ส่งออก

สวิสส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ก.ย. แม้ภาษี 39%

สวิสส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แม้ถูกรีดภาษีนำเข้า 39%

สำนักงานศุลกากรของสวิตเซอร์แลนด์เปิดเผยว่า ยอดสวิสส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แม้ถูกรีดภาษีนำเข้า 39% โดยยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ (ไม่นับรวมทองคำ) ปรับตัวขึ้นถึง 43% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ยอดการส่งออกโดยรวมของสวิตเซอร์แลนด์ปรับตัวขึ้น 3.4%

ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า ความต้องการสินค้าจากสวิตเซอร์แลนด์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่ารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์สูงถึง 39% ก็ตาม สถานการณ์นี้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากคาดการณ์ว่าการขึ้นภาษีจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์

ในทางกลับกัน ยอดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มายังสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเพียง 5.5% เท่านั้น ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 พันล้านฟรังก์สวิส (หรือประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการขาดดุลที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนของปีนี้

ปัจจัยที่ทำให้สวิสส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แม้ถูกรีดภาษีนำเข้า 39%

มีหลายปัจจัยที่อาจอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ ประการแรก คือ ความต้องการสินค้าสวิสในตลาดสหรัฐฯ นั้นสูงมาก โดยเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวอเมริกัน แม้ว่าราคาจะสูงขึ้นเนื่องจากภาษีนำเข้าก็ตาม

ประการที่สอง ผู้ส่งออกสวิสอาจปรับตัวโดยการลดต้นทุนการผลิต หรือการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐฯ ที่มีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ พวกเขาอาจมุ่งเน้นไปที่การส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากการขึ้นภาษี

ประการที่สาม อาจเป็นไปได้ว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันบางส่วน willing ที่จะจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้าสวิส เนื่องจากพวกเขามองว่าสินค้าเหล่านั้นมีคุณภาพที่ดีกว่า และมีความน่าเชื่อถือมากกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีของอดีตปธน.ทรัมป์ ส่งผลให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า ภาษีที่เรียกเก็บจากสวิตเซอร์แลนด์นั้น ถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว และส่งผลกระทบต่อสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์ เช่น นาฬิกา เครื่องจักร และช็อกโกแลต นอกจากนี้ ยังมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ายา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย

รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ยังคงพยายามเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อให้มีการปรับลดภาษีนำเข้า แม้ว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จยังไม่แน่นอน โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐฯ อาจทำข้อตกลงกับสวิตเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีสัญญาณความคืบหน้าใดๆ เพิ่มเติม

ถึงแม้จะมีอุปสรรคทางการค้า แต่การที่สวิสส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แม้ถูกรีดภาษีนำเข้า 39% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์ และความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการสวิส อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนผู้ส่งออก และลดผลกระทบจากการขึ้นภาษี เพื่อให้เศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ที่มา – สวิสส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แม้ถูกรีดภาษีนำเข้า 39%

ญี่ปุ่นกังวลจีนคุมเข้มส่งออกแร่หายาก กระทบโลก

ญี่ปุ่นแสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการที่จีนอาจคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่จีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความกังวลในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น ซึ่งพึ่งพาแร่หายากเหล่านี้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

ทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวในการแถลงข่าวว่า ญี่ปุ่นรู้สึกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเคลื่อนไหวของจีนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เขาย้ำว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งคำร้องขอไปยังจีนในหลายระดับ เพื่อให้มั่นใจว่าการควบคุมการส่งออกจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและเศรษฐกิจโลกมากเกินไป

จีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก แร่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่หลากหลายประเภท ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบอาวุธ การที่จีนควบคุมการส่งออกแร่เหล่านี้จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก

ญี่ปุ่นกังวลจีนคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก หวั่นกระทบห่วงโซ่อุปทานโลก

ความกังวลของญี่ปุ่นเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงดำเนินอยู่ การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 100% ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์ และตอกย้ำความสำคัญของการกระจายแหล่งแร่หายากเพื่อลดการพึ่งพาจีน

อิวายะกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะยังคงร่วมมือกับประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของตนเอง

ทำไมญี่ปุ่นถึงกังวลเรื่องจีนคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก?

