มาเลเซีย

ชาวมาเลย์ต้านทรัมป์! ประชุมอาเซียนซัมมิต

เกิดอะไรขึ้นที่มาเลเซีย? ประชาชนหลายร้อยคนรวมตัวประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการเดินทางเยือนมาเลเซียของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิตที่จะมีขึ้น การประท้วง ชาวมาเลย์หลายร้อยก่อม็อบหน้าสถานทูตสหรัฐต้าน “ทรัมป์” ประชุมอาเซียนซัมมิต นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีผลกระทบอะไรบ้าง?

ชาวมาเลย์หลายร้อยก่อม็อบหน้าสถานทูตสหรัฐต้าน “ทรัมป์” ประชุมอาเซียนซัมมิต

ตำรวจมาเลเซียรายงานว่า ผู้ชุมนุมประมาณ 700 คน มารวมตัวกันที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในช่วงบ่ายของวันนี้ เพื่อต่อต้านการมาเยือนของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ การประท้วง ชาวมาเลย์หลายร้อยก่อม็อบหน้าสถานทูตสหรัฐต้าน “ทรัมป์” ประชุมอาเซียนซัมมิต เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

ทำไมถึงมีการประท้วง?

แม้จะไม่มีการระบุเหตุผลที่แน่ชัดว่าทำไมผู้ประท้วงถึงออกมาแสดงพลังต่อต้านทรัมป์ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับนโยบายและการตัดสินใจต่างๆ ของทรัมป์ในอดีตที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ บางส่วนอาจมองว่าการมาเยือนของทรัมป์เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของมาเลเซียก็เป็นได้

การประท้วง ชาวมาเลย์หลายร้อยก่อม็อบหน้าสถานทูตสหรัฐต้าน “ทรัมป์” ประชุมอาเซียนซัมมิต มีขึ้นก่อนหน้าการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN) ครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งทรัมป์มีกำหนดเข้าร่วมในวันที่ 26 ตุลาคม การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นการเยือนเอเชียครั้งแรกของทรัมป์หลังจากพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี และยังเป็นการเยือนมาเลเซียครั้งแรกของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับตั้งแต่สมัยของบารัค โอบามาเมื่อสิบปีก่อน

สถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในมาเลเซียมีความซับซ้อนและหลากหลาย การประท้วงต่อต้านทรัมป์เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดเห็นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือการที่การประท้วงเป็นไปอย่างสงบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะทางการเมืองของผู้คน

การประชุมสุดยอดอาเซียนที่จะมีขึ้นมีความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นการรวมตัวของผู้นำจากประเทศต่างๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม การมีส่วนร่วมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในการประชุมครั้งนี้อาจนำมาซึ่งมุมมองและความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจและการวางแผนในอนาคต

แม้ว่าการประท้วงต่อต้านทรัมป์อาจสร้างความตึงเครียดและความไม่พอใจให้กับบางฝ่าย แต่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเสรีภาพในการแสดงออกและความหลากหลายทางความคิดเห็นในสังคมมาเลเซีย การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและพยายามหาจุดร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในระดับนานาชาติ

ในท้ายที่สุด การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้นำจากประเทศต่างๆ ในการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสต่างๆ ที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญอยู่ การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย รวมถึงอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การประท้วงที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้นำต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

ที่มา – ชาวมาเลย์หลายร้อยก่อม็อบหน้าสถานทูตสหรัฐต้าน “ทรัมป์” ประชุมอาเซียนซัมมิต

ผู้นำเกาหลีใต้ประชุมอาเซียน ปราบสแกมเมอร์ หนุนสันติภาพ

ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง ผู้นำเกาหลีใต้ เตรียมเดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งนับเป็นการเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีวาระสำคัญคือการผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์และหนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

วี ซองลัก ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ปธน.อีจะออกเดินทางในวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) เพื่อเข้าร่วมการประชุมอาเซียน และหารือแนวทางยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านระหว่างเกาหลีใต้กับกลุ่มประเทศอาเซียน

ในวันจันทร์ (27 ต.ค.) ปธน.อีจะนำเสนอวิสัยทัศน์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับชาติอาเซียน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ซึ่งมีญี่ปุ่นและจีนเข้าร่วมด้วย โดยเกาหลีใต้จะผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาค โดยเฉพาะกรณีที่มีชาวเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อ ดังนั้น การผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์จึงเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ ผู้นำเกาหลีใต้ได้ประกาศให้คำมั่นว่าจะผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับอาชญากรรมข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง หลังเกิดเหตุการณ์นักศึกษาชาวเกาหลีใต้ถูกแก๊งอาชญากรรมในกัมพูชาทรมานจนเสียชีวิตเมื่อเดือนส.ค.

ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้ยังเผยด้วยว่า ปธน.อีมีกำหนดหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ผู้นำกัมพูชา เพื่อกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ และหารือปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ รวมถึงพบปะกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ในระดับภูมิภาค ผู้นำเกาหลีใต้มีแผนผลักดันความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น ผ่านเวทีอาเซียน เพื่อสร้างวงจรความร่วมมือที่สร้างสรรค์ พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี และขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน การที่ผู้นำเกาหลีใต้ประชุมอาเซียนครั้งนี้จึงมีความสำคัญต่อสันติภาพในภูมิภาค

ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่าน ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ปธน.อีได้เสนอแนวทางคลี่คลายความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีภายใต้แผน “END Initiative” ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การแลกเปลี่ยน (Exchange) การปรับความสัมพันธ์สู่ระดับปกติ (Normalization) และการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ (Denuclearization)

ผู้นำเกาหลีใต้เตรียมบินประชุมอาเซียน ผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์-หนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

เป้าหมายหลัก: ปราบสแกมเมอร์และหนุนสันติภาพ

เป้าหมายหลักของการเดินทางไปประชุมอาเซียนของผู้นำเกาหลีใต้ในครั้งนี้ นอกเหนือจากการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ยังมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ที่หลอกลวงชาวเกาหลีใต้ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการผลักดันสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาชาติ

การที่ผู้นำเกาหลีใต้ประชุมอาเซียน ผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์-หนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเกาหลีใต้ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และการสร้างสันติภาพในภูมิภาค

สิ่งที่น่าจับตามองคือ เกาหลีใต้จะสามารถผลักดันความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการปราบปรามสแกมเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และวิสัยทัศน์สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีของผู้นำเกาหลีใต้จะได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียนมากน้อยเพียงใด คงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

การประชุมอาเซียนครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เกาหลีใต้จะได้แสดงบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาสำคัญของภูมิภาค และสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย

ที่มา – ผู้นำเกาหลีใต้เตรียมบินประชุมอาเซียน ผลักดันภูมิภาคร่วมปราบสแกมเมอร์-หนุนสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

มาเลย์ยัน “ทรัมป์” ร่วมประชุมอาเซียน ลุ้นเซ็นหยุดยิงไทย-กัมพูชา

โมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนมาเลเซียในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ โดยทรัมป์มุ่งหวังที่จะมาเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา

รมว.ต่างประเทศมาเลเซียเปิดเผยว่า มาเลเซียและสหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการหยุดยิงครั้งนี้ ซึ่งจะกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายต้องถอนทุ่นระเบิดและอาวุธหนักทั้งหมดออกจากพื้นที่ชายแดน และหวังว่าจะลงนามข้อตกลงหยุดยิงได้สำเร็จระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม

โมฮาหมัด ฮาซัน แถลงต่อสื่อมวลชนว่า “ในระหว่างการประชุมสุดยอดนี้ เราหวังว่าจะได้เห็นการลงนามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดสันติภาพและการหยุดยิงอย่างยั่งยืน”

ก่อนหน้านี้ สื่อออนไลน์ของสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ทำเนียบขาวได้แจ้งต่อทางการมาเลเซียว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26-28 ตุลาคม หากเขาได้รับอนุญาตให้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจะจัดขึ้นนอกรอบการประชุมดังกล่าว

พิธีดังกล่าวจะเป็นเวทีสำคัญสำหรับปธน.ทรัมป์ในการแสดงบทบาทในฐานะบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาในเดือนกรกฎาคม ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกัน

มาเลเซียคอนเฟิร์ม “ทรัมป์” ร่วมประชุมอาเซียนซัมมิต ลุ้นเซ็นหยุดยิงไทย-กัมพูชา

การประชุมสุดยอดอาเซียนที่กำลังจะมาถึงนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะเข้าร่วมงาน และความคาดหวังว่าจะมีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการแก้ไขปัญหา

ทรัมป์หนุน! มาเลเซียเป็นเจ้าภาพลุ้นเซ็นหยุดยิงไทย-กัมพูชา

มาเลเซียในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางประสานงานระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา เพื่อให้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา การที่มาเลเซียและสหรัฐฯ ร่วมมือกันในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะนำสันติภาพและความมั่นคงมาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การลงนามข้อตกลงหยุดยิง หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ รวมถึงภูมิภาคโดยรวม การเจรจาและแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

นอกจากนี้ การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่สหรัฐฯ มีต่อภูมิภาคนี้ และความพร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น การมีส่วนร่วมของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดความคืบหน้าในการแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ

อย่างไรก็ตาม การลงนามข้อตกลงหยุดยิงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างทั้งสองประเทศต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่องจากทุกฝ่าย การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกต้องใช้เวลาและความอดทน แต่การเริ่มต้นด้วยการหยุดยิงถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

การจับตามองความคืบหน้าในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะผลลัพธ์ของการประชุมอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค และต่อเสถียรภาพและความมั่นคงโดยรวม

ที่มา – มาเลเซียคอนเฟิร์ม “ทรัมป์” ร่วมประชุมอาเซียนซัมมิต ลุ้นเซ็นหยุดยิงไทย-กัมพูชา

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอล

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อชาวมาเลเซียหลายพันคนออกมาประท้วงด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ เร่งกดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนกาซา

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นต่อการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดการเดินทางมายังมาเลเซียในเดือนนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

กองทัพเรืออิสราเอลได้เข้าสกัดกั้นเรือหลายลำในขบวนเรือ “โกลบอล ซูมูด โฟลทิลลา” (Global Sumud Flotilla หรือ GSF) ขณะกำลังเดินทางเข้าสู่ชายฝั่งกาซาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีการควบคุมตัวผู้โดยสารทั้งหมดไปยังท่าเรือของอิสราเอล

สำนักข่าวเบอร์นามารายงานว่า กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้สหรัฐฯ กดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือเหล่านี้สามารถนำความช่วยเหลือไปยังชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และปล่อยตัวผู้ที่อยู่บนกองเรือดังกล่าว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุว่า ชาวมาเลเซีย 23 คนที่อยู่บนเรือเหล่านั้นถูกอิสราเอลควบคุมตัว

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเปิดเผยว่า ทางกระทรวงได้รับข้อมูลว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดบนเรือปลอดภัยและมีสุขภาพดี และจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศที่ 3 โดยรัฐบาลจะยังคงดำเนินการเพื่อปกป้องความปลอดภัยของชาวมาเลเซียในต่างประเทศต่อไป

เดิมทีนั้น แผนการของปธน.ทรัมป์ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมทั้งกลุ่มอาเซียนและมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพ แต่ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากในมาเลเซียซึ่งมีความกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับสงครามในฉนวนกาซา ต่างก็รู้สึกโกรธเคืองจากข่าวการควบคุมตัวนักกิจกรรมบนเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

รายงานระบุว่า พรรคพีเอเอส (PAS) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียกำลังวางแผนจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ หากทรัมป์เดินทางมาเยือน เพื่อประท้วงการที่สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอล ขณะที่มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกคำเชิญทรัมป์ เนื่องจากมองว่าทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

ขณะที่อิสราเอลมองว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของกองเรือดังกล่าวคือการยั่วยุ โดยกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลระบุว่า มีหลักฐานว่ากองเรือเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มฮามาส

มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26-28 ต.ค. โดยอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุว่า ปธน.ทรัมป์ได้ยืนยันการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่านเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะเข้าร่วมการประชุมเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า หลังจากปธน.ทรัมป์เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดอาเซียน เขาจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจูในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นในตะวันออกกลาง รวมถึงความเห็นต่างและการแสดงออกทางการเมืองในระดับนานาชาติ การที่ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงจุดยืนของประชาชนชาวมาเลเซียต่อประเด็นดังกล่าว

ทำไมชาวมาเลเซียถึงประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา?

การประท้วงเกิดขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา และความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการกดดันให้อิสราเอลเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าไปถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้คนทั่วโลก รวมถึงในมาเลเซีย การที่ประชาชนออกมาแสดงออกอย่างสันติวิธีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและเคารพ

เหตุการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้อย่างแท้จริง และเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

การที่ชาวมาเลเซียออกมาแสดงออกถึงความกังวลและความห่วงใยต่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์และความปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ท่าทีของนานาชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

ที่มา – ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

ฟีฟ่า ลงดาบ สั่งปรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย 14 ล้าน พร้อมแบนแข้ง 7 ราย

ในวงการฟุตบอลโลกที่เต็มไปด้วยความเข้มงวดและความยุติธรรม สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ได้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานสูงด้วยการ ฟีฟ่า ลงดาบ สั่งปรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย 14 ล้าน พร้อมแบนแข้ง 7 ราย จากกรณีการปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้ผู้เล่นสามารถลงสนามได้ เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นบทเรียนสำหรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้กับทุกชาติในเอเชียและทั่วโลกว่าการทุจริตไม่เคยมีที่ทาง

