ยาเสพติด

ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีโคลอมเบีย ปธน.ถูกประณาม

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย อย่างรุนแรง โดยตราหน้าว่าเป็น “ผู้นำค้ายาเสพติด” และขู่ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจากโคลอมเบียเพื่อเป็นการลงโทษ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศว่าจะระงับความช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯ เคยให้ไว้กับโคลอมเบีย ซึ่งเป็นการยกระดับความตึงเครียดกับหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ ในลาตินอเมริกา

ทรัมป์กล่าวหาว่าการค้ายาเสพติดกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในโคลอมเบีย และโจมตีประธานาธิบดีเปโตรว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้ง แม้จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหรัฐฯ มานานหลายปี ทรัมป์ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เงินช่วยเหลือเหล่านี้…จะไม่มีอีกต่อไป” และยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าโคลอมเบียเป็น “เครื่องจักรผลิตยาเสพติด”

ตลอดศตวรรษที่ 21 โคลอมเบียได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ไปแล้วประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงความช่วยเหลือมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2560 เพื่อสนับสนุนกองทัพ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ตัดสินใจในเดือนกันยายนที่จะถอนการรับรองสถานะของโคลอมเบียในฐานะพันธมิตรต้านยาเสพติด ทำให้โคลอมเบียถูกลดระดับไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับเวเนซุเอลา โบลิเวีย อัฟกานิสถาน และเมียนมา ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโคเคนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากโคลอมเบีย

ประธานาธิบดีเปโตรตอบโต้ผ่านแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวว่าทรัมป์กำลังถูกที่ปรึกษาหลอก และยืนยันว่าเขาได้ดำเนินการมากกว่าผู้นำคนใดๆ ในการเปิดโปงความเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้ายาเสพติดกับชนชั้นนำทางการเมืองของโคลอมเบีย

ประธานาธิบดีเปโตร ซึ่งไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ได้เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลงในเดือนสิงหาคมปีหน้า ได้พยายามรวบรวมแนวร่วมฝ่ายซ้ายเพื่อผลักดันวาระของตนเอง โดยสร้างภาพให้ทรัมป์เป็นคู่ขัดแย้ง และวางตำแหน่งตนเองเป็นผู้นำของกลุ่มแนวคิดหัวก้าวหน้าระดับโลก

ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งแย่ลงไปอีกในเดือนกันยายน เมื่อประธานาธิบดีเปโตรเรียกร้องให้ทหารสหรัฐฯ ขัดขืนคำสั่งของทรัมป์ ระหว่างการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่สหประชาชาติ (UN) ซึ่งนำไปสู่การที่สหรัฐฯ ยกเลิกวีซ่าของประธานาธิบดีเปโตร

ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีโคลอมเบีย ประณามปธน.เปโตร เป็น “ผู้นำค้ายาเสพติด”

สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และโคลอมเบียกำลังตึงเครียดอย่างมาก จากการที่ทรัมป์กล่าวหาประธานาธิบดีเปโตรว่าเป็น “ผู้นำค้ายาเสพติด” และขู่ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจากโคลอมเบีย มาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโคลอมเบียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแย่ลงไปอีก

ผลกระทบจากกรณีทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีโคลอมเบีย

การที่ทรัมป์ขู่ที่จะขึ้นภาษีโคลอมเบีย อาจส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ซึ่งรวมถึง:

  • เศรษฐกิจโคลอมเบีย: ภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้สินค้าโคลอมเบียมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจลดความสามารถในการแข่งขันและส่งผลกระทบต่อการส่งออก
  • ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: การกระทำของทรัมป์อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และโคลอมเบียเสื่อมถอยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น การต่อต้านยาเสพติด
  • การเมืองภายในประเทศของโคลอมเบีย: การถูกโจมตีจากภายนอกอาจส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ

การที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวหาประธานาธิบดีเปโตรว่าเป็น “ผู้นำค้ายาเสพติด” และขู่ที่จะขึ้นภาษีโคลอมเบีย เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศได้

ในขณะที่สถานการณ์ยังคงพัฒนาต่อไป สิ่งสำคัญคือต้องติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำของทรัมป์ การที่ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีโคลอมเบีย และกล่าวหาผู้นำว่าเป็นผู้นำค้ายาเสพติด เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย และต้องมีการพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว

สถานการณ์ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีโคลอมเบียนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในโลกการเมืองปัจจุบัน และความสำคัญของการมีผู้นำที่สามารถรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนได้

ที่มา – ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีโคลอมเบีย ประณามปธน.เปโตร เป็น “ผู้นำค้ายาเสพติด”

สลด! **จับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับ** พ้นคุก 7 วัน

จับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับคาบ้าน หลังเพิ่งพ้นคุกได้ 7 วัน พบเอกสารสำคัญตกอยู่ข้างศพ เปิดปากสารภาพเล่าสาเหตุ ยอมรับเพิ่งเสพยาบ้าไป 3 เม็ด

วันที่ 9 ต.ค.2568 ร.ต.อ.พรชัย แจ่มเชื้อ รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองอุบลราชธานี เปิดเผยว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งเหตุลูกชายทำร้ายร่างกายแม่เสียชีวิต ภายในบ้านหลังหนึ่ง ต.กุดลาด อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และรุดไปตรวจสอบพร้อมชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิศิษย์พระจี้กงอุบลราชธานี

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพักอาศัยครึ่งปูนครึ่งไม้ บริเวณแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านพบร่างผู้เสียชีวิตชื่อ นางเทียม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 60 ปี สภาพศพสวมชุดสีแดง นอนเสียชีวิตในลักษณะคว่ำหน้า มีบาดแผลฉกรรจ์เปิดบริเวณใบหน้า ลำคอ ท้ายทอยลึกถึงกะโหลก รวม 5 แผล แขนซ้ายมีรอยถูกของมีคมฟันเป็นแผลฉกรรจ์ อีก 1 แผล

จับแล้ว ลูกคลั่ง กระหน่ำฟันแม่ดับคาบ้าน หลังเพิ่งพ้นคุกได้ 7 วัน พบเอกสารสำคัญตกอยู่ข้างศพ เปิดปากสารภาพเล่าสาเหตุ ยอมรับเพิ่งเสพยาบ้าไป 3 เม็ด

จับแล้ว ลูกคลั่ง กระหน่ำฟันแม่ดับคาบ้าน หลังเพิ่งพ้นคุกได้ 7 วัน พบเอกสารสำคัญตกอยู่ข้างศพ เปิดปากสารภาพเล่าสาเหตุ ยอมรับเพิ่งเสพยาบ้าไป 3 เม็ด

ใกล้กันพบเอกสารในการรับอภัยโทษเมื่อวันที่ 1 ต.ค.68 ของนายรัตนพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของผู้ตาย 1 ฉบับ ใบส่งต่อข้อมูลจิตเวชพ้นโทษ 1 ฉบับ ระบุป่วย โรคจิตที่ไม่ระบุชนิดและไม่ได้เกิดจากโรคทางกาย และโรควิตกกังวลแบบผสมและโรคซึมเศร้า มีความเสี่ยงหากไม่ได้รับยาต่อเนื่อง

จากการสอบถามทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายรัตนพล หรือ ยิ้ม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ลูกชายของนางเทียม หลังก่อเหตุได้วิ่งหลบหนีออกไปทางหลังบ้าน พร้อมกับมีดพร้าที่ใช้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้านกว่า 50 คน ได้ไล่ติดตามตัวนายรัตนพล แต่ก็ยังไม่พบตัว

นางสีดา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี อาของนายรัตนพล กล่าวว่า เมื่อปี 2560 นายรัตนพล ได้มีอาการคลุ้มคลั่งและทำร้ายเพื่อนบ้านจนเสียชีวิตมาแล้ว 1 คน ถูกจับติดคุก 8 ปี เพิ่งจะพ้นโทษเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่กลับมาอยู่บ้านวันแรก ตนสังเกตอาการนายรัตนพลก็ดีขึ้นกว่าเดิม ก่อนถูกจับ 2-3 วัน หลังนายรัตนพลเริ่มมีอาการตาขวางพกมีดพร้าและไปดื่มสุรา