ความกังวลหลักๆ มาจากการที่ญี่ปุ่นพึ่งพาแร่หายากจากจีนในสัดส่วนที่สูง หากจีนลดปริมาณการส่งออก หรือระงับการส่งออกโดยสิ้นเชิง อาจทำให้เกิดปัญหาในการผลิตสินค้าต่างๆ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การที่จีนควบคุมการส่งออกแร่หายากยังอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโลก ทำให้บริษัทจีนมีความได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง

แม้ว่าจีนจะแจ้งต่อญี่ปุ่นว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างเหมาะสม แต่ญี่ปุ่นยังคงมีความกังวลอยู่ และกำลังพิจารณาหาแหล่งแร่หายากอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีน

สถานการณ์นี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทาน และการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถลดการใช้แร่หายาก หรือใช้วัสดุทดแทนได้

การที่ญี่ปุ่นกังวลจีนคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลกในปัจจุบัน และความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ จะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว

ในขณะที่หลายประเทศกำลังพิจารณาหาทางลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน การลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลและการพัฒนานวัตกรรมวัสดุใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้

การเคลื่อนไหวของจีนนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ดังนั้น การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การที่ญี่ปุ่นกังวลจีนคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศเดียวมีความเสี่ยง และการกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ที่มา – ญี่ปุ่นกังวลจีนคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก หวั่นกระทบห่วงโซ่อุปทานโลก

อินเดียเบนเข็ม! ผู้ส่งออกสิ่งทอลุยยุโรป หนีภาษีสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกสิ่งทอของอินเดียกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่! จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้หลายบริษัทต้องปรับกลยุทธ์ หันไปหาตลาดใหม่ในยุโรปเพื่อความอยู่รอด มาดูกันว่าสถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสิ่งทออินเดียเบนเข็มลุยตลาดยุโรป หนีภาษีสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง

จากสถานการณ์ที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียสูงถึง 50% ทำให้ผู้ประกอบการอินเดียต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะผู้ส่งออกสิ่งทออินเดียเบนเข็มลุยตลาดยุโรป หนีภาษีสหรัฐฯ พร้อมทั้งเสนอส่วนลดเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมในสหรัฐฯ อีกด้วย การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากอินเดียเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้สินค้าอินเดียจำนวนมากมีอัตราภาษีสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ

ผู้ประกอบการเสื้อผ้ารายหนึ่งในมุมไบกล่าวว่า บริษัทกำลังมุ่งขยายตลาดไปยังสหภาพยุโรป (อียู) และมองว่าหากอินเดียสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับอียูได้ในเร็ววัน จะเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกอย่างมาก การเจรจาการค้าระหว่างอินเดียกับอียูกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ และทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้สามารถลงนามในข้อตกลงภายในสิ้นปีนี้

อียูถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยมูลค่าการค้ารวมในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ 1.375 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 90% ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผู้ส่งออกสิ่งทออินเดียเบนเข็มลุยตลาดยุโรป หนีภาษีสหรัฐฯ ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เข้มงวดของอียู ทั้งในด้านการใช้สารเคมี การติดฉลากสินค้า และการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรม

ผู้ส่งออกสิ่งทออินเดียเบนเข็มลุยตลาดยุโรป หนีภาษีสหรัฐฯ

ราหุล เมห์ตา ที่ปรึกษาอาวุโสของสมาคมผู้ผลิตเสื้อผ้าแห่งอินเดีย กล่าวว่า ผู้ประกอบการกำลังลงทุนปรับปรุงโรงงานเพื่อให้ผ่านมาตรฐานเหล่านี้ พร้อมทั้งพยายามลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2568 สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของอินเดียสำหรับสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยมีสัดส่วนเกือบ 29% ของยอดส่งออกรวมราว 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์

วิเจย์ กุมาร อการ์วาล ประธานบริษัทครีเอทีฟ กรุ๊ป ในมุมไบ ซึ่งมีการส่งออกไปสหรัฐฯ มากถึง 89% ของยอดรวม เปิดเผยว่า ผู้ส่งออกอินเดียบางรายเริ่มเสนอส่วนลดเพื่อรักษาฐานลูกค้าในตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม หากภาษีของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง บริษัทอาจต้องลดจำนวนพนักงานลงราว 6,000–7,000 คน จากทั้งหมด 15,000 คน และอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศโอมานหรือบังกลาเทศหลังจาก 6 เดือนข้างหน้า

ผลกระทบต่อผู้ส่งออกสิ่งทออินเดีย หากเบนเข็มลุยตลาดยุโรป

การปรับตัวของผู้ส่งออกสิ่งทออินเดียครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจ แม้ว่าการเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่การมองหาโอกาสใหม่ๆ และการปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