ฟีฟ่า ลงดาบ สั่งปรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย 14 ล้าน พร้อมแบนแข้ง 7 ราย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่สมาคมฟุตบอลมาเลเซียถูกจับได้ว่าปลอมแปลงเอกสารเพื่อส่งนักเตะต่างชาติ 7 รายลงเล่นในรายการแข่งขันสำคัญ การกระทำดังกล่าวละเมิดกฎระเบียบของฟีฟ่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของสิทธิ์การลงเล่นของผู้เล่นต่างชาติ คณะกรรมการวินัยของฟีฟ่าได้ทำการสอบสวนอย่างละเอียดและออกคำตัดสินที่เด็ดขาด เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของกีฬาฟุตบอล

รายงานจากแหล่งข่าวเชื่อถือได้ระบุว่ากรณีนี้เชื่อมโยงกับการแข่งขันเอเอฟซี เอเชียน คัพ 2017 รอบคัดเลือก รอบสาม ซึ่งทีมชาติมาเลเซียพบกับเวียดนามเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2025 นักเตะทั้ง 7 รายที่ถูกกล่าวหา ได้แก่ กาเบรียล เฟลิเป อาร์โรชา, ฟาคุนโด โทมัส การ์เชส, โรดริโก ฮูเลียน โฮลกาโด, อิมาโนล ฆาเบียร์ มาชูกา, เชา วิตอร์ บรานเดา ฟิเกเรโด, จอน อราซาบาล อิเรากุย และ เฮคเตอร์ อเลฮานโดร เฮเวล เซร์ราโน พวกเขาลงสนามโดยอาศัยเอกสารปลอมที่สมาคมฟุตบอลมาเลเซียส่งไปยังฟีฟ่าเพื่อขออนุมัติ

รายชื่อนักเตะที่ถูกแบนและรายละเอียดโทษ

  • กาเบรียล เฟลิเป อาร์โรชา: นักเตะบราซิลที่ถูกแบน 12 เดือนและปรับเงิน 2,000 สวิสฟรัง
  • ฟาคุนโด โทมัส การ์เชส: อาร์เจนตินา เผชิญโทษเดียวกัน
  • โรดริโก ฮูเลียน โฮลกาโด: อีกหนึ่งรายจากอาร์เจนตินา
  • อิมาโนล ฆาเบียร์ มาชูกา: สเปน ถูกห้ามเกี่ยวข้องกับฟุตบอล
  • เชา วิตอร์ บรานเดา ฟิเกเรโด: โปรตุเกส
  • จอน อราซาบาล อิเรากุย: สเปน
  • เฮคเตอร์ อเลฮานโดร เฮเวล เซร์ราโน: สเปน

สำหรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย ต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 350,000 สวิสฟรัง ซึ่งเทียบเท่าประมาณ 14 ล้านบาทไทย โทษนี้ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษทางการเงิน แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฟุตบอลมาเลเซียในเวทีนานาชาติ การตัดสินนี้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการหลังจากการสอบสวนที่ยืดเยื้อหลายเดือน

เหตุการณ์ ฟีฟ่า ลงดาบ สั่งปรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย 14 ล้าน พร้อมแบนแข้ง 7 ราย นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการจัดการภายในสมาคมฟุตบอลหลายชาติในเอเชีย ที่มักพยายามหาทางลัดเพื่อเสริมทีมด้วยผู้เล่นต่างชาติโดยไม่ถูกต้องตามกฎ บรรดานักเตะเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากอเมริกาใต้และยุโรป ซึ่งมีฝีเท้าดีแต่ถูกนำมาใช้โดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกฟีฟ่าตัดสิทธิ์เข้าร่วมรายการสำคัญในอนาคต

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ การลงโทษครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับสมาคมฟุตบอลอื่นๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มักเผชิญปัญหาคล้ายคลึงกัน เช่น การลงทะเบียนผู้เล่นที่ไม่โปร่งใส ฟีฟ่าได้ย้ำว่ากฎระเบียบเรื่องสิทธิ์การลงเล่นเป็นหัวใจสำคัญของกีฬานี้ และจะไม่ยอมให้เกิดการละเมิดใดๆ

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อทีมชาติมาเลเซียในระยะยาว พวกเขาอาจต้องปรับโครงสร้างทีมใหม่และหานักเตะท้องถิ่นมาทดแทน ซึ่งจะช่วยพัฒนาฟุตบอลฐานรากของประเทศได้ดีกว่า ผู้สนใจฟุตบอลควรติดตามพัฒนาการต่อไป เพราะเรื่องนี้อาจนำไปสู่การปฏิรูประดับชาติ

สุดท้ายแล้ว การตัดสินของฟีฟ่าครