สายการบิน

FAA เผยเที่ยวบินดีเลย์อื้อ เหตุขาดแคลนจนท.ควบคุมจราจรทางอากาศ

สถานการณ์เที่ยวบินดีเลย์อื้อ เหตุขาดแคลนจนท.ควบคุมจราจรทางอากาศ กำลังส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา องค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ (FAA) ได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เที่ยวบินจำนวนมากต้องล่าช้า นั่นก็คือปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในส่วนควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากผลกระทบของการชัตดาวน์ของรัฐบาลที่ยืดเยื้อ

FAA ระบุว่าปัญหาการขาดแคลนบุคลากรนี้ส่งผลกระทบต่อสนามบินหลายแห่ง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างดัลลัส ชิคาโก แอตแลนตา และนวร์ก นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการขาดแคลนบุคลากรในช่วงกะเย็น ซึ่งอาจส่งผลให้เที่ยวบินที่สนามบินในลาสเวกัสและฟีนิกซ์ต้องล่าช้าอีกด้วย

เว็บไซต์ติดตามเที่ยวบินอย่างไฟลท์อะแวร์ (FlightAware) รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีเที่ยวบินมากกว่า 5,800 เที่ยวบินที่ต้องล่าช้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพอากาศ และการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในเมืองออสติน ก็มีส่วนทำให้สถานการณ์แย่ลงด้วยเช่นกัน ข้อมูลจากไฟลท์อะแวร์ยังระบุว่า เที่ยวบินของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ส และเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ส มีอัตราการดีเลย์สูงถึง 20% ในวันดังกล่าว

เที่ยวบินดีเลย์อื้อ เหตุขาดแคลนจนท.ควบคุมจราจรทางอากาศ

สถานการณ์นี้มีต้นตอมาจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจำนวนมากต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศประมาณ 13,000 คน และเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงด้านการขนส่ง (TSA) อีกราว 50,000 คน ที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่รัฐบาลชัตดาวน์ การทำงานภายใต้ความกดดันและความไม่แน่นอนทางการเงิน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งตัดสินใจลาป่วยหรือขาดงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน

ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีรายงานว่ามีเที่ยวบินล่าช้ากว่า 23,000 เที่ยวบินภายในหนึ่งสัปดาห์ ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า 53% ของความล่าช้าของเที่ยวบินมีสาเหตุมาจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ซึ่งสูงกว่าภาวะปกติที่อยู่ที่เพียง 5% อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคมนาคมกล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรได้คลี่คลายลงอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ปัญหาการควบคุมการจราจรทางอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญในการโต้เถียงทางการเมืองเกี่ยวกับการชัตดาวน์รัฐบาล พรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันไปมา ขณะที่สหภาพแรงงานและสายการบินต่างๆ ต่างออกมาเรียกร้องให้ยุติภาวะชะงักงันนี้โดยเร็ว เนื่องจากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน

ผลกระทบจากการเที่ยวบินดีเลย์อื้อ เหตุขาดแคลนจนท.ควบคุมจราจรทางอากาศ

ในปี 2562 ระหว่างการชัตดาวน์รัฐบาลเป็นเวลา 35 วัน การขาดงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศและเจ้าหน้าที่ TSA เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้าง ทำให้ผู้โดยสารต้องรอคิวนานขึ้นในสนามบินบางแห่ง ส่งผลให้ทางการต้องสั่งชะลอการจราจรทางอากาศในนครนิวยอร์กและกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายนิติบัญญัติให้ยุติความขัดแย้งโดยเร็ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงของการชัตดาวน์รัฐบาลต่อระบบขนส่งทางอากาศ

สถานการณ์เที่ยวบินดีเลย์อื้อ เหตุขาดแคลนจนท.ควบคุมจราจรทางอากาศนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในบุคลากรด้านการบินและการรักษาเสถียรภาพของระบบราชการ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและการป้องกันการชัตดาวน์รัฐบาลในอนาคต เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นใจว่าระบบขนส่งทางอากาศจะสามารถให้บริการได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาโครงสร้างและสวัสดิการเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ในอนาคต

ที่มา – FAA เผยเที่ยวบินดีเลย์อื้อ เหตุขาดแคลนจนท.ควบคุมจราจรทางอากาศ เซ่นพิษชัตดาวน์ยืดเยื้อ

เวียดนามแอร์ไลน์โดนแฮก แนะเปลี่ยนรหัสผ่าน

เกิดเหตุการณ์ไม่สู้ดีกับสายการบินแห่งชาติเวียดนาม! เวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airlines) ออกมาประกาศเตือนลูกค้าให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่าน หลังพบว่าข้อมูลบางส่วนบนแพลตฟอร์มออนไลน์อาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ใครที่เคยใช้บริการหรือเป็นสมาชิก Lotusmiles ต้องระวังเป็นพิเศษเลยครับ

เวียดนามแอร์ไลน์โดนแฮกข้อมูลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แนะลูกค้าเปลี่ยนรหัสผ่าน

เมื่อวานนี้ (14 ตุลาคม 2568) ทางเวียดนามแอร์ไลน์ได้แจ้งข่าวสำคัญว่า ข้อมูลของลูกค้าที่ประมวลผลผ่านแพลตฟอร์มบริการลูกค้าออนไลน์ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล ทำให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า ข้อมูลส่วนตัวที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่อีเมล, หมายเลขโทรศัพท์, วันเดือนปีเกิด และหมายเลขสมาชิก Lotusmiles แต่สบายใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต, รายละเอียดการชำระเงิน, รหัสผ่าน, แผนการเดินทาง, หมายเลขหนังสือเดินทาง และยอดคงเหลือในบัญชี Lotusmiles ยังคงปลอดภัยดีอยู่ ทางสายการบินยืนยันว่าระบบไอทีภายในยังคงทำงานได้ตามปกติ

ทันทีที่ทราบเรื่อง เวียดนามแอร์ไลน์โดนแฮก ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และพันธมิตรด้านเทคโนโลยี เพื่อเร่งตรวจสอบ, ประเมินความเสียหาย และปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

ลูกค้าเวียดนามแอร์ไลน์ต้องทำอย่างไร?

เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทางเวียดนามแอร์ไลน์แนะนำให้ลูกค้าทุกท่านดำเนินการดังนี้ครับ:

  • เปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชี Lotusmiles ทันที
  • เปลี่ยนรหัสผ่านของอีเมลที่ใช้สมัครสมาชิก Lotusmiles
  • ระมัดระวังอีเมลและข้อความหลอกลวง (Phishing scams) ที่อาจแอบอ้างเป็นเวียดนามแอร์ไลน์ หรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถืออื่นๆ เพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนตัว
  • อย่าหลงเชื่ออีเมลหรือโทรศัพท์ที่อ้างว่าเป็นเวียดนามแอร์ไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการขอข้อมูลส่วนตัว หรือรหัส OTP
  • หลีกเลี่ยงการเข้าสู่แพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัย

สรุปง่ายๆ คือ เวียดนามแอร์ไลน์โดนแฮก จริง แต่ข้อมูลสำคัญทางการเงินยังปลอดภัย แต่เพื่อความไม่ประมาท เปลี่ยนรหัสผ่านไว้ก่อนดีที่สุดครับ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้แน่นอน

เหตุการณ์ เวียดนามแอร์ไลน์โดนแฮกข้อมูลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แนะลูกค้าเปลี่ยนรหัสผ่าน ครั้งนี้ เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราต้องตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์อยู่เสมอ การตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก, การหมั่นเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ, และการระมัดระวังกลโกงต่างๆ บนโลกออนไลน์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์ได้

ที่มา – เวียดนามแอร์ไลน์โดนแฮกข้อมูลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แนะลูกค้าเปลี่ยนรหัสผ่าน

รมว.ย้ำ! ไม่มีการบิดเบือนผลสอบเครื่องบิน Air India

ราม โมฮัน ไนดู รัฐมนตรีกระทรวงการบินพลเรือนของอินเดีย ยืนยันว่า ไม่มีการบิดเบือนผลสอบเครื่องบิน Air India หลังบิดาของกัปตันเครื่องบินลำดังกล่าวได้ร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สอบสวน

ไนดูให้สัมภาษณ์ว่า “ในการสอบสวนไม่มีการบิดเบือนหรือการกระทำที่ไม่โปร่งใสใด ๆ ทั้งสิ้น กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างโปร่งใสและรัดกุมตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ และเราจะรักษาความมุ่งมั่นนี้ต่อไป”

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ปุษกร ราช สภรวาล บิดาของกัปตันสุมิต สภรวาล ได้ส่งอีเมลถึงสหภาพนักบินอินเดีย (FIP) ระบุว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนเคยไปเยี่ยมบ้านของเขา โดยอ้างว่า “มาแสดงความเสียใจ” และบอกเป็นนัยว่าลูกชายของเขาเป็นผู้ปิดสวิตช์ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง

สภรวาลยังชี้ว่า การที่ผู้สอบสวน “เลือก” เปิดเผยข้อมูลบางส่วน ทำให้เกิดกระแสคาดเดาเกี่ยวกับการกระทำของบุตรชายผู้ล่วงลับ

รายงานเบื้องต้นจากสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศ (AAIB) ระบุว่า สวิตช์เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ถูกปรับจากตำแหน่งเปิด (run) ไปยังตำแหน่งตัดการจ่ายเชื้อเพลิง (cutoff) พร้อมกันเกือบทันทีหลังเครื่องขึ้นบิน

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวที่เข้าถึงผลการประเมินของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า บันทึกการสนทนาระหว่างนักบินทั้งสองคนสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่ากัปตันสภรวาลเป็นผู้ตัดสวิตช์เชื้อเพลิง

FIP ระบุในแถลงการณ์ว่า การพูดคุยครั้งนั้นยิ่งตอกย้ำความกังวลของสภรวาลว่าอาจมีความพยายามตั้งใจโยนความผิดไปยังบุตรชาย พร้อมเสริมว่าเจ้าหน้าที่ AAIB ยังได้สอบถามสภรวาลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของบุตรชายเขาด้วย

นอกจากนี้ สภรวาลยังได้ยื่นจดหมายอีกฉบับต่อกระทรวงฯ ขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ขณะที่ศาลสูงสุดของอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลตอบคำร้องเพื่อให้มีการสอบสวนอิสระ

ทั้งนี้ เครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ ของแอร์อินเดีย เที่ยวบิน 171 ประสบอุบัติเหตุตกหลังขึ้นบินจากสนามบินเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา เพียงไม่กี่นาทีหลังเทคออฟ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 260 ราย

รมว.การบินอินเดียย้ำ ไม่มีการบิดเบือนผลสอบเครื่องบิน Air India หลังพ่อนักบินร้องเรียน

เรื่องราวนี้เป็นที่สนใจของสาธารณชนเนื่องจากความละเอียดอ่อนของประเด็นการสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศ และข้อกล่าวหาเรื่องความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้น เรามาเจาะลึกถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้กันดีกว่า

รัฐมนตรีอินเดียปฏิเสธข้อกล่าวหา บิดเบือนผลสอบเครื่องบิน Air India

ราม โมฮัน ไนดู รัฐมนตรีกระทรวงการบินพลเรือนของอินเดีย ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการบิดเบือนผลสอบเครื่องบิน Air India อย่างแข็งขัน โดยยืนยันว่ากระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ การยืนยันนี้มีขึ้นหลังจากที่ปุษกร ราช สภรวาล บิดาของกัปตันสุมิต สภรวาล ได้ร้องเรียนเกี่ยวกับวิธีการสอบสวนที่เกิดขึ้น

ใจความสำคัญของการร้องเรียนของสภรวาลอยู่ที่ความกังวลว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนอาจมีอคติในการนำเสนอข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดการคาดเดาที่ไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับบุตรชายของเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังตั้งข้อสังเกตว่าการที่เจ้าหน้าที่สอบสวนถามถึงสภาพจิตใจของลูกชาย ยิ่งทำให้เกิดความกังวลว่าอาจมีความพยายามที่จะโยนความผิดให้กับบุตรชายผู้เสียชีวิต

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความโปร่งใสและความเป็นธรรมในกระบวนการสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศ การที่รัฐมนตรีต้องออกมาให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษาความโปร่งใส แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชนในเรื่องความปลอดภัยทางการบิน

การออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐมนตรีและการเรียกร้องให้มีการสอบสวนที่เป็นอิสระจากศาลสูง บ่งชี้ว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ความถูกต้องและเป็นธรรมในการสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่ามีการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

ดังนั้น การติดตามข่าวสารและการรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้เราเข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริงและการดำเนินการแก้ไขที่เหมาะสมต่อไป

ที่มา – รมว.การบินอินเดียย้ำ ไม่มีการบิดเบือนผลสอบเครื่องบิน Air India หลังพ่อนักบินร้องเรียน

อังกฤษเลิกแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถานในรอบ 5 ปี

ในที่สุดก็มีข่าวดี! อังกฤษประกาศเลิกแบน สายการบินแห่งชาติปากีสถาน (Pakistan International Airlines – PIA) ทำให้สายการบินแห่งชาติปากีสถานสามารถกลับมาบินตรงไปยังสหราชอาณาจักรได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี! ถือเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับชาวปากีสถานและผู้ที่ต้องการเดินทางระหว่างสองประเทศ

อังกฤษเลิกแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถาน บินตรงได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา PIA ได้ออกมาประกาศว่า ทางการอังกฤษได้อนุมัติให้สายการบินสามารถกลับมาให้บริการเที่ยวบินโดยสารและขนส่งสินค้าโดยตรงได้อีกครั้ง โดยจะเริ่มต้นที่เมืองแมนเชสเตอร์ก่อน จากนั้นจะขยายเส้นทางไปยังเมืองเบอร์มิงแฮมและลอนดอน ซึ่งเส้นทางบินเหล่านี้ถือเป็นเส้นทางที่ทำกำไรสูงสุดให้กับ PIA เลยทีเดียว

การกลับมาทำการบินได้อีกครั้งนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดระยะเวลาการถูกแบนที่ยาวนานถึง 5 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้สายการบินแห่งชาติปากีสถานต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำเนินงานอย่างมาก

ทำไมอังกฤษถึงแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถาน?

ต้องย้อนกลับไปในปี 2563 ที่สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) ได้สั่งระงับเที่ยวบินของ PIA เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัย หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบินของปากีสถานในขณะนั้นได้ออกมาเปิดเผยว่ามีนักบินบางส่วนใช้ใบอนุญาตปลอม ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของการบินกับสายการบิน PIA

อย่างไรก็ตาม ทางปากีสถานไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ทำการปรับปรุงมาตรฐานต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับขององค์กรกำกับดูแลการบินระหว่างประเทศ จนในที่สุด EU ก็ได้ยกเลิกคำสั่งแบนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา และล่าสุดอังกฤษก็ประกาศยกเลิกคำสั่งแบนเช่นกัน

นอกจากนี้ การแปรรูป PIA ยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ปากีสถานต้องดำเนินการเพื่อให้ได้รับการอนุมัติเงินกู้จำนวน 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสายการบินแห่งชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ถึงแม้ว่า PIA จะเผชิญกับความท้าทายมามากมาย แต่ก็มีข่าวดีให้ได้ชื่นใจ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ PIA เพิ่งรายงานผลกำไรก่อนหักภาษีเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการกลับมาเติบโตอีกครั้ง

ปัจจุบัน รัฐบาลปากีสถานได้รับความสนใจจากกลุ่มธุรกิจในประเทศถึง 5 รายที่ต้องการเข้าซื้อกิจการของ PIA ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Airblue, Lucky Cement, Arif Habib และ Fauji Fertilizer ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ โดยคาดว่าจะมีการยื่นเสนอราคาซื้อ PIA รอบสุดท้ายภายในปีนี้

การกลับมาของ สายการบินแห่งชาติปากีสถาน ในเส้นทางบินตรงสู่สหราชอาณาจักร ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมการบินของปากีสถาน รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย การเดินทางที่สะดวกสบายมากขึ้นจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้า ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

หลังจากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า PIA จะสามารถรักษามาตรฐานความปลอดภัยและพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารและกลับมาเป็นสายการบินชั้นนำอีกครั้ง

ที่มา – อังกฤษเลิกแบนสายการบินแห่งชาติปากีสถาน บินตรงได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี

ยุโรปป่วน! **การเดินทางในยุโรปจ่อสะดุด** เหตุไซเบอร์

**การเดินทางในยุโรปจ่อสะดุดต่อเนื่องในวันนี้ หลังสนามบินใหญ่ถูกโจมตีทางไซเบอร์**

สถานการณ์การ**เดินทางในยุโรปจ่อสะดุด**ยังคงดำเนินต่อไปในวันนี้ (22 ก.ย.) เนื่องจากสนามบินหลายแห่งยังไม่สามารถกลับสู่สภาวะปกติ หลังจากการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อระบบเช็คอินของสายการบินหลัก

สนามบินในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนี, สนามบินในกรุงลอนดอนของอังกฤษ และสนามบินในกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม กำลังเผชิญกับความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อไปอีก เนื่องจากการโจมตีทางไซเบอร์ทำให้พนักงานต้องหันมาใช้ระบบการจัดการด้วยมือ

สาเหตุหลักของปัญหาระบบล่มนี้มาจากการโจมตีซอฟต์แวร์ MUSE ของบริษัท คอลลินส์ แอโรสเปซ (Collins Aerospace) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบแก่สายการบินต่างๆ ทั่วโลก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 ก.ย.) แพลตฟอร์ม MUSE ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบเช็คอิน, การขึ้นเครื่อง และการจัดการสัมภาระ เมื่อระบบอัตโนมัติใช้งานไม่ได้ สนามบินจึงจำเป็นต้องพึ่งพาวิธีการแบบดั้งเดิม ซึ่งส่งผลให้การเคลื่อนที่ของผู้โดยสารเป็นไปอย่างล่าช้า

สนามบินเบอร์ลิน บรันเดนบูร์กรายงานว่ายังคงประสบปัญหาความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สนามบินฮีทโธรว์แจ้งว่า แม้เที่ยวบินส่วนใหญ่จะยังคงให้บริการตามปกติ แต่แนะนำให้ผู้โดยสารตรวจสอบสถานะเที่ยวบินของตนก่อนเดินทางมาถึงสนามบิน นอกจากนี้ ยังแนะนำว่าผู้โดยสารไม่ควรเดินทางมาถึงสนามบินเร็วกว่า 3 ชั่วโมงสำหรับเที่ยวบินระยะไกล และ 2 ชั่วโมงสำหรับเที่ยวบินระยะสั้น

สนามบินบรัสเซลส์ได้ออกมาตรการที่เข้มงวดที่สุด โดยร้องขอให้สายการบินยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนเพื่อลดภาระให้กับพนักงาน มีการยกเลิก 25 เที่ยวบินในวันเสาร์ (20 ก.ย.) และอีก 50 เที่ยวบินในวันอาทิตย์ ผู้บริหารสนามบินเตือนว่า การยกเลิกเที่ยวบินและความล่าช้าจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป ตราบใดที่พนักงานยังคงต้องดำเนินการเช็คอินด้วยตนเอง

แม้ว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะยังคงจำกัด เมื่อเทียบกับปริมาณการจราจรทางอากาศทั้งหมดในยุโรป แต่เหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของสายการบินและสนามบิน เมื่อซัพพลายเออร์เทคโนโลยีที่สำคัญหยุดชะงัก คาดการณ์ว่าการฟื้นตัวจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น จนกว่าบริษัทคอลลินส์ แอโรสเปซ จะสามารถกู้คืนระบบได้อย่างสมบูรณ์

ภัยคุกคามทางไซเบอร์กับการ**เดินทางในยุโรปจ่อสะดุด**

ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีต่อโครงสร้างพื้นฐานและการบินเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้ รายงานเมื่อเดือนมิถุนายนโดย Thales SA บริษัทด้านยุทโธปกรณ์ของฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่าการโจมตีด้วย Ransomware ในอุตสาหกรรมการบินเพิ่มขึ้นถึง 600% เมื่อเทียบเป็นรายปี มีเหตุการณ์หลายสิบครั้งที่ส่งผลกระทบต่อสายการบิน, สนามบิน, ระบบนำทาง และบริการต่างๆ ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อ**การเดินทางในยุโรปจ่อสะดุด**

การโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการบิน แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่สำคัญมีความเสี่ยงเพียงใด สนามบินและสายการบินจำเป็นต้องลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต และเพื่อให้มั่นใจว่าผู้โดยสารสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและตรงเวลา ท้ายที่สุดแล้ว ความปลอดภัยของข้อมูลและการดำเนินงานควรเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