สำหรับผู้บริโภค นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีในการได้เห็นสินค้าสิ่งทอจากอินเดียที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงขึ้นในตลาดยุโรปและทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงานมากขึ้น

ที่มา – ผู้ส่งออกสิ่งทออินเดียเบนเข็มลุยตลาดยุโรป หนีภาษีสหรัฐฯ

จีนเผย! มูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรกขยายตัว 4%

จีนเผย มูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก ขยายตัว 4%

สำนักงานศุลกากรจีนเพิ่งออกมาเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่น่าจับตามอง นั่นก็คือ มูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก ขยายตัว 4% นับเป็นสัญญาณบวกที่น่าสนใจสำหรับเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก

ตามรายงานระบุว่า การส่งออกและนำเข้าสินค้าของจีนในรูปสกุลเงินหยวน มีมูลค่ารวมสูงถึง 33.61 ล้านล้านหยวน (หรือประมาณ 4.73 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายตัว 4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และที่สำคัญคือ ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากช่วง 8 เดือนแรกของปี ซึ่งมีการขยายตัวอยู่ที่ 3.5% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่เร่งตัวขึ้น

แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ข้อมูลในรูปสกุลเงินดอลลาร์สำหรับเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว แสดงให้เห็นว่าการค้ากับต่างประเทศของจีนขยายตัวดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเข้าที่เติบโตเร็วที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี

การส่งออกในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ขยายตัวถึง 8.3% ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 7.1% อย่างชัดเจน ที่สำคัญคือ นี่เป็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ยอดส่งออกชะลอตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อเดือนสิงหาคม

ขณะเดียวกัน การนำเข้าในเดือนกันยายน ก็พุ่งขึ้นถึง 7.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้เพียง 1.5% เท่านั้น และถือเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เลยทีเดียว

อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของมูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก?

แน่นอนว่า มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ มูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก ขยายตัว 4% ปัจจัยหลักๆ ได้แก่:

  • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก: แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค ทำให้มีความต้องการสินค้าจากจีนมากขึ้น
  • นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลจีน: รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อสนับสนุนการส่งออก เช่น การลดหย่อนภาษี การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการส่งเสริมการค้าผ่านช่องทางออนไลน์
  • ความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการจีน: ผู้ประกอบการจีนมีความสามารถในการปรับตัวสูง สามารถปรับปรุงคุณภาพสินค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และหาตลาดใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
  • ความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน: จีนยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของโลก มีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและครบวงจร ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและในราคาที่แข่งขันได้

ความสำคัญของการเติบโตของการส่งออกและนำเข้าของจีน

การเติบโตของการส่งออกและนำเข้าของจีนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เพราะจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การขยายตัวของการส่งออกและนำเข้าของจีน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเศรษฐกิจโลก เพราะหมายความว่ามีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้ การเติบโตของการนำเข้าของจีนยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศคู่ค้าของจีน เพราะทำให้ประเทศเหล่านั้นสามารถส่งออกสินค้าและบริการไปยังจีนได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และสร้างงานให้กับประเทศเหล่านั้น

โดยสรุปแล้ว ข้อมูลที่จีนเปิดเผยเกี่ยวกับ มูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก ขยายตัว 4% ถือเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เรายังต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าของจีนในอนาคตได้

ที่มา – จีนเผยมูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก ขยายตัว 4%

ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. จริงหรือ?

สวัสดีครับทุกคน วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจที่น่าสนใจกันหน่อยนะครับ นั่นก็คือเรื่องของ ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. หลังสหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามอง

กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ยอดส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. โดยขยายตัวเพียง 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะโตถึง 3% เลยทีเดียว สาเหตุหลัก ๆ มาจากอะไร ไปดูกันครับ

ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค.

