ออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย-ปาปัวฯ เซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก”

ออสเตรเลียและปาปัวนิวกินีได้ลงนามในข้อตกลงด้านกลาโหมฉบับใหม่ร่วมกันเป็นฉบับแรกในรอบกว่า 70 ปี ในชื่อสนธิสัญญา “ปุ๊กปุ๊ก” (Pukpuk) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นหมายถึง “จระเข้” ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ออสเตรเลียพยายามสกัดกั้นการขยายอิทธิพลด้านความมั่นคงของจีนในภูมิภาคแปซิฟิก

สนธิสัญญาปุ๊กปุ๊กมีสาระสำคัญคือทั้งสองประเทศจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันหากถูกโจมตี และยังเปิดทางให้ชาวปาปัวนิวกินีถึง 10,000 คน สามารถเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพออสเตรเลียตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย กล่าวกับสื่อมวลชนในกรุงแคนเบอร์ราว่า “นี่คือข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์” และเสริมว่า “การที่เราเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาค ก็เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศเราเอง”

อัลบาเนซีกล่าวด้วยว่า ทั้งสองชาติตกลง “จะไม่ทำสิ่งใด หรือทำข้อตกลงใด ๆ กับใคร ที่จะกระทบต่อการเดินหน้าสนธิสัญญาฉบับนี้”

ด้านนายกรัฐมนตรีเจมส์ มาราเป ของปาปัวนิวกินี กล่าวว่า “สนธิสัญญานี้ไม่ได้เกิดจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์หรือเหตุผลอื่น แต่มาจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความจริงที่ว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกันมาตลอด”

อย่างไรก็ตาม มาราเปย้ำว่า “เรายังคงรักษาความสัมพันธ์กับจีนและชาติอื่น ๆ เช่นเดิม”

ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก”

การลงนามในสนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคแปซิฟิก การที่ปาปัวนิวกินียืนยันว่าจะยังคงรักษาความสัมพันธ์กับจีนและชาติอื่นๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและต้องติดตามต่อไปว่าความสัมพันธ์เหล่านี้จะดำเนินไปในทิศทางใด

ความสำคัญของสนธิสัญญา “ปุ๊กปุ๊ก”

สนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองประเทศและต่อภูมิภาคโดยรวม สนธิสัญญานี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน แต่ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ

สำหรับออสเตรเลีย สนธิสัญญา “ปุ๊กปุ๊ก” เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาอิทธิพลในภูมิภาคแปซิฟิกและการตอบโต้กับการขยายอิทธิพลของจีน สำหรับปาปัวนิวกินี สนธิสัญญานี้เป็นการรับประกันความมั่นคงและความปลอดภัยในระยะยาว และเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการฝึกฝนและพัฒนาทักษะในกองทัพออสเตรเลีย

นอกจากนี้ สนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและการสร้างเครือข่ายความมั่นคงที่แข็งแกร่งในแปซิฟิกใต้ การที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคร่วมมือกันจะช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ การก่อการร้าย หรืออาชญากรรมข้ามชาติ

ในอนาคต เราอาจได้เห็นการลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงในลักษณะเดียวกันระหว่างออสเตรเลียกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก การสร้างเครือข่ายความมั่นคงที่ครอบคลุมจะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคโดยรวม

โดยสรุป สนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและความร่วมมือในภูมิภาคแปซิฟิก การติดตามพัฒนาการของสนธิสัญญานี้และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ที่มา – ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” ครั้งประวัติศาสตร์

ออสเตรเลียยืนยัน พาราเซตามอลปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์

เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียออกมายืนยันว่า พาราเซตามอลปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์ ตอบโต้ข้อกล่าวอ้างจากสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงยาแก้ปวดชนิดนี้กับโรคออทิสติก การยืนยันนี้สร้างความมั่นใจให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดลดไข้

ออสเตรเลียยืนยัน พาราเซตามอลปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์

องค์การกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพของออสเตรเลีย (TGA) ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมโยงการใช้พาราเซตามอลกับโรคออทิสติกหรือความผิดปกติทางพัฒนาการของระบบประสาท TGA ระบุว่ายาพาราเซตามอลจัดอยู่ในกลุ่มยาสำหรับหญิงตั้งครรภ์ประเภท A ซึ่งหมายความว่ายานี้ถือว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ในออสเตรเลีย

“การใช้ยาระหว่างตั้งครรภ์ต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วน” TGA กล่าว “เราพิจารณาข้อมูลทางคลินิก วิทยาศาสตร์ และพิษวิทยา ณ เวลาที่จดทะเบียนยาในออสเตรเลีย”

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวอ้างถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้พาราเซตามอลในสตรีมีครรภ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคออทิสติกในทารก ทำให้เกิดความกังวลในวงกว้าง

สมาคมแพทย์ออสเตรเลีย (AMA) ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวอ้างดังกล่าว โดยแนะนำให้ประชาชนปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง

แดเนียล แมคมัลเลน ประธาน AMA กล่าวว่า “เราพยายามจำกัดการใช้พาราเซตามอลในสตรีมีครรภ์ให้น้อยที่สุด เช่นเดียวกับยาอื่นๆ แต่สำหรับอาการปวดและเป็นไข้ ออสเตรเลียยังคงยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลและปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์”

ทำไมออสเตรเลียจึงยืนยันว่า พาราเซตามอลปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์

การยืนยันดังกล่าวมาจากกระบวนการตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยของยาอย่างเข้มงวดในออสเตรเลีย TGA พิจารณาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และคลินิกที่มีอยู่ทั้งหมดก่อนที่จะอนุมัติให้ใช้ยาในกลุ่มประชากรต่างๆ รวมถึงสตรีมีครรภ์

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาใดๆ ในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงพาราเซตามอล เพื่อให้แน่ใจว่ายาเหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะบุคคลและไม่มีความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

พาราเซตามอลเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการบรรเทาอาการปวดและลดไข้ การรับประทานยาตามขนาดที่แนะนำโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่การใช้ยาเกินขนาดอาจเป็นอันตรายได้

สำหรับสตรีมีครรภ์ การใช้ยาใดๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ การตัดสินใจใช้พาราเซตามอลควรพิจารณาจากประโยชน์ที่ได้รับและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

การยืนยันความปลอดภัยของพาราเซตามอลโดยหน่วยงานออสเตรเลียถือเป็นข่าวดีสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำส่วนบุคคลยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ที่มา – ออสเตรเลียยืนยันพาราเซตามอลปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์ หลังสหรัฐฯ โยงเอี่ยวออทิสติก

ออสเตรเลียจ้างงานลด ส.ค. แต่ว่างงาน 4.2%

ข่าวเศรษฐกิจวันนี้ที่น่าจับตามองคือสถานการณ์ในออสเตรเลีย! สำนักงานสถิติแห่งชาติของออสเตรเลียรายงานว่า แม้ ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. แต่อัตราว่างงานยังทรงตัวที่ 4.2% มาเจาะลึกรายละเอียดกันครับ

ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค.

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ภาพรวมการจ้างงานจะลดลงเล็กน้อย แต่ก็มีความน่าสนใจซ่อนอยู่ โดยอัตราว่างงานของออสเตรเลียในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 4.2% ซึ่งเท่ากับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความคงที่ในตลาดแรงงาน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงภายใน

การจ้างงานพนักงานเต็มเวลาลดลงถึง 40,900 ตำแหน่ง แต่ในทางกลับกัน การจ้างงานพนักงานไม่เต็มเวลา (พนักงานพาร์ตไทม์) กลับเพิ่มขึ้น 35,500 ตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ตัวเลขจ้างงานโดยรวมปรับตัวลดลง 5,400 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบรายเดือน แต่เมื่อมองภาพรวม 12 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้นถึง 217,200 ตำแหน่ง

ในเดือนกรกฎาคม เราเห็นการจ้างงานพนักงานเต็มเวลาเพิ่มขึ้นถึง 60,500 ตำแหน่ง และตัวเลขจ้างงานโดยรวมปรับตัวขึ้นถึง 24,500 ตำแหน่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน

นอกจากนี้ อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน และอัตราส่วนผู้มีงานทำต่อประชากร ต่างลดลง 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ในเดือนสิงหาคม สู่ระดับ 66.8% และ 64.0% ตามลำดับ

ฌอน คริก หัวหน้าฝ่ายสถิติแรงงานของสำนักงานสถิติฯ กล่าวว่า จำนวนชั่วโมงทำงานทั้งหมดของชาวออสเตรเลียลดลง 0.4% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการจ้างงานเต็มเวลาที่ลดลง

ทำไมถึงต้องจับตาดูตัวเลขการจ้างงาน?

ตัวเลขการจ้างงานเป็นดัชนีสำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพเศรษฐกิจโดยรวม หากการจ้างงานลดลง อาจส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทางกลับกัน หากการจ้างงานเพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. จึงเป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ

  • การจ้างงานเต็มเวลา vs ไม่เต็มเวลา: การเปลี่ยนแปลงระหว่างการจ้างงานเต็มเวลาและไม่เต็มเวลาสามารถบ่งบอกถึงความมั่นคงของงานและความพึงพอใจของลูกจ้าง
  • อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน: อัตราที่ลดลงอาจบ่งบอกถึงความท้อแท้ของผู้ที่กำลังหางาน หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
  • จำนวนชั่วโมงทำงาน: การลดลงของจำนวนชั่วโมงทำงานอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้คนและการใช้จ่ายโดยรวม

สถานการณ์ ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. นี้อาจมีผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล รวมถึงทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต นักลงทุนและผู้ประกอบการควรติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

ถึงแม้ว่าตัวเลข ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. จะดูไม่สดใสนัก แต่การที่อัตราว่างงานยังคงทรงตัวแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดแรงงานออสเตรเลีย และยังคงต้องติดตามสถานการณ์นี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ที่มา – ออสเตรเลียจ้างงานลดลง 5,400 ตำแหน่งเดือนส.ค. แต่อัตราว่างงานทรงตัว 4.2%

ออสเตรเลียทุ่ม 6 พันล้านดอลลาร์ รับมือภัยโลกร้อนปี 73

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศแผนการใช้จ่ายครั้งใหญ่ถึง 9 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยโลกร้อนภายในปี 2573 ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นเรื่อย ๆ

National Adaptation Plan ระบุว่า งบประมาณก้อนโตนี้จะถูกจัดสรรไปในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมที่ทันสมัย การฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญ การสนับสนุนและช่วยเหลือภาคการเกษตรให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงการจัดการกับผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีรายงานเตือนว่า หากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปีเลยทีเดียว

คริส โบเวน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของออสเตรเลีย กล่าวว่า ไม่มีชุมชนใดในออสเตรเลียที่จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนจัด น้ำท่วมฉับพลัน พายุไซโคลนรุนแรง ภัยแล้งยาวนาน หรือไฟป่าที่ยากจะควบคุม

รัฐมนตรีโบเวนยังเน้นย้ำว่า ทุก ๆ องศาที่เราสามารถชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ จะช่วยลดผลกระทบที่เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลังได้ พร้อมทั้งกล่าวถึงความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการลงทุนในด้านพลังงานสะอาดของออสเตรเลียที่สูงเป็นประวัติการณ์

แผนการใช้จ่ายครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ออสเตรเลียกำลังเตรียมที่จะประกาศเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปี 2578 และยังเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (UN) ในปีหน้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่มได้เรียกร้องให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่เข้มข้นและมีความทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ประเทศต้องเผชิญกับภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี

ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก และยังเป็นผู้ส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 71% ภายในปี 2578 หากต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในกลางศตวรรษนี้

ออสเตรเลียทุ่ม 6 พันล้านดอลลาร์ รับมือภัยโลกร้อนภายในปี 2573

ความมุ่งมั่นของออสเตรเลียในการรับมือภัยโลกร้อนแสดงให้เห็นถึงความตระหนักถึงปัญหาเร่งด่วนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ทำไมออสเตรเลียต้องรับมือภัยโลกร้อนภายในปี 2573

เหตุผลสำคัญที่ออสเตรเลียต้องเร่งรับมือภัยโลกร้อนอย่างจริงจังภายในปี 2573 มีดังนี้:

  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน พืชผลทางการเกษตร และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
  • ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: คลื่นความร้อนและมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว
  • ความหลากหลายทางชีวภาพ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคุกคามระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ของออสเตรเลีย รวมถึงแนวปะการัง Great Barrier Reef และผืนป่า Eucalyptus

การรับมือภัยโลกร้อนภายในปี 2573 ไม่ใช่แค่เรื่องของออสเตรเลียเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกประเทศทั่วโลก การลงทุนในพลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันทำเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

ที่มา – ออสเตรเลียทุ่ม 6 พันล้านดอลลาร์ รับมือภัยโลกร้อนภายในปี 2573

ออสซี่จับมือสหรัฐฯ: ตัวแทนบริษัทเหมืองแร่สำคัญหารือ

เตรียมพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการเหมืองแร่! ตัวแทนจากบริษัทเหมืองแร่สำคัญของออสเตรเลียกว่า 20 แห่ง เตรียมเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือความร่วมมือและสร้างโอกาสใหม่ ๆ งานนี้มีบริษัทไนร์สตาร์ (Nyrstar) ในเครือทราฟิกูราร่วมเดินทางไปด้วย คณะผู้แทนนำโดยคณะกรรมาธิการการค้าและการลงทุนของออสเตรเลีย (Austrade) และมีกำหนดการพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในนิวยอร์กและวอชิงตัน

ตัวแทนบริษัทเหมืองแร่สำคัญออสซี่เตรียมเดินทางไปสหรัฐฯ หารือความร่วมมือ

การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโทนี อัลบาเนซี และประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งสองได้พูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทเหมืองแร่สำคัญของทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ออสเตรเลียแสดงความต้องการที่จะพบกับปธน.ทรัมป์ ในขณะที่นายกฯ อัลบาเนซีมีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์กในปลายเดือนนี้