ก่อนเกิดเหตุ นายรัตนพล ออกไปดื่มสุรากับเพื่อนตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 8 ต.ค. ไม่ยอมนอนและไม่ทานยา จนเพื่อนบ้านมาบอกให้นายเทียม ผู้เป็นแม่ไปตามกลับ เนื่องจากนายรัตนพลพกมีดตาขวางเกรงว่าจะทำร้ายคนอื่น

ทำให้นายรัตนพลไม่พอใจที่แม่ไปตามกลับบ้าน จนกระทั่ง เวลา 19.00 น. นายรัตนพล กลับบ้านมาต่อว่านางเทียมที่บ้านและมีปากเสียงกัน จนนายรัตนพล ใช้มีดพร้าที่พกอยู่ฟันเข้าที่ศีรษะนางเทียม 2 ครั้ง ก่อนจะหลบหนีไป

ล่าสุดพบนายรัตนพลได้เข้าไปนอนหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุ ประมาณ 500 เมตร เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ตะโกนเรียกให้นายรัตนพลออกมามอบตัว ก่อนที่เจ้าหน้าที่พาบุคคลที่สนิทคุ้นเคยกับผู้ก่อเหตุมาช่วยเกลี้ยกล่อม ผู้ก่อเหตุจึงยอมออกมามอบตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเข้าควบคุมตัว และพากลับไปสอบสวนเพิ่มเติมอย่างละเอียดที่ สภ.เมืองอุบลราชธานี

จาการสอบถาม นายรัตนพล กล่าวว่า ตนเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าแม่ของตนเองจริง เนื่องจากโดนพ่อ และแม่ ดุด่าว่าเสพยาบ้า และดื่มสุรา เป็นประจำ โดยก่อนเกิดเหตุ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ ตนยอมรับว่าได้เสพยาบ้า จำนวน 3 เม็ด ก่อนที่ตนจะกลับเข้าไปในบ้าน และมองเห็นแม่ตนเป็นผี จึงมีการทะเลาะกัน ก่อนจะใช้มีดพร้าที่ถือมาด้วยฟันแม่จนเสียชีวิต แล้ววิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวที่บ้านของชาวบ้าน

ผู้สื่อข่าวสังเกตดูว่า นายรัตนพล ยังให้การพูดจาวกวน และยังมีอาการหวาดระแวง พร้อมนั่งร้องไห้ตลอด เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายรัตนพล แจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดนเจตนา และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยฝ่าฝืนกฎหมาย นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับ

คดีสะเทือนขวัญ จับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับ กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากผู้ต้องหาเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียง 7 วันเท่านั้น รายละเอียดของคดีนี้ยังคงมีความซับซ้อน และเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

สาเหตุที่นำไปสู่เหตุการณ์ **จับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับ**

จากคำสารภาพของผู้ต้องหา สาเหตุที่ลงมือก่อเหตุเนื่องจากความขัดแย้งส่วนตัว ประกอบกับอาการทางจิตเวช และการเสพยาเสพติด ทำให้ขาดสติและควบคุมตัวเองไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อยืนยันถึงสาเหตุที่แท้จริง

การจับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับ ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมที่ซับซ้อน ทั้งในเรื่องของปัญหายาเสพติด ปัญหาทางจิตเวช และปัญหาความรุนแรงในครอบครัว การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดใจเช่นนี้อีก

เหตุการณ์ จับแล้วลูกคลั่ง ฟันแม่ดับ เป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคมไทยได้ตระหนักถึงปัญหายาเสพติดและปัญหาสุขภาพจิตที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวอย่างร้ายแรง การให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วยทางจิตเวชอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา – จับแล้ว ลูกคลั่ง กระหน่ำฟันแม่ดับคาบ้าน หลังเพิ่งพ้นคุกได้ 7 วัน

เวเนฯ โวย! เหยื่อ 11 ศพ ไม่ใช่แก๊งค้ายา

เวเนซุเอลาออกมาโต้แย้ง! รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของเวเนซุเอลาได้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 11 รายจากเหตุการณ์ที่กองทัพสหรัฐฯ โจมตีเรือในทะเลแคริบเบียนเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น ไม่ได้เป็นสมาชิกของแก๊ง “เตรนเดอารากัว” (Tren de Aragua) ตามที่ถูกกล่าวหา สถานการณ์นี้ยิ่งทำให้ความตึงเครียดระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยเวเนซุเอลาได้ส่งกำลังทหารเข้าประจำการเพื่อตอบโต้