ที่มา – การเดินทางในยุโรปจ่อสะดุดต่อเนื่องในวันนี้ หลังสนามบินใหญ่ถูกโจมตีทางไซเบอร์

JAL หักเงินเดือนผู้บริหาร เซ่นปมนักบินดื่มก่อนบิน

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ (JAL) ตัดสินใจลงดาบ! สั่งหักเงินเดือนผู้บริหารระดับสูงถึง 37 คน ซึ่งรวมถึงประธานบริษัทและกรรมการทั้งหมด เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีนักบินดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขึ้นบิน เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เที่ยวบินระหว่างประเทศต้องล่าช้ากว่า 20 ชั่วโมง สร้างความเสียหายต่อผู้โดยสารและภาพลักษณ์ของสายการบินอย่างมาก

JAL หักเงินเดือนผู้บริหาร เซ่นปมนักบินดื่มก่อนบิน

จากรายงานของสำนักข่าวเกียวโด JAL ตัดสินใจใช้มาตรการที่เข้มงวดเช่นนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์นักบินดื่มแอลกอฮอล์จนส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่มาแล้วหลายครั้ง ทางสายการบินยอมรับว่า “การปฏิรูปภายในองค์กรเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยยังไม่เพียงพอ” และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ได้ออกมาตำหนิ JAL อย่างรุนแรง พร้อมทั้งสั่งให้ทางสายการบินรายงานมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ภาครัฐให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศเป็นอย่างมาก และมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในการกำกับดูแลภายในองค์กร

รายละเอียดการลงโทษกรณี JAL หักเงินเดือนผู้บริหาร

JAL ได้เปิดเผยรายละเอียดของการลงโทษผู้บริหาร โดย มิตสึโกะ ทตโตริ ประธานบริษัท จะถูกหักเงินเดือน 30% เป็นเวลา 2 เดือน ผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยและผู้บริหารที่กำกับดูแลด้านการบิน จะถูกหักเงินเดือน 20% เป็นเวลา 1 เดือน ส่วนกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหารคนอื่นๆ จะถูกหักเงินเดือน 10% การตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ JAL ในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้โดยสาร

เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดย 3 เที่ยวบินจากฮาวายไปยังญี่ปุ่นต้องล่าช้า โดย 2 เที่ยวบินในจำนวนนี้ดีเลย์นานถึง 18 ชั่วโมง สาเหตุมาจากการที่นักบินละเมิดกฎของสายการบินด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนวันปฏิบัติหน้าที่ เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้โดยสารเป็นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อตารางการบินของสายการบิน

ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว นักบินสองคนซึ่งมีกำหนดบินจากเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ไปยังสนามบินนาริตะ ใกล้กรุงโตเกียว ไม่ผ่านการตรวจแอลกอฮอล์ก่อนขึ้นบิน ทำให้เที่ยวบินต้องดีเลย์ไปกว่า 3 ชั่วโมง เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาการขาดวินัยของนักบินบางส่วน และความจำเป็นในการบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเคร่งครัด

การที่ JAL ตัดสินใจ JAL หักเงินเดือนผู้บริหาร ในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าทางสายการบินให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับแรก และพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยการปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กร การฝึกอบรมพนักงาน และการบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

สิ่งสำคัญก็คือ JAL จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารว่าจะสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและตรงเวลา การฟื้นฟูความเชื่อมั่นจะต้องอาศัยความโปร่งใสในการดำเนินงาน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

การที่ JAL JAL หักเงินเดือนผู้บริหาร อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และการบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอย

ที่มา – JAL ลงดาบ หักเงินเดือนผู้บริหาร 37 คน เซ่นปมปัญหานักบินดื่มก่อนบิน

แควนตัส! ซีอีโอโดนหักรายได้ เซ่นโจมตีไซเบอร์

วาเนสซา ฮัดสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสายการบินแควนตัสแอร์เวย์ส (Qantas Airways) และทีมผู้บริหารระดับสูงของเธอ ถูกหักค่าตอบแทนรวม 800,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (522,000 ดอลลาร์สหรัฐ) จากเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าหลายล้านคน โดยการดำเนินการดังกล่าวของแควนตัสถือเป็นความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าทางสายการบินใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการรับผิดชอบและการกำกับดูแล

เรื่องราวของซีอีโอและทีมผู้บริหารแควนตัสที่โดนหักรายได้จากเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์นั้น กำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในวงการธุรกิจและการบิน เพราะแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่ผู้บริหารระดับสูงต้องแบกรับเมื่อเกิดความผิดพลาดร้ายแรงขึ้น

แควนตัสระบุในรายงานประจำปีในวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า ฮัดสันถูกหักค่าตอบแทนจำนวน 250,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงอีก 5 คนถูกหักค่าตอบแทนรวมกัน 550,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนโดยรวมของฮัดสันในช่วงเวลา 12 เดือนซึ่งสิ้นสุดเดือนมิ.ย.ปีนี้ยังคงเพิ่มขึ้น โดยปรับตัวขึ้นเป็น 6.31 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 4.38 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในปีก่อนหน้า

สายการบินแควนตัสตรวจพบการโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบการเงิน และต่อมาพบว่าข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าจำนวน 5.7 ล้านคนถูกจารกรรม