ออสเตรเลียกำลังพยายามที่จะเป็นซัพพลายเออร์แร่ธาตุที่สำคัญแก่ประเทศพันธมิตรตะวันตก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เป็นทางเลือกแทนที่จีน สหรัฐฯ เองก็กำลังจัดสรรงบประมาณเพื่อขยายอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และกลาโหม โดยมีข่าวลือว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะโยกย้ายงบประมาณอย่างน้อย 2 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act ไปลงทุนในโครงการเหมืองแร่สำคัญ

ทำไมการหารือเรื่องเหมืองแร่สำคัญจึงมีความสำคัญ?

ไนร์สตาร์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลียให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตแร่ธาตุที่สำคัญสี่ชนิดจากโรงถลุงเก่าสองแห่ง ซึ่งรวมถึงแร่พลวงที่ใช้ในการผลิตกระสุน (Antimony) ซึ่งจีนได้จำกัดการส่งออกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามแผน การประชุมครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความเข้าใจลำดับความสำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ สร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ และเปิดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

บริษัทเหมืองแร่อื่น ๆ ที่จะเข้าร่วมการประชุม ได้แก่ พิลบารา มิเนอรัลส์ (Pilbara Minerals) ผู้ผลิตลิเทียมรายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย, อินเตอร์เนชันแนล กราไฟต์ (International Graphite) และ โคบอลต์ บลู (Cobalt Blue) ตัวแทนของบริษัทเหล่านี้ยืนยันว่าจะเข้าร่วมการประชุมในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีการค้าของออสเตรเลีย ดอน ฟาร์เรล และรัฐมนตรีทรัพยากรของออสเตรเลีย มาเดอลีน คิง จะไม่ได้เดินทางไปกับคณะผู้แทน

ความร่วมมือระหว่างออสเตรเลียและสหรัฐฯ ในด้านแร่ธาตุที่สำคัญมีอยู่แล้ว และตามกฎหมายที่ได้รับการอนุมัติในปลายปี 2566 แหล่งแร่ของออสเตรเลียได้รับการพิจารณาว่าเป็นซัพพลายในประเทศสำหรับการจัดซื้อจัดจ้างด้านกลาโหมของสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมแบตเตอรี่และกลาโหมในอนาคต

อนาคตของความร่วมมือด้านเหมืองแร่สำคัญระหว่างออสเตรเลียและสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร? ต้องติดตามกันต่อไป!

ที่มา – ตัวแทนบริษัทเหมืองแร่สำคัญออสซี่เตรียมเดินทางไปสหรัฐฯ หารือความร่วมมือ

ผลผลิตนมออสเตรเลียจ่อหดตัวอีก เหตุภัยแล้ง

ราโบรีเสิร์ช (RaboResearch) ฝ่ายวิจัยของธนาคารราโบแบงก์ (Rabobank) ธนาคารเพื่อการเกษตรเปิดเผยรายงานว่า ผลผลิตนมออสเตรเลียจ่อหดตัวอีกจากเหตุภัยแล้ง–อาหารสัตว์ขาดแคลน สวนทางซัพพลายนมโลกพุ่ง ในฤดูกาลนี้ ขณะที่ปริมาณนมทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นในภูมิภาคสำคัญที่ส่งออกนมไปต่างประเทศ

รายงานคาดการณ์ว่า ผลผลิตนมออสเตรเลียจ่อหดตัวอีกจากเหตุภัยแล้ง–อาหารสัตว์ขาดแคลน สวนทางซัพพลายนมโลกพุ่ง ตลอดฤดูกาล 2568/69 จะลดลง 1.7% เหลือ 8.05 พันล้านลิตร หลังจากที่ฤดูกาล 2567/68 ลดลง 0.7% เมื่อเทียบรายปี

ไมเคิล ฮาร์วีย์ นักวิเคราะห์อาวุโสด้านอุตสาหกรรมนมของราโบรีเสิร์ชเปิดเผยว่า ผลผลิตที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากภาวะแห้งแล้งและการขาดแคลนอาหารสัตว์ โดยเฉพาะในรัฐวิกตอเรียและรัฐแทสเมเนีย ซึ่งผลผลิตเดือนก.ค. ต้นฤดูกาล 2568/69 ลดลงไปแล้ว 4%

อย่างไรก็ดี ฮาร์วีย์ระบุว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า หลายภูมิภาคจะมีฝนตกมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า

ฮาร์วีย์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ราคาฟางที่พุ่งสูงยังเป็นแรงกดดันหลักต่อผู้เลี้ยงโคนมในตลาดภายในประเทศ เนื่องจากอุปสงค์แข็งแกร่ง แต่มีอุปทานจำกัด