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของมาเลเซียก็คือ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนที่แล้วนั่นเอง รายงานระบุว่า ยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 16.7% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ก็ลดลงอย่างน่าตกใจถึง 36.7% ทำให้มูลค่าการค้ารวมระหว่างมาเลเซียกับสหรัฐฯ หดตัวลงถึง 25% เลยทีเดียว

แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้สร้างความกังวลให้กับผู้ส่งออกของมาเลเซียเป็นอย่างมาก กระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงออกมาเรียกร้องให้ผู้ประกอบการปรับปรุงคุณภาพสินค้า เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และหันมาใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตการค้าโลกที่กำลังเกิดขึ้น

ผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ และทางออกของผู้ส่งออก

สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากมาเลเซียไว้ที่ 19% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้ว่าตัวเลขนี้จะต่ำกว่าอัตราภาษี 25% ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยขู่ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกมาเลเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกอย่างจะมืดมนไปเสียหมด ข่าวดีก็คือ ยอดส่งออกจากมาเลเซียไปยังประเทศจีนกลับเพิ่มขึ้นถึง 10.4% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งช่วยชดเชยยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลงไปได้บ้าง เรียกได้ว่าเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยก็ว่าได้

  • การปรับตัวของผู้ประกอบการ: ผู้ส่งออกควรเร่งพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูงขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก
  • การหาตลาดใหม่: มองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เช่น จีน อาเซียน หรือประเทศในแถบเอเชียใต้
  • การใช้ประโยชน์จาก FTA: ศึกษาและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่มาเลเซียมีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า

สถานการณ์ ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. นี้เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการและภาครัฐของมาเลเซียต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยความร่วมมือและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว มาเลเซียจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างแน่นอน

ที่มา – ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. หลังสหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้า

สิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลง ส.ค. ร่วง 11.3%

สิงคโปร์กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เมื่อยอดสิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าตัวเลขได้ร่วงลงถึง 11.3% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าจับตามองและส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ

สิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ร่วง 11.3%

องค์การวิสาหกิจของสิงคโปร์ (Enterprise Singapore) ได้รายงานถึงสถานการณ์ที่น่ากังวลนี้ โดยระบุว่ายอดสิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลงถึง 11.3% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ในเดือนกรกฎาคมก็มีการลดลงไปแล้ว 4.7%

สาเหตุหลักของการลดลงอย่างฮวบฮาบนี้ มาจากการลดลงอย่างมากของสินค้าในกลุ่มต่างๆ ได้แก่

  • เครื่องจักรเฉพาะทาง: กลุ่มสินค้านี้มีการหดตัวถึง 29.1%
  • ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป: ประสบปัญหาการลดลงอย่างมากถึง 51.4%
  • ปิโตรเคมี: กลุ่มสินค้านี้ก็มีการหดตัวเช่นกัน โดยลดลง 23.2%

นอกจากนี้ ยอดส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของสิงคโปร์ ก็มีการปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก

การที่สิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลงนี้ มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น:

  • ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว: ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดลง
  • ความผันผวนของตลาดการเงิน: ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและการส่งออก
  • ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน: ทำให้การผลิตและการขนส่งสินค้าเป็นไปได้ยากลำบากมากขึ้น

ถึงแม้ว่ายอดส่งออกสินค้าโดยรวมจะลดลง แต่ก็มีข่าวดีอยู่บ้าง โดยสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศและส่งออกต่อ (re-export) ที่ไม่รวมน้ำมัน กลับเพิ่มขึ้น 12.3% ในเดือนสิงหาคม หลังจากที่เพิ่มขึ้น 22.0% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของทั้งยอดส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม การค้าโดยรวมของสิงคโปร์ก็ยังคงขยายตัว 3.0% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ก็ถือว่าชะลอตัวลงจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวถึง 8.2%

สถานการณ์ที่สิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลงนี้ เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในระยะยาว รัฐบาลและภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกันหาทางแก้ไขปัญหา เพื่อให้เศรษฐกิจของสิงคโปร์กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

ที่มา – สิงคโปร์ส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ร่วง 11.3% ในเดือนส.ค.

เวียดนามวอนสหรัฐฯ ทบทวนห้ามส่งออกอาหารทะเล

เวียดนามขอให้สหรัฐฯ พิจารณาการตัดสินใจของสำนักงานบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NOAA) ที่อาจนำไปสู่การห้ามส่งออกอาหารทะเลบางชนิดไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีหน้า ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ

เหงียน ฮง เดียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม ได้ส่งจดหมายถึง โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ขอให้ทบทวนการตัดสินใจของ NOAA เมื่อเดือนส.ค. ที่ระบุว่า การทำประมงบางวิธีของเวียดนามอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล

NOAA แจ้งให้กระทรวงเกษตรเวียดนามทราบว่า NOAA ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าการทำประมงของเวียดนามมีมาตรฐานใกล้เคียงกับข้อกำหนดของสหรัฐฯ (comparability finding) ภายใต้กฎหมายคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลสำหรับวิธีการทำประมง 12 แบบของเวียดนาม ซึ่งหมายความว่า การส่งออกปลาและผลิตภัณฑ์ประมงจากวิธีการเหล่านี้ไปยังสหรัฐฯ จะถูกสั่งห้ามตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569