จอห์น มัลเลน ประธานสายการบินแควนตัสระบุในรายงานประจำปีว่า การตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทางสายการบินที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบและการเป็นเจ้าของ พร้อมกับเปิดเผยว่าฝ่ายบริหารได้ดำเนินการในทันทีเพื่อควบคุมการรั่วไหลของข้อมูลลูกค้าและให้การสนับสนุนแก่ลูกค้า

มัลเลนยังกล่าวด้วยว่า การหักค่าตอบแทนของทีมผู้บริหารสะท้อนถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ในครั้งนี้

ทั้งนี้ การที่คณะกรรมการบริหารของแควนตัสใช้บทลงโทษอย่างรวดเร็วต่อฮัดสันและผู้บริหารระดับสูง มีขึ้นหลังจากที่ผู้พิพากษาศาลกลางของออสเตรเลียได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมองค์กรของแควนตัสอย่างรุนแรงในเดือนส.ค.

ซีอีโอ-ทีมผู้บริหาร “แควนตัส” โดนหักรายได้อ่วม เซ่นเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์

เหตุการณ์ที่ ซีอีโอ-ทีมผู้บริหาร “แควนตัส” โดนหักรายได้อ่วม เซ่นเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการละเลยความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางการเงิน แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรอีกด้วย

ทำไมซีอีโอและทีมผู้บริหารแควนตัสถึงโดนหักรายได้?

การที่ซีอีโอและทีมผู้บริหารของแควนตัสโดนหักรายได้นั้น เป็นผลมาจากความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้น การหักค่าตอบแทนนี้เป็นมาตรการที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า และมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด

การโดนหักรายได้อ่วมของทีมผู้บริหารแควนตัสครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อข้อมูลลูกค้า นอกจากนี้ ยังเป็นบทเรียนว่า ผู้บริหารระดับสูงต้องพร้อมรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในองค์กรของตนเอง

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าซีอีโอและทีมผู้บริหารจะถูกหักรายได้ แต่ค่าตอบแทนโดยรวมของซีอีโอก็ยังคงเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการประเมินผลงานของผู้บริหารระดับสูง และความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบและความเป็นธรรม

ในยุคดิจิทัลที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความรุนแรงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การที่องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ และมีความโปร่งใสในการจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความไว้วางใจจากลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์ ซีอีโอ-ทีมผู้บริหาร “แควนตัส” โดนหักรายได้อ่วม เซ่นเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ นี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่า การลงทุนในความปลอดภัยทางไซเบอร์และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่รับผิดชอบนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล

ที่มา – ซีอีโอ-ทีมผู้บริหาร “แควนตัส” โดนหักรายได้อ่วม เซ่นเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์

ทรัมป์ล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชย

รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมที่จะยกเลิกข้อเสนอของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ต้องการให้สายการบินจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินสดให้แก่ผู้โดยสาร ในกรณีที่เที่ยวบินในประเทศสหรัฐอเมริกาล่าช้าหรือถูกยกเลิก อันเนื่องมาจากความผิดพลาดของสายการบินเอง ข่าวนี้ถือเป็นประเด็นร้อนในวงการการบิน

ตามเอกสารที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน ระบุว่า กระทรวงคมนาคมจะทำการถอนข้อเสนอดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารและสายการบินโดยตรง

แผนการเดิมที่เสนอโดยรัฐบาลไบเดน กำหนดให้สายการบินต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวน 200-300 ดอลลาร์สหรัฐ หากเที่ยวบินภายในประเทศล่าช้าเกิน 3 ชั่วโมง และอาจสูงถึง 775 ดอลลาร์สหรัฐ หากเที่ยวบินล่าช้านานกว่านั้น ข้อเสนอนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสายการบินหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา พวกเขามองว่าภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ยุติธรรม

ปัจจุบัน ข้อบังคับที่มีอยู่กำหนดให้สายการบินในสหรัฐอเมริกาคืนเงินค่าโดยสารในกรณีที่เที่ยวบินถูกยกเลิกเท่านั้น แต่ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยเมื่อเกิดความล่าช้า อย่างไรก็ตาม สายการบินรายใหญ่ได้ตกลงกันตั้งแต่ปี 2565 ว่าจะรับผิดชอบค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ หากปัญหาเที่ยวบินขัดข้องเกิดจากความผิดพลาดของสายการบินเอง

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ หลายแห่ง เช่น สหภาพยุโรป (EU), แคนาดา, บราซิล และอังกฤษ ต่างมีกฎหมายที่บังคับให้สายการบินจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินสดในกรณีที่เที่ยวบินล่าช้า กฎหมายเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและสร้างแรงจูงใจให้สายการบินปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

Airlines for America ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทนของสายการบินส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับการตัดสินใจยกเลิกข้อเสนอของไบเดน โดยระบุว่าแผนดังกล่าวจะสร้างภาระที่ไม่จำเป็น และจะส่งผลให้ราคาตั๋วเครื่องบินสูงขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วภาระนี้จะตกอยู่กับผู้โดยสาร

อย่างไรก็ตาม บารัต รามามูรติ อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจของไบเดน มีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยกล่าวว่ากฎนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้โดยสารได้รับการชดเชยที่เป็นรูปธรรมสำหรับเที่ยวบินที่ล่าช้าหรือถูกยกเลิกเท่านั้น แต่ยังจะช่วยลดจำนวนเที่ยวบินที่ล่าช้าหรือถูกยกเลิกลงอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย เขาเชื่อว่าข้อเสนอนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสาร

รัฐบาลทรัมป์ล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชย

การตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ในการล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชยเที่ยวบินล่าช้า เป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสายการบินและผู้โดยสาร การยกเลิกข้อเสนอเดิมของไบเดนอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่สายการบินจัดการกับปัญหาเที่ยวบินล่าช้าและการเยียวยาผู้โดยสาร

ทำไมรัฐบาลทรัมป์ถึงล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชยเที่ยวบินล่าช้า?