ส่วนราคานมดิบหน้าฟาร์มของออสเตรเลียสำหรับฤดูกาล 2568/69 อยู่สูงกว่าฤดูกาลก่อนราว 10% ที่ระดับ 9 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (5.94 ดอลลาร์) ต่อกิโลกรัมของสารนม (kgMS) หรือมากกว่า

สำหรับตลาดโลก ปริมาณนมเพิ่มขึ้นในภูมิภาคของผู้ส่งออกหลัก ๆ โดยรายงานคาดว่า อุปทานนมใน 7 ประเทศผู้ส่งออกนมรายใหญ่ ได้แก่ นิวซีแลนด์ สหภาพยุโรป (EU) อาร์เจนตินา อุรุกวัย บราซิล สหรัฐฯ และออสเตรเลีย จะเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบรายปีในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ก่อนชะลอลงเหลือ 1.1% ในปี 2569

ผลผลิตนมออสเตรเลียจ่อหดตัวอีก เหตุภัยแล้ง

สถานการณ์ ผลผลิตนมออสเตรเลียจ่อหดตัวอีกจากเหตุภัยแล้ง–อาหารสัตว์ขาดแคลน สวนทางซัพพลายนมโลกพุ่ง นี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดนมทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในออสเตรเลียกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคอาจต้องเผชิญกับราคานมที่สูงขึ้นตามไปด้วย การจัดการปัญหาภัยแล้งและการจัดหาอาหารสัตว์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมนม

ปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตนมออสเตรเลีย

  • ภัยแล้งที่รุนแรงและต่อเนื่อง
  • ราคาอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น
  • ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ

นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันผลผลิตนมออสเตรเลียจ่อหดตัวอีกจากเหตุภัยแล้ง–อาหารสัตว์ขาดแคลน สวนทางซัพพลายนมโลกพุ่ง ผู้ผลิตนมในออสเตรเลียจะต้องปรับตัวและพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

ความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมนมของออสเตรเลีย

ที่มา – ผลผลิตนมออสซี่จ่อหดตัวอีกจากเหตุภัยแล้ง–อาหารสัตว์ขาดแคลน สวนทางซัพพลายนมโลกพุ่ง

ออสเตรเลียออกกฎคุมเข้มออนไลน์ ปกป้องเด็กจากภัย AI

หน่วยงานกำกับดูแลออสเตรเลียออกกฎคุมเข้มออนไลน์ เพื่อปกป้องเด็กจากภัยของ AI โดยประกาศกฎระเบียบกำกับดูแลบริการต่าง ๆ ชุดใหม่ ครอบคลุมบริการออนไลน์หลากหลายประเภท รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์เกม และบริการ AI ซึ่งมีโทษปรับสูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมเผยว่า แชตบอต (chatbot) ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นเป็นภัยอันตรายต่อตัวเด็กได้ เพราะอาจให้ข้อมูลที่สนับสนุนการฆ่าตัวตายหรือการสนทนาที่มีเนื้อหาล่อแหลมทางเพศ

จูลี อินแมน แกรนท์ กรรมาธิการด้านความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ (eSafety) ของออสเตรเลีย ระบุในแถลงการณ์ว่า เด็ก ๆ เจอกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับวัยมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมยกตัวอย่างถึงกรณีที่มีเด็กวัย 10 ขวบสนทนาโดยมีเนื้อหาล่อแหลมทางเพศกับ AI

“ดิฉันไม่ต้องการให้เด็กและเยาวชนออสเตรเลียตกเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีทรงพลังที่ถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดโดยไม่มีมาตรการป้องกัน” อินแมน แกรนท์ กล่าว

กฎระเบียบต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นมาตรการล่าสุดเพื่อจำกัดการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งห้ามมิให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้งานโซเชียลมีเดีย โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค. ครอบคลุมบริการต่าง ๆ รวมถึงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และยูทูบ

ออสเตรเลียออกกฎคุมเข้มออนไลน์ ปกป้องเด็กจากภัย AI

การตัดสินใจของหน่วยงานกำกับดูแลออสเตรเลียที่ออกกฎคุมเข้มออนไลน์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตระหนักถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน การที่แชตบอต AI สามารถให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายหรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมได้นั้น เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด

กฎระเบียบใหม่นี้ไม่เพียงแต่กำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้พัฒนา AI และผู้ให้บริการเทคโนโลยี ว่าความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ต้องมาเป็นอันดับแรก การที่หน่วยงานกำกับดูแลสามารถสั่งปรับแพลตฟอร์มที่ละเมิดกฎได้สูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียนั้น แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