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเรือลำดังกล่าวลักลอบขนยาเสพติด แต่กลับไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก แม้ว่าสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เองจะเรียกร้องให้มีการชี้แจงถึงเหตุผลในการปฏิบัติการครั้งนี้

ดิโอสดาโด กาเบโย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรครัฐบาล กล่าวอย่างหนักแน่นผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติว่า “พวกเขายอมรับว่าสังหารคนไป 11 คน เราได้ทำการสืบสวนภายในประเทศ พบว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตต่างเรียกร้องให้ญาติของพวกเขากลับคืนมา และจากการสอบถามในเมืองต่างๆ ไม่พบว่ามีใครเป็นสมาชิกแก๊งเตรนเดอารากัว หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลยแม้แต่คนเดียว”

“นี่คือการสังหารหมู่พลเรือนโดยใช้อาวุธร้ายแรง” กาเบโยกล่าวเสริม และตั้งคำถามว่าสหรัฐฯ ทราบได้อย่างไรว่าบนเรือบรรทุกยาเสพติด และเหตุใดจึงไม่เลือกใช้วิธีการจับกุมแทนการใช้กำลังถึงชีวิต

ทางด้าน แอนนา เคลลี โฆษกทำเนียบขาว ได้ตอบโต้ว่า “คนเหล่านั้นคือผู้ก่อการร้ายยาเสพติดจากแก๊งเตรนเดอารากัว ที่พยายามลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศเราและสังหารชาวอเมริกัน”

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลเวเนซุเอลายังได้กล่าวหาว่า คลิปวิดีโอการโจมตีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำมาเผยแพร่นั้น เป็นภาพที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

เวเนฯ โวย เหยื่อ 11 ศพที่ถูกสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือ ไม่ใช่สมาชิกแก๊งค้ายา

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามและความสงสัยมากมายเกี่ยวกับความชอบธรรมในการใช้กำลังของสหรัฐฯ และความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับ หากผู้เสียชีวิตทั้ง 11 รายไม่ใช่สมาชิกแก๊งค้ายาจริง การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว

ข้อโต้แย้งเรื่อง เหยื่อ 11 ศพที่ถูกสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือ ไม่ใช่สมาชิกแก๊งค้ายา

ประเด็นหลักที่เวเนซุเอลาโต้แย้งคือ การที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าผู้เสียชีวิตเป็นสมาชิกแก๊งค้ายา โดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน รัฐบาลเวเนซุเอลายืนยันว่าได้ทำการตรวจสอบแล้ว และไม่พบความเชื่อมโยงใดๆ ระหว่างบุคคลเหล่านี้กับแก๊งอาชญากรรม

  • การสืบสวนภายในประเทศ: รัฐบาลเวเนซุเอลาอ้างว่าได้ทำการสืบสวนอย่างละเอียด และไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นสมาชิกแก๊งค้ายา
  • คำกล่าวอ้างของครอบครัว: ครอบครัวของผู้เสียชีวิตต่างปฏิเสธว่าญาติของตนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
  • ข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อมูล: เวเนซุเอลาตั้งคำถามว่าสหรัฐฯ ได้ข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดบนเรือมาได้อย่างไร และเหตุใดจึงไม่พยายามจับกุมผู้ต้องสงสัย

นอกจากนี้ การที่เวเนซุเอลาอ้างว่าคลิปวิดีโอการโจมตีเป็นภาพที่สร้างขึ้นโดยใช้ AI ยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หากเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าสหรัฐฯ พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตน

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ ซึ่งมีความตึงเครียดอยู่แล้ว การที่เวเนซุเอลาออกมาประณามการกระทำของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างมาก และอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคต

นอกจากนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในสายตาของประชาคมโลก การใช้กำลังถึงชีวิตโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชน

สิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และการใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน หากมีการพิสูจน์ได้ว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 11 รายเป็นผู้บริสุทธิ์ สหรัฐฯ จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน และชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยสรุปแล้ว ข้อโต้แย้งที่ว่า เหยื่อ 11 ศพที่ถูกสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือ ไม่ใช่สมาชิกแก๊งค้ายา ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิตและครอบครัว และเพื่อรักษาหลักการของความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