เหตุผลหลักในการยกเลิกแผนดังกล่าวคือการลดภาระทางการเงินให้กับสายการบิน โดยรัฐบาลทรัมป์เชื่อว่าการบังคับให้สายการบินจ่ายค่าชดเชยจะส่งผลให้ราคาตั๋วเครื่องบินสูงขึ้นและเป็นภาระกับผู้โดยสารในที่สุด นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าข้อกำหนดดังกล่าวอาจทำให้สายการบินลดการลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน

ผลกระทบของการตัดสินใจนี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ที่เกี่ยวข้อง สายการบินอาจมองว่าเป็นการปลดภาระทางการเงินที่ไม่จำเป็น ในขณะที่ผู้โดยสารอาจรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการคุ้มครองน้อยลงในกรณีที่เที่ยวบินล่าช้า การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เน้นย้ำถึงความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างการสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินและการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค

ในอนาคต เป็นไปได้ว่าอาจมีการพิจารณาแนวทางอื่น ๆ ในการปรับปรุงประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารและการเยียวยาในกรณีที่เที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก สิ่งสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินและการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค

การล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชยเที่ยวบินล่าช้า ของรัฐบาลทรัมป์เป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีหลายแง่มุมที่ต้องพิจารณา การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งสายการบินและผู้โดยสาร และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่ปัญหาเที่ยวบินล่าช้าได้รับการจัดการในอนาคต

ล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชยเที่ยวบินล่าช้า อาจส่งผลให้สายการบินต่างๆ หาทางออกอื่นในการบริการลูกค้าเมื่อเกิดปัญหาเที่ยวบินล่าช้า เช่น การเสนอคูปองส่วนลดสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป หรือการปรับปรุงการสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับสถานะเที่ยวบิน

สุดท้ายแล้ว การล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชยเที่ยวบินล่าช้า แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณานโยบายในทุกแง่มุม เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม การตัดสินใจนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการอภิปรายและการเจรจาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาเที่ยวบินล่าช้าและการชดเชยผู้โดยสาร

ที่มา – รัฐบาลทรัมป์ล้มแผนไบเดน ไม่บังคับสายการบินจ่ายชดเชยเที่ยวบินล่าช้า

JAL ดีเลย์! ซ้ำรอยเหตุนักบินดื่มแอลกอฮอล์

เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย! เที่ยวบินของ JAL ดีเลย์ ซ้ำรอยเหตุนักบินดื่มแอลกอฮอล์ สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้โดยสารจำนวนมาก สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ (JAL) ออกมาเปิดเผยว่า เที่ยวบินจำนวน 3 เที่ยวบินที่เดินทางจากฮาวายมายังประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความล่าช้า เนื่องจากตรวจพบว่านักบินได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ โดยมี 2 เที่ยวบินที่ล่าช้าเป็นเวลานานถึง 18 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ตามรายงานระบุว่า กัปตันคนดังกล่าว ซึ่งมีกำหนดการบินจากโฮโนลูลูไปยังสนามบินนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ ได้ยื่นใบลากะทันหันในวันเดินทาง โดยยอมรับว่าตนเองได้ดื่มแอลกอฮอล์ในวันก่อนหน้าที่จะทำการบิน

แม้ว่า JAL จะสามารถจัดหานักบินสำรองมาทดแทนได้ แต่เหตุการณ์นี้ก็ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินอื่น ๆ อีก 2 เที่ยวบินที่มุ่งหน้าไปยังสนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียว ทำให้ผู้โดยสารรวมกว่า 630 ชีวิตต้องได้รับผลกระทบจากความล่าช้าที่เกิดขึ้น

ทางด้านกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (MLIT) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปยังสำนักงานใหญ่ของ JAL ในกรุงโตเกียว เพื่อดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เที่ยวบินของ JAL ดีเลย์ ซ้ำรอยเหตุนักบินดื่มแอลกอฮอล์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ นับเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจาก JAL เพิ่งจะได้รับคำสั่งปรับปรุงธุรกิจไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของพนักงานในองค์กร ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว กัปตันของ JAL คนหนึ่งเคยได้รับคำเตือนจากตำรวจท้องที่ในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับพฤติกรรมการก่อความวุ่นวายขณะเมาสุราภายในโรงแรม

นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน นักบินสองคนที่มีกำหนดการบินจากเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ไปยังประเทศญี่ปุ่น ไม่ผ่านการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ก่อนทำการบิน ส่งผลให้เที่ยวบินดังกล่าวต้องล่าช้าออกไปเช่นกัน