ทำไมออสเตรเลียจึงออกกฎคุมเข้มออนไลน์ เพื่อปกป้องเด็กจากภัย AI

การที่ออสเตรเลียออกกฎคุมเข้มออนไลน์ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความรู้แก่เด็กและผู้ปกครองเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

นอกเหนือจากการจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียสำหรับเยาวชนแล้ว การออกกฎคุมเข้มออนไลน์ยังครอบคลุมถึงการตรวจสอบและกำกับดูแลเนื้อหา AI อย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาดังกล่าวจะไม่ส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของเด็ก นอกจากนี้ การส่งเสริมการพัฒนา AI ที่มีความรับผิดชอบและคำนึงถึงจริยธรรม ก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างอนาคตที่ AI สามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างแท้จริง

การดำเนินการของออสเตรเลียในครั้งนี้ อาจเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ในการพิจารณาถึงความจำเป็นในการออกกฎคุมเข้มออนไลน์เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยี AI การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการปกป้องผู้ใช้งาน เป็นความท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญ และการที่ออสเตรเลียได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตของอินเทอร์เน็ต

ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ผู้พัฒนาเทคโนโลยี ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และผู้ปกครอง จะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน การเพิกเฉยต่อภัยคุกคามที่เกิดจาก AI ไม่ได้เป็นทางเลือกอีกต่อไป และการดำเนินการอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อปกป้องอนาคตของเยาวชนของเรา

ที่มา – หน่วยงานกำกับดูแลออสซี่ออกกฎคุมเข้มออนไลน์เพิ่ม ปกป้องเด็กจากภัยเงียบของ AI

รถชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์! ผู้ก่อเหตุถูกจับ

เกิดเหตุระทึกขวัญขึ้นที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อมีรถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ เมื่อวันที่ (ระบุวันที่) ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์และจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว

รถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์: รายละเอียดเหตุการณ์

เหตุการณ์รถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 8:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตำรวจได้รับแจ้งเหตุว่ามีรถยนต์ต้องสงสัยจอดอยู่บริเวณทางเข้าสถานกงสุล เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง คนขับรถคันดังกล่าวได้ขับรถพุ่งชนประตูรั้วของสถานกงสุล เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย

ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่น พบรถยนต์คันหนึ่งที่มีกระจกแตกจอดทิ้งไว้ใกล้กับเสาธงชาติรัสเซีย ซึ่งอยู่ในบริเวณสถานกงสุลรัสเซียที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองวูลลาห์รา

การจับกุมผู้ก่อเหตุ

ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ออกแถลงการณ์ว่า ได้จับกุมชายวัย 39 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุรถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ ในระหว่างการเข้าจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจวัย 24 ปี ได้รับบาดเจ็บที่มือเล็กน้อย และได้รับการรักษาพยาบาลแล้ว

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนแรงจูงใจในการก่อเหตุ และยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวผู้ก่อเหตุ

สถานการณ์ล่าสุดที่สถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

ผลกระทบและความคิดเห็น

เหตุการณ์รถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ นี้สร้างความตกใจให้กับผู้คนในพื้นที่ และทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานที่ทางการทูตต่างๆ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย

ทางสถานทูตรัสเซียยังไม่ออกมาแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างประเทศ สามารถส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้คนและสถานที่ต่างๆ ได้ทุกที่ เราหวังว่าการสอบสวนจะนำไปสู่การเปิดเผยความจริง และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเหตุการณ์รถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ ได้ที่เว็บไซต์ของเรา

ที่มา – เกิดเหตุรถพุ่งชนสถานกงสุลรัสเซียในซิดนีย์ ผู้ก่อเหตุถูกจับกุมแล้ว

สส.ออสเตรเลียฉุน! ถามเชื้อสายเลบานอน

สส.ออสเตรเลียฉุน! ถามเรื่องเชื้อสายเลบานอน ง้างหมัดขู่นักข่าว

เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในการแถลงข่าวที่บริสเบน ออสเตรเลีย เมื่อ สส. ออสเตรเลียฉุน! ถูกถามเรื่องเชื้อสายเลบานอน ถึงกับง้างหมัดขู่นักข่าวกลางวงแถลงข่าว สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อบ็อบ แคตเตอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาวุโส เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงหลังจากถูกนักข่าวซักถามเกี่ยวกับเชื้อสายเลบานอนของเขา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างการแถลงข่าวเกี่ยวกับประเด็นผู้อพยพ ซึ่งเป็นหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจในออสเตรเลีย

แคตเตอร์ ผู้ก่อตั้งพรรคแคตเตอร์ส ออสเตรเลียน ปาร์ตี้ ซึ่งเป็นพรรคที่เน้นนโยบายเพื่อเกษตรกรในชนบท กำลังแถลงข่าวเกี่ยวกับการเข้าร่วมการชุมนุมต่อต้านผู้อพยพที่มีชื่อว่า “มาร์ช ฟอร์ ออสเตรเลีย” ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ระหว่างการแถลงข่าวที่จัดขึ้นด้านนอกรัฐสภาแห่งรัฐควีนส์แลนด์ นักข่าวคนหนึ่งได้ตั้งคำถามที่จุดชนวนความโกรธของแคตเตอร์ว่า “คุณเองก็มีเชื้อสายเลบานอนไม่ใช่หรือครับ”

ทันทีที่ได้ยินคำถาม แคตเตอร์ตอบโต้ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “อย่ามาพูดเรื่องนี้! มันทำให้ผมฉุนขาด ผมเคยต่อยปากคนเพราะพูดแบบนี้มาแล้วนะ” พร้อมชี้นิ้วไปยังนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และกล่าวเสริมว่า “ตระกูลผมอยู่ที่นี่มา 140 ปีแล้ว”

แคตเตอร์ยังกล่าวด้วยว่า เขาพยายามอย่างมากที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ให้ลงมือชกนักข่าวคนดังกล่าว และกล่าวหาว่านักข่าวรายนี้เป็น “พวกเหยียดเชื้อชาติ” คำพูดและการกระทำของแคตเตอร์สร้างความไม่พอใจให้กับหลายฝ่าย

ปฏิกิริยาตอบโต้ต่อเหตุการณ์ สส. ออสเตรเลียฉุน!

ด้านนักข่าวที่ถูกขู่ทำร้ายร่างกายได้ออกแถลงการณ์ในภายหลังว่า “เกือบ 20 ปีในอาชีพนักข่าว ผมไม่เคยเจอปฏิกิริยาแบบนี้จากผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งมาก่อนเลย”

ฟิโอนา เดียร์ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวของสถานีโทรทัศน์ต้นสังกัดของนักข่าว กล่าวว่าการกระทำของแคตเตอร์เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และข้อกล่าวหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติก็ “ไร้มูลและเป็นการดูหมิ่น” พร้อมทั้งเรียกร้องให้แคตเตอร์ออกมาขอโทษสำหรับการกระทำของเขา

แคตเตอร์ วัย 80 ปี เป็น สส. ที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในออสเตรเลีย และเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกประหลาด ในปี 2560 เขาเคยให้สัมภาษณ์จนเป็นกระแสไวรัลหลังจากกล่าวว่าเขาไม่มีเวลามาถกเถียงเรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวกันเพราะ “ทุก ๆ สามเดือน มีคนถูกจระเข้ขย้ำตายในควีนส์แลนด์ตอนเหนือ”

บทสรุป: การเมืองและเชื้อชาติในออสเตรเลีย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ สส. ออสเตรเลียฉุน! ถูกถามเรื่องเชื้อสายเลบานอนนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของประเด็นเชื้อชาติในการเมืองออสเตรเลีย และความสำคัญของการเคารพซึ่งกันและกันในการสนทนาสาธารณะ แม้ว่าเรื่องราวนี้จะจบลงด้วยการขอโทษหรือไม่ก็ตาม แต่เป็นเครื่องเตือนใจว่าทุกคำพูดและการกระทำของนักการเมืองย่อมมีผลกระทบตามมาเสมอ

ที่มา – สส.ออสซี่ฉุนถูกถามเรื่องเชื้อสายเลบานอน กร่างง้างหมัดขู่นักข่าวกลางวงแถลง

ออสเตรเลียแฉ! อิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว สั่งเนรเทศทูต

ทางการออสเตรเลียเปิดโปงหลักฐานสำคัญที่ชี้ชัดว่ารัฐบาลอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุลอบวางเพลิงโบสถ์ยิวในนครเมลเบิร์น โดยหน่วยข่าวกรองสามารถแกะรอยเส้นทางการเงินที่ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ไปยังกลุ่มอาชญากรที่รับงาน ซึ่งนำไปสู่การประกาศขับเอกอัครราชทูตอิหร่านและเจ้าหน้าที่อีก 3 คนพ้นประเทศ นับเป็นมาตรการทางการทูตที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลียนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับ “อิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว” โดยตรง

การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้มีขึ้นหลังจากแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (26 ส.ค.) ว่า องค์การข่าวกรองความมั่นคงแห่งออสเตรเลีย (ASIO) มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ารัฐบาลอิหร่านเป็นผู้สั่งการเหตุโจมตีต่อต้านชาวยิวอย่างน้อย 2 ครั้งในซิดนีย์และเมลเบิร์น พร้อมประณามว่า “นี่คือการกระทำอันก้าวร้าวและเป็นภัยอย่างยิ่ง ซึ่งถูกบงการโดยรัฐต่างชาติบนแผ่นดินออสเตรเลีย”

นอกจากการเนรเทศนักการทูตแล้ว รัฐบาลออสเตรเลียยังได้สั่งระงับการดำเนินงานของสถานทูตในกรุงเตหะราน และเตรียมเดินหน้าขึ้นบัญชีกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่านให้เป็นองค์กรก่อการร้าย

สำหรับเบื้องหลังการสืบสวน ไมค์ เบอร์เจส ผู้อำนวยการ ASIO เปิดเผยว่า อิหร่านพยายามปกปิดร่องรอยโดยใช้ “ตัวกลาง” (cut outs) หลายทอดในการสั่งการและส่งเงินทุน ทำให้กลุ่มอาชญากรที่ลงมือในระดับท้องถิ่นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือผู้บงการที่แท้จริง โดยการสืบสวนได้แกะรอยย้อนกลับจาก “อาชญากรรายย่อย” ผ่านสายการชำระเงินทั้งในและนอกประเทศ จนสาวไปถึงตัวบุคคลในต่างแดนและกองกำลัง IRGC ได้ในที่สุด

ส่วนความคืบหน้าทางคดี ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (27 ส.ค.) ยูเนส อาลี ยูเนส วัย 20 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาคดีลอบวางเพลิงโบสถ์ยิว “อาดาสส์ อิสราเอล” (Adass Israel) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ปีก่อน ได้ถูกนำตัวขึ้นศาลแขวงเมลเบิร์น โดยภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นคนร้ายคลุมหน้า 3 คน ขนถังน้ำมันลงจากรถยนต์ Volkswagen Golf ที่ถูกขโมยมา ก่อนจะจุดไฟเผาโบสถ์แล้วหลบหนีไป โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้จับกุมโจวานนี ลาอูลู วัย 21 ปี ผู้ต้องหาร่วมอีกรายไปแล้ว

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของออสเตรเลียอย่างรุนแรง โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด พร้อมซัดกลับว่าออสเตรเลียกำลังเดินตามนโยบายของอิสราเอล เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจาก “การกระทำอันโหดร้าย” ในฉนวนกาซา และเตือนว่าอิหร่านอาจใช้มาตรการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

ทั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคงของชาติตะวันตกหลายแห่ง เช่น อังกฤษและสวีเดน เคยออกมาเตือนก่อนหน้านี้ว่า อิหร่านกำลังหันมาใช้กลุ่มอาชญากรท้องถิ่นเป็นตัวแทนในการก่อเหตุรุนแรงบนดินแดนของตนมากขึ้น ซึ่งการสืบสวนของออสเตรเลียในครั้งนี้ก็ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายข่าวกรองพันธมิตร “Five Eyes” ด้วยเช่นกัน

ออสเตรเลียแฉเส้นทางเงิน มัดตัวอิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว

เรื่องราวของ “อิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว” ยังไม่จบง่ายๆ เพราะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมาก ออสเตรเลียแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่ออิหร่านอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ออสเตรเลียตอบโต้ อิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว อย่างไร?

การตอบโต้ของออสเตรเลียต่อกรณี “อิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว” นั้นรุนแรงและชัดเจน โดยการเนรเทศนักการทูตและการระงับการดำเนินงานของสถานทูตเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าออสเตรเลียจะไม่ยอมรับการกระทำดังกล่าว

ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังประเทศอื่นๆ ว่าการกระทำใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของออสเตรเลีย จะได้รับการตอบโต้อย่างเด็ดขาด การสืบสวนที่ ASIO ทำนั้นมีความละเอียดรอบคอบ และเปิดเผยให้เห็นถึงความพยายามในการปกปิดร่องรอยของอิหร่าน

การที่อิหร่านออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และกล่าวหาว่าออสเตรเลียกำลังเดินตามนโยบายของอิสราเอลนั้น เป็นเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้ แต่หลักฐานที่ ASIO รวบรวมมานั้นมีความน่าเชื่อถือ และได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายข่าวกรองพันธมิตร “Five Eyes” ทำให้น้ำหนักของข้อกล่าวหาที่มีต่ออิหร่านนั้นมีมากขึ้น

เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของอิหร่านในสายตาของนานาชาติ และอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรหรือมาตรการอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอิหร่านได้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า การก่อการร้ายและการสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงในต่างประเทศนั้น ไม่สามารถซ่อนเร้นได้ และจะได้รับการตอบโต้อย่างสาสม

ที่มา – ออสซี่แฉเส้นทางเงิน มัดตัวอิหร่านบงการเผาโบสถ์ยิว สั่งเนรเทศทูตพ้นประเทศ