ที่มา – เวเนฯ โวย เหยื่อ 11 ศพที่ถูกสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือ ไม่ใช่สมาชิกแก๊งค้ายา

เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่งหลังสหรัฐฯ ประชิด

เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่งหลังสหรัฐฯ ประชิด

ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น เวเนซุเอลาเตรียมเวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่งหลังสหรัฐฯ ประชิดให้กับรัฐชายฝั่ง 4 แห่ง และเกาะอีก 1 แห่ง เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐฯ ส่งกองกำลังมาประจำการในทะเลแคริบเบียน

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากความสัมพันธ์ระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ ได้ส่งเรือรบอย่างน้อย 3 ลำและทหาร 4,000 นายไปยังทะเลแคริบเบียนตอนใต้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติดภายใต้ปฏิบัติการพิเศษ

สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสหรัฐฯ โจมตีเรือที่ถูกกล่าวหาว่าขนส่งยาเสพติดจากเวเนซุเอลา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 11 รายในช่วงต้นเดือนกันยายน

วลาดิเมียร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงกลาโหมเวเนซุเอลา ได้แถลงผ่านวิดีโอที่โพสต์บนอินสตาแกรมของเขาว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ได้สั่งการให้ระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่พร้อมปฏิบัติการไปยังรัฐซูเลีย, ฟัลกอน, นิววา เอสปาร์ตา, ซูเกร และเดลตา อามาคูโร

การตอบโต้ของเวเนซุเอลาต่อการประชิดชายฝั่งของสหรัฐฯ

เวเนซุเอลาได้ส่งเครื่องบินเจ็ตอย่างน้อย 2 ลำไปยังน่านน้ำสากล ซึ่งอยู่ในระยะของเรือรบสหรัฐฯ อย่างน้อยหนึ่งลำ แม้ว่าจะไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการถึงการเคลื่อนที่ดังกล่าว แต่ปาดริโนได้กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่ากองทัพอากาศเวเนซุเอลากำลังปกป้องน่านฟ้าของประเทศและลาดตระเวนในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ กองทัพเรือเวเนซุเอลายังคงประจำการตามแนวชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างต่อเนื่อง

การตอบโต้ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเวเนซุเอลาในการรักษาอธิปไตยของตนเอง ท่ามกลางความท้าทายจากภายนอก

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนว่า หากเครื่องบินของเวเนซุเอลาเป็นอันตรายต่อเรือของสหรัฐฯ เครื่องบินเหล่านั้นจะถูกยิงตกทันที

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเผชิญหน้าทางทหารที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ และนานาชาติกำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเปราะบางระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประวัติความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจมายาวนาน

เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่งหลังสหรัฐฯ ประชิดครั้งนี้ ถือเป็นการตอบโต้ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อการกระทำของสหรัฐฯ และยืนยันถึงความตั้งใจที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง

การยกระดับความปลอดภัยดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความพร้อมในการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น และปกป้องประชาชนและทรัพย์สินของประเทศ

สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และจำเป็นต้องมีการเจรจาและการทูตเพื่อลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการปะทะกันโดยไม่จำเป็น

เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่งหลังสหรัฐฯ ประชิด เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาอธิปไตยและปกป้องประเทศชาติ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย

ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะยังคงตึงเครียด แต่ก็หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาทางออกทางการทูตเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น และสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

ที่มา – เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่ง หลังสหรัฐฯ ส่งกองเรือประชิดทะเลแคริบเบียน

ทรัมป์เผย ทัพสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือขนยาเสพติดเวเนซุเอลา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงว่า กองทัพอเมริกันได้ปฏิบัติการโจมตีเรือต้องสงสัยลักลอบขนยาเสพติดลำหนึ่งจากเวเนซุเอลาในทะเลแคริบเบียนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (2 ก.ย.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตยกลำ 11 ราย โดยทรัมป์อ้างว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย ถือเป็นการเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งกองเรือรบขนาดใหญ่เข้าประชิดภูมิภาคเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน

“เราเพิ่งสอยเรือขนยาไปลำหนึ่งสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง ในเรือมียาเสพติดมหาศาล” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว “แล้วคอยดูเถอะ จะมีตามมาอีก ยาเสพติดทะลักเข้าประเทศเรามานานแล้ว … ของล็อตนี้มาจากเวเนซุเอลา”

ต่อมา ทรัมป์ได้แชร์คลิปวิดีโอบนแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล (Truth Social) ที่ดูเหมือนถ่ายจากโดรน เผยให้เห็นภาพเรือเร็วลำหนึ่งกลางทะเลเกิดระเบิดลุกเป็นไฟ พร้อมระบุข้อความว่า “ผลปฏิบัติการครั้งนี้ สังหารผู้ก่อการร้ายได้ 11 นาย ฝ่ายกองทัพสหรัฐฯ ไม่มีใครได้รับอันตราย”

ผู้นำสหรัฐฯ ตอกย้ำว่า กองทัพสามารถระบุตัวตนลูกเรือได้ว่าเป็นสมาชิกของแก๊ง “เตรนเดอารากัว” (Tren de Aragua) ซึ่งสหรัฐฯ เพิ่งขึ้นบัญชีเป็นองค์กรก่อการร้ายเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ทรัมป์ยังกล่าวหาด้วยว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังแก๊งนี้ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รัฐบาลเวเนซุเอลาปฏิเสธมาโดยตลอด

ด้าน เฟรดดี ญาเญซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของเวเนซุเอลา ออกมาตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียว่า วิดีโอที่ทรัมป์นำมาเผยแพร่นั้น อาจเป็นของปลอมที่สร้างขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังกองทัพเรือสหรัฐฯ เคลื่อนกองเรือรบขนาดใหญ่เข้าประชิดทะเลแคริบเบียนตอนใต้ โดยฝ่ายสหรัฐฯ อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดในภูมิภาคลาตินอเมริกา

กองเรือที่ถูกส่งมาในครั้งนี้ประกอบด้วยเรือรบ 7 ลำ และเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์อีก 1 ลำ ซึ่งถือเป็นการเสริมกำลังทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีและมีขนาดใหญ่กว่าภารกิจปกติในภูมิภาคนี้อย่างมีนัยสำคัญ

กองเรือดังกล่าวรวมถึงเรือ USS San Antonio, USS Iwo Jima และ USS Fort Lauderdale ซึ่งบรรทุกกำลังพลรวมกว่า 4,500 นาย ในจำนวนนี้เป็นนาวิกโยธิน 2,200 นาย นอกจากนี้ กองทัพสหรัฐฯ ยังได้ส่งเครื่องบินสอดแนม P-8 ขึ้นบินรวบรวมข่าวกรองในน่านน้ำสากลบริเวณดังกล่าวด้วย

ทรัมป์เผย ทัพสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือขนยาเสพติดเวเนซุเอลา

สถานการณ์นี้มีความซับซ้อนและน่าติดตามอย่างยิ่ง การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาเปิดเผยข้อมูลด้วยตนเอง ยิ่งทำให้เกิดความสนใจจากทั่วโลกต่อปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ การอ้างว่าผู้เสียชีวิตเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายก็เป็นประเด็นที่ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป

วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น:

  • ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลา: ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างสองประเทศนี้ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ปฏิบัติการดังกล่าว การกล่าวหาว่าประธานาธิบดีมาดูโรอยู่เบื้องหลังแก๊งค้ายาเสพติดยิ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียด
  • การปราบปรามยาเสพติด: สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดมาโดยตลอด และปฏิบัติการนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศ
  • ข้อมูลที่ขัดแย้ง: การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของเวเนซุเอลาออกมาโต้แย้งว่าวิดีโออาจเป็นของปลอม แสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจระหว่างสองฝ่าย และความยากลำบากในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ผลกระทบจากเหตุการณ์ ทรัมป์เผย ทัพสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือขนยาเสพติดเวเนซุเอลา

เหตุการณ์ ทรัมป์เผย ทัพสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือขนยาเสพติดเวเนซุเอลา อาจส่งผลกระทบหลายด้าน เช่น

  • ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลาย่ำแย่ลงไปอีก
  • ความมั่นคงในภูมิภาค: อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นในภูมิภาคลาตินอเมริกา
  • การค้ายาเสพติด: อาจส่งผลกระทบต่อขบวนการค้ายาเสพติดในภูมิภาค แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถปราบปรามได้อย่างยั่งยืนหรือไม่

สรุปแล้ว เหตุการณ์ทรัมป์เผย ทัพสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือขนยาเสพติดเวเนซุเอลาเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงในภูมิภาค และการปราบปรามยาเสพติดในระยะยาว การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการหาทางออกทางการทูตจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา – ทรัมป์เผย ทัพสหรัฐฯ ยิงถล่มเรือขนยาเสพติดเวเนซุเอลา ดับ 11 อ้างเป็นแก๊งก่อการร้าย

ญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายา ยึดกัญชา 1 ตันล็อตใหญ่สุด!

ข่าวใหญ่สะเทือนวงการยาเสพติด! ทางการญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายาเวียดนาม ยึดกัญชา 1 ตัน ซึ่งถือเป็นล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจับกุมได้ในประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายาเวียดนาม ยึดกัญชา 1 ตัน มูลค่ามหาศาล

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยถึงปฏิบัติการครั้งสำคัญที่สามารถยึดกัญชาได้มากถึง 1.046 ตัน คิดเป็นมูลค่าในตลาดมืดสูงถึง 5.2 พันล้านเยน หรือประมาณ 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของการปราบปรามยาเสพติดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่สามารถยึดกัญชาได้มากขนาดนี้มาก่อน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการจับกุมยาเสพติดครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่ในการต่อสู้กับปัญหายาเสพติด

รายละเอียดการจับกุมญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายาเวียดนาม ยึดกัญชา 1 ตัน

กรมควบคุมยาเสพติดซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้ทำการจับกุมชาวเวียดนามจำนวน 3 คน ผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการลักลอบนำกัญชาล็อตใหญ่นี้เข้ามาในประเทศ โดยใช้วิธีการซุกซ่อนในตู้คอนเทนเนอร์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

เจ้าหน้าที่สามารถตรวจพบของกลางทั้งหมดที่ลานเก็บของแห่งหนึ่งในจังหวัดโทชิงิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว หลังจากพบหลักฐานชัดเจน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนจึงถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายควบคุมยาเสพติดของญี่ปุ่น และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนและติดตามแก๊งค้ายาข้ามชาติ ทำให้สามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศได้เป็นจำนวนมาก

ผลกระทบและความสำคัญของการจับกุม

การญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายาเวียดนาม ยึดกัญชา 1 ตัน ไม่เพียงแต่เป็นการตัดวงจรการค้ายาเสพติดครั้งใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดทั้งในและต่างประเทศว่า ทางการญี่ปุ่นมีความจริงจังและพร้อมที่จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการปราบปรามยาเสพติดทุกรูปแบบ

นอกจากนี้ การจับกุมครั้งนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงที่กัญชาจำนวนมหาศาลนี้จะถูกนำไปจำหน่ายและแพร่กระจายในสังคม ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน

ถึงแม้ว่าการจับกุมครั้งนี้จะเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังคงมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้าในการต่อสู้กับปัญหายาเสพติด ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและปลอดจากยาเสพติดอย่างยั่งยืน

การปราบปรามยาเสพติดเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและจริงจัง การจับกุมญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายาเวียดนาม ยึดกัญชา 1 ตัน เป็นเพียงก้าวหนึ่งในการต่อสู้กับปัญหานี้ เราต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปลอดภัยจากยาเสพติด

ที่มา – ญี่ปุ่นจับแก๊งค้ายาเวียดนาม ยึดกัญชา 1 ตัน ล็อตใหญ่สุดที่เคยยึดได้

จู่โจมตรวจผับดังประชาชื่น นักเที่ยวทิ้งยาเกลื่อน!