มาตรการป้องกันเหตุซ้ำรอย

จากเหตุการณ์อื้อฉาวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ JAL ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยได้ส่งมาตรการป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยไปยังกระทรวงคมนาคมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการดังกล่าวรวมถึงการจัดทำรายชื่อพนักงานที่ JAL เชื่อว่ามีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด เพื่อติดตามและเฝ้าระวังพฤติกรรมของพวกเขาอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินของ JAL ดีเลย์ ซ้ำรอยเหตุนักบินดื่มแอลกอฮอล์ แสดงให้เห็นว่ามาตรการเหล่านั้นยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

JAL ได้ออกมาแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าจะดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยหวังว่าจะสามารถขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดสิ้นไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้

เหตุการณ์ เที่ยวบินของ JAL ดีเลย์ ซ้ำรอยเหตุนักบินดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเครื่องเตือนใจว่าสายการบินควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับแรก และต้องมีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก

ที่มา – เที่ยวบินของ JAL ดีเลย์ ซ้ำรอยเหตุนักบินดื่มแอลกอฮอล์

แอร์แคนาดาวุ่น! พนักงานยังประท้วงต่อ

เกิดความวุ่นวายขึ้นกับสายการบินแอร์แคนาดาเมื่อพนักงานยังคงประท้วงต่อ! เรื่องราวความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการและผู้โดยสารอย่างไร? มาติดตามรายละเอียดกัน

สายการบินแอร์แคนาดา (Air Canada) ซึ่งเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดา กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินยังคงยืนกรานที่จะประท้วง แม้ว่ารัฐบาลจะมีคำสั่งให้กลับเข้าทำงานแล้วก็ตาม เหตุการณ์นี้ส่งผลให้สายการบินต้องระงับแผนการกลับมาให้บริการเที่ยวบินแบบจำกัดจำนวน ซึ่งเดิมทีมีกำหนดในเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ทางสายการบินระบุว่า สหภาพพนักงานสาธารณะแห่งแคนาดา (CUPE) ได้ออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสั่งให้สมาชิกซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งแคนาดา (CIRB) ที่ให้กลับไปทำงานตามปกติ อย่างไรก็ตาม แอร์แคนาดาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคาดว่าจะสามารถกลับมาให้บริการเที่ยวบินได้อีกครั้งในเย็นวันจันทร์

ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีคือ เที่ยวบินราว 240 เที่ยวบินที่กำหนดจะเริ่มให้บริการในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ถูกยกเลิกไปแล้ว ทำให้ผู้โดยสารจำนวนมากได้รับผลกระทบ โดยปกติแล้ว แอร์แคนาดาและสายการบินลูกอย่างแอร์แคนาดา รูจ (Air Canada Rouge) ให้บริการเที่ยวบินเฉลี่ย 700 เที่ยวบินต่อวัน การหยุดชะงักนี้จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเดินทางทางอากาศในแคนาดา

แอร์แคนาดาวุ่น พนักงานยังประท้วงต่อ

รัฐบาลแคนาดาเองก็เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยแพตตี ฮัจดู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการจ้างงานและครอบครัว ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า เธอได้ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายแรงงานแคนาดา เพื่อสั่งให้คณะกรรมการ CIRB เข้ามาทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทระหว่างแอร์แคนาดากับสหภาพ CUPE

ความขัดแย้งระหว่างแอร์แคนาดากับสหภาพ CUPE นั้นมีมานานกว่า 8 เดือน โดยมีประเด็นสำคัญหลายอย่างที่เป็นข้อพิพาท เช่น การขึ้นค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยงภาคพื้นดิน การปรับปรุงเงินบำนาญและสวัสดิการ รวมถึงการเพิ่มเวลาพักให้กับลูกเรือ ถึงแม้จะมีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นได้

ประเด็นสำคัญเบื้องหลังการประท้วงของพนักงานแอร์แคนาดา

ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ ปัจจุบันพนักงานต้อนรับได้รับค่าจ้างเฉพาะในช่วงที่เครื่องบินเคลื่อนที่เท่านั้น ในขณะที่ทางสหภาพเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานบนพื้นดินระหว่างเที่ยวบิน รวมถึงการช่วยผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ซึ่งเป็นประเด็นที่พนักงานมองว่าไม่เป็นธรรมและต้องการให้ได้รับการแก้ไข

สถานการณ์ แอร์แคนาดาวุ่น พนักงานยังประท้วงต่อ นี้ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลกระทบต่อหลายฝ่าย ทั้งสายการบิน พนักงาน และผู้โดยสาร การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การบริการกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

  • ผลกระทบต่อผู้โดยสาร: การยกเลิกเที่ยวบินทำให้ผู้โดยสารจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่สะดวกในการเดินทาง
  • ผลกระทบต่อสายการบิน: การหยุดชะงักในการให้บริการส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของสายการบิน
  • ความสำคัญของการเจรจา: การเจรจาอย่างจริงจังและเปิดใจเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

แอร์แคนาดาวุ่น พนักงานยังประท้วงต่อ เป็นเครื่องเตือนใจว่าการดูแลพนักงานที่เป็นธรรมและให้ความสำคัญกับสวัสดิการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร การประนีประนอมและการหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ที่มา – แอร์แคนาดาวุ่น พนักงานยังประท้วงต่อ ไม่กลับไปทำงานตามคำสั่งรัฐบาล