กระทรวงฯ ระบุว่า การห้ามดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารทะเลสำคัญ เช่น ปลาทูน่า ปลาดาบ ปลาเก๋า ปลาแมกเคอเรล ปลากระบอก ปู และปลาหมึก

สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ได้เริ่มเก็บภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าเวียดนามตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. ขณะที่สินค้าที่ส่งต่อผ่านเวียดนามจากประเทศที่สามถูกเก็บภาษี 40% โดยข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนามระบุว่า มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในเดือนส.ค. ลดลง 2% จากเดือนก.ค. สู่ระดับ 1.394 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

เดียนระบุในจดหมายว่า การกลับคำตัดสินนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อการค้าทวิภาคี และปกป้องความเป็นอยู่ของชาวประมงและแรงงานหลายแสนคนในเวียดนาม

นอกจากนี้ เดียนยังเน้นย้ำว่า เวียดนามถือว่า สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าที่สำคัญ และมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยความร่วมมือและด้วยการมองไปข้างหน้า

ทั้งนี้ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกอาหารทะเลไปยังสหรัฐฯ มากที่สุด โดยมูลค่าการส่งออกระหว่างเดือนม.ค.-ส.ค. เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นมูลค่า 1.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 17.3% ของการส่งออกอาหารทะเลทั้งหมดของเวียดนาม

ก่อนหน้านี้ ในปี 2560 คณะกรรมาธิการยุโรปก็เคยออกใบเหลืองให้เวียดนาม หลังจากกล่าวหาว่าไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในการจัดการกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้การส่งออกอาหารทะเลไปยังสหภาพยุโรปลดลง

เวียดนามวอนสหรัฐฯ ทบทวนห้ามส่งออกอาหารทะเล

สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย ทั้งชาวประมง แรงงาน และเศรษฐกิจของเวียดนาม หากสหรัฐฯ ยังคงยืนยันมาตรการห้ามส่งออกอาหารทะเลต่อไป จะส่งผลเสียต่อการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบจากการห้ามส่งออกอาหารทะเล

  • รายได้ของชาวประมงและแรงงานลดลง
  • การส่งออกอาหารทะเลของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ลดลง
  • เศรษฐกิจของเวียดนามได้รับผลกระทบ

เวียดนามกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหานี้ และหวังว่าสหรัฐฯ จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ

ทำไมสหรัฐฯ ถึงพิจารณาห้ามส่งออกอาหารทะเล?

เหตุผลหลักที่สหรัฐฯ พิจารณามาตรการนี้คือ มาตรฐานการทำประมงของเวียดนามบางวิธียังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล

สิ่งที่เวียดนามต้องทำ

เพื่อให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการห้ามส่งออกอาหารทะเล เวียดนามจำเป็นต้องปรับปรุงมาตรฐานการทำประมงให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล

การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชาวประมง เพื่อให้การทำประมงของเวียดนามเป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สถานการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเวียดนามในการให้ความสำคัญกับการทำประมงที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาตลาดส่งออกที่สำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา

ที่มา – เวียดนามวอนสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการห้ามส่งออกอาหารทะเล

จีน-เกาหลีใต้ หารือควบคุมส่งออกแร่หายาก

จีนและเกาหลีใต้เตรียมหารือมาตรการควบคุมการส่งออก โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาเสถียรภาพของอุปทานแร่หายากซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การหารือนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับความท้าทายในห่วงโซ่อุปทานโลก

จีน-เกาหลีใต้ หารือมาตรการควบคุมส่งออก มุ่งรักษาเสถียรภาพอุปทานแร่หายาก

กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศว่า การเจรจาระหว่างจีนและเกาหลีใต้เกี่ยวกับจีน-เกาหลีใต้ หารือมาตรการควบคุมส่งออก มุ่งรักษาเสถียรภาพอุปทานแร่หายากจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน ณ กรุงโซล ประเด็นสำคัญในการหารือคือการรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมหลักของทั้งสองประเทศ

โดยใจความสำคัญของการหารือมุ่งเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมาตรการควบคุมการส่งออกที่แต่ละประเทศใช้อยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการพิจารณาแนวทางที่เป็นไปได้ในการรักษาเสถียรภาพของอุปทานแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์