เมื่อคืนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น ทำเอานักเที่ยวกว่า 300 ชีวิตแตกตื่นทิ้งยาเสพติดเกลื่อนพื้น แถมยังเจอคนปัสสาวะสีม่วงเพียบ! งานนี้ทำเอาหลายคนตั้งคำถามถึงมาตรฐานการดูแลและความปลอดภัยในสถานบันเทิง

เหตุการณ์ จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น เกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันที่ 10 สิงหาคม 2568 โดยนายชุ้น ณัฐเดช กังสุกุล ปลัดจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่เลียบคลองประปา ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

การเข้าตรวจค้นครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเบาะแสว่าสถานบันเทิงดังกล่าวมีการลักลอบเปิดให้บริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด แถมยังปล่อยปละละเลยให้นักเที่ยวนำยาเสพติดเข้าไปเสพภายในร้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางจังหวัดนนทบุรีเคยจับตาดูสถานบันเทิงแห่งนี้มาแล้ว เนื่องจากเจ้าของเป็นคนเดียวกับร้านมูนบาร์ที่เคยมีข่าวฉาวโฉ่มาก่อน

จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น นักเที่ยวกว่า 300 คน แตกตื่นโกลาหล ทิ้งยาเสพติดเกลื่อนพื้น เจอฉี่ม่วงเพียบ เผย ร้านนี้รู้จักกันดี แฉเจ้าของเคยตกเป็นข่าวดัง

จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น นักเที่ยวกว่า 300 คน แตกตื่นโกลาหล ทิ้งยาเสพติดเกลื่อนพื้น เจอฉี่ม่วงเพียบ เผย ร้านนี้รู้จักกันดี แฉเจ้าของเคยตกเป็นข่าวดัง

เมื่อเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในสถานบันเทิง นักเที่ยวทั้งชายและหญิงกว่า 300 คน กำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับเสียงเพลงดังกระหึ่ม เมื่อเพลงหยุดลงและไฟสว่างจ้า นักท่องเที่ยวหลายคนก็เริ่มแตกตื่น พยายามทิ้งยาเสพติดที่ซ่อนไว้อย่างลุกลี้ลุกลน บางคนโยนลงพื้น บางคนตกใจจนต้องยัดใส่ในถังน้ำแข็ง

เจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมยาเสพติดที่พบไว้เป็นหลักฐาน และนำตัวนักเที่ยวทั้งหมดไปตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด ผลปรากฏว่าพบผู้มีปัสสาวะสีม่วงถึง 16 ราย เป็นชาย 12 คน และหญิง 4 คน ซึ่งทั้งหมดถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้นสถานบันเทิง มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งพยายามเข้ามาเจรจาเพื่อขอให้ยุติการตรวจสอบ แต่ปลัดจังหวัดนนทบุรีไม่ยินยอม เนื่องจากเป็นนโยบายที่ได้รับมอบหมายมาจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

นักท่องเที่ยวรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า สถานบันเทิงแห่งนี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเที่ยวกลางคืนว่าเปิดให้บริการเกินเวลา โดยเฉพาะหลัง 01.00 น. จะเปิดต่อไปจนถึง 03.00 น. นักเที่ยวที่มาจากร้านอื่นจะต้องเสียค่าเข้าเพิ่มคนละ 100 บาท เพื่อแลกกับสายรัดข้อมือ ซึ่งเจ้าหน้าที่พบพนักงานกำลังนั่งขายสายรัดข้อมือพร้อมกับเงินสดจำนวนมาก

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้จัดการร้านและนักเที่ยวที่ปัสสาวะสีม่วงทั้ง 16 คน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเตรียมเสนอให้จังหวัดพิจารณาออกคำสั่งปิดสถานบันเทิงแห่งนี้เป็นเวลา 5 ปี ตามคำสั่ง คสช. เนื่องจากพบว่ามีการเปิดเกินเวลาและปล่อยปละละเลยให้มีการเสพยาเสพติดในร้าน

จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น

ผลจากการ จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น ครั้งนี้

เหตุการณ์ จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาการลักลอบเปิดสถานบันเทิงเกินเวลาและการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานบันเทิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของสังคมโดยรวม

การ จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการกวาดล้างสถานบันเทิงผิดกฎหมาย ซึ่งหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก

ที่มา – จู่โจม ตรวจผับดัง ย่านประชาชื่น นักเที่ยวกว่า 300 คน ทิ้งยาเสพติดเกลื่อน