการที่จะเข้าพบกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครน เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นของอังกฤษในการปกป้องยูเครนจากการรุกรานของรัสเซียอย่างแข็งขัน เธอย้ำว่าความมั่นคงของยูเครนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหราชอาณาจักรเอง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (10 ก.ย.) อังกฤษได้ประกาศแผนการผลิตโดรนสกัดกั้นจำนวนมาก ซึ่งได้รับการออกแบบโดยยูเครน เพื่อช่วยในการต่อต้านการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนของรัสเซีย นี่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศที่แน่นแฟ้นระหว่างสหราชอาณาจักรและยูเครน

รมว.ต่างประเทศอังกฤษเยือนยูเครน

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด การช่วยเหลือจากนานาชาติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ และสนับสนุนให้ยูเครนสามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่ออธิปไตยของตนเองต่อไปได้

ทำไมการเยือนยูเครนของ รมว.ต่างประเทศอังกฤษถึงสำคัญ?

การเดินทางเยือนยูเครนของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศ และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังรัสเซียว่า อังกฤษจะไม่ยอมรับการรุกรานยูเครน และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกวิถีทางเพื่อปกป้องยูเครน

ความช่วยเหลือทางการเงินและทางทหารที่อังกฤษมอบให้ จะช่วยให้ยูเครนสามารถเสริมสร้างศักยภาพในการป้องกันตนเอง และรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  • การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
  • การซ่อมแซมและปกป้องระบบพลังงานจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงไฟฟ้าและความร้อนได้อย่างต่อเนื่อง
  • การผลิตโดรนสกัดกั้นจะช่วยป้องกันการโจมตีทางอากาศจากรัสเซีย

แน่นอนว่าสถานการณ์ในยูเครนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากนานาชาติ และความมุ่งมั่นของประชาชนชาวยูเครน ผมเชื่อว่ายูเครนจะสามารถเอาชนะความท้าทายนี้ไปได้อย่างแน่นอน และกลับคืนสู่ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองได้ในที่สุด

สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนเป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นคุณค่าของสันติภาพ และความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ผมหวังว่าสถานการณ์ในยูเครนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นในเร็ววัน และโลกของเราจะปราศจากสงครามและความขัดแย้ง

ที่มา – รมว.ต่างประเทศอังกฤษเยือนยูเครน ยืนยันช่วยปกป้องจากรัสเซียพร้อมมอบเงินช่วยเหลือ