การมุ่งเน้นที่แร่หายากและแร่ธาตุสำคัญ

การที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักถึงบทบาทสำคัญของทรัพยากรเหล่านี้ในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ แร่หายากถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ทำให้การเข้าถึงแหล่งแร่เหล่านี้มีความสำคัญต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรม

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงฯ ของเกาหลีใต้กล่าวว่า “กระทรวงฯ ได้มีการติดต่อสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับจีนมาโดยตลอด เพื่อสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญ” เขายังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเกาหลีใต้ในการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศคู่ค้ารายใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่มั่นคงและคาดการณ์ได้สำหรับบริษัทเกาหลีใต้

การหารือครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สอง โดยก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกันไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันคือการเสริมสร้างเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานระหว่างจีนและเกาหลีใต้ จีน-เกาหลีใต้ หารือมาตรการควบคุมส่งออก มุ่งรักษาเสถียรภาพอุปทานแร่หายาก เป็นวาระสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจ

ความร่วมมือระหว่างจีนและเกาหลีใต้ในประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างก็มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก จีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ ในขณะที่เกาหลีใต้เป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีขั้นสูง การทำงานร่วมกันจึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในการลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการหยุดชะงักของอุปทาน

นอกเหนือจากการหารือทวิภาคีแล้ว ทั้งสองประเทศยังมีแนวโน้มที่จะหารือถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุ การทำงานร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศสามารถช่วยสร้างความมั่นใจได้ว่าการเข้าถึงแร่หายากจะเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

การที่จีนและเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของอุปทานแร่หายาก แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของทรัพยากร การหารือเหล่านี้เป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้

การหารือนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนในห่วงโซ่อุปทานโลก การที่จีนและเกาหลีใต้ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของอุปทานแร่หายาก ถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและส่งเสริมความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นใจในความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว และ จีน-เกาหลีใต้ หารือมาตรการควบคุมส่งออก มุ่งรักษาเสถียรภาพอุปทานแร่หายาก คือก้าวสำคัญในทิศทางที่ถูกต้อง

การที่ประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของอุปทานแร่หายากมากขึ้นนั้น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก ความมั่นคงของทรัพยากรได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศและบริษัทต่างๆ และการลงทุนในความสัมพันธ์และความร่วมมือถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการนำทางความท้าทายของโลกที่เชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น

ที่มา – จีน-เกาหลีใต้ หารือมาตรการควบคุมส่งออก มุ่งรักษาเสถียรภาพอุปทานแร่หายาก

เวียดนามส่งออกพุ่ง! ส.ค.โต 14.5% แม้มีภาษี

เวียดนามยังคงสร้างความประหลาดใจให้โลกด้วยตัวเลขการส่งออกที่แข็งแกร่ง แม้เผชิญกับความท้าทายจากภายนอก! รัฐบาลเวียดนามเพิ่งเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของประเทศพุ่งสูงขึ้นถึง 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.0596 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่การนำเข้าก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยขยายตัว 17.9% อยู่ที่ 2.9197 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เวียดนามมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1.399 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งการส่งออกของเวียดนามยังคงเติบโตอย่างน่าประทับใจ โดยเพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 4.339 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่น่าสนใจคือตัวเลขนี้เป็นข้อมูลการค้าครั้งแรกหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามในอัตรา 20% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ในส่วนของการนำเข้าก็ขยายตัว 17.7% อยู่ที่ 3.967 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะเกินดุลการค้าในเดือนสิงหาคมได้ที่ 3.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เวียดนามส่งออกพุ่ง ได้อย่างไรในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้? ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือความสามารถในการปรับตัวและการDiversify ตลาดการค้า เวียดนามมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคมอยู่ที่ 9.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่การค้ากับจีนอยู่ที่ 1.179 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเวียดนามยังคงพึ่งพาวัตถุดิบและอุปกรณ์จากจีนในการผลิตอุตสาหกรรมอยู่มาก

เวียดนามส่งออกพุ่ง ส.ค.โต 14.5% แม้มีภาษี

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ฮานอยว่า ความตึงเครียดทางการค้าระดับโลก รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการทหาร กำลังส่งผลกระทบต่อการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนภาครัฐเริ่มชะลอตัวลง พร้อมทั้งเตือนถึงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มสูงขึ้น

ถึงแม้จะมีปัจจัยท้าทายรอบด้าน ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามในเดือนสิงหาคมยังคงขยายตัว 8.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 10.6% และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 3.24%

เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม

เวียดนามตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 8.3-8.5% และกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ในช่วง 4.5-5% ซึ่งนายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ยอมรับว่าเป้าหมายการเติบโตในปีนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่ก็ย้ำว่าประเทศจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ให้ได้

การที่ เวียดนามส่งออกพุ่ง แม้ต้องเผชิญกับภาษีจากสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาคการผลิตและการปรับตัวของธุรกิจเวียดนามในการหาตลาดใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นสิ่งที่เวียดนามต้องเผชิญต่อไปในอนาคต และการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าเวียดนามจะสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนหรือไม่

โดยสรุปแล้ว แม้จะมีอุปสรรค เวียดนามส่งออกพุ่ง ในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจเวียดนาม แต่การเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนและปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ที่มา – เวียดนามส่งออกพุ่ง 14.5% ในเดือนส.ค. แม้เผชิญภาษีสหรัฐฯ 20%

ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลด! หนักสุดรอบ 4 ปี

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นรายงานว่า ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% แตะที่ระดับ 9.36 ล้านล้านเยน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปี นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 และลดลงอย่างมากจากเดือนมิถุนายนที่ขยับลงเพียง 0.5% นอกจากนี้ ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% ยังย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.1%

ทำไม ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% ถึงเป็นเรื่องใหญ่? การส่งออกที่ลดลงนี้เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากร แม้ว่าจะมีข้อตกลงลดหย่อนภาษีในภายหลัง แต่ผลกระทบยังคงปรากฏให้เห็น

ส่วนยอดนำเข้าเดือนกรกฎาคมปรับตัวลง 7.5% แตะระดับ 9.48 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 2 เดือน แสดงให้เห็นถึงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าลดลง 81.3% ในเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 1.175 แสนล้านเยน (795 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าลดลงอย่างมาก โดยมีสาเหตุมาจากการชะลอตัวของราคาพลังงาน แม้ตัวเลขขาดดุลจะลดลง แต่ก็ยังคงเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามอง

เมื่อพิจารณาเป็นรายภูมิภาค ญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 5.851 แสนล้านเยน ลดลง 23.9% โดยยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง 10.1% ในเดือนกรกฎาคม หลังจากที่ลดลง 11.4% ในเดือนมิถุนายน ส่วนการนำเข้าลดลง 0.8% ขณะที่การส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ร่วงลง 28.4% เมื่อพิจารณาเป็นมูลค่า สิ่งนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการค้าระหว่างประเทศ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์สู่ระดับ 27.5% ในเดือนเมษายน และต่อมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีดังกล่าวลงเหลือ 15% แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนธุรกิจและการส่งออก

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นขาดดุลการค้ากับจีนในเดือนกรกฎาคมมูลค่า 6.092 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการขาดดุลติดต่อกันเดือนที่ 52 ความสัมพันธ์ทางการค้าที่ซับซ้อนกับจีนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% หนักสุดในรอบ 4 ปี

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% นั้นส่งผลต่อหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ตั้งแต่ผู้ผลิตรถยนต์ไปจนถึงผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การลดลงของการส่งออกอาจนำไปสู่การลดการผลิต การว่างงาน และการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการลดลง?

การวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงสาเหตุ พบว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของญี่ปุ่น การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของค่าเงินเยน และการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของผู้บริโภค

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้า
  • ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าและการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับญี่ปุ่น การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นสามารถทำให้สินค้าญี่ปุ่นมีราคาแพงขึ้นในตลาดต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา การจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ส่งออก

ความต้องการสินค้าและบริการที่เปลี่ยนแปลงไปในตลาดโลกก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณา ผู้ส่งออกจำเป็นต้องปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการของตนให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค

การที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ ทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก การปรับตัวและการวางแผนเชิงกลยุทธ์เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ญี่ปุ่นสามารถกลับมาเติบโตในตลาดโลกได้อีกครั้ง

สถานการณ์ ญี่ปุ่นส่งออกเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% หนักสุดในรอบ 4 ปีนี้ เป็นสัญญาณเตือนให้ญี่ปุ่นต้องเร่งปรับตัวและหาทางออกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปอาจมีความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ๆ และการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น

ที่มา – ญี่ปุ่นส่งออกเดือนก.ค.ลดลง 2.6% หนักสุดในรอบกว่า 4 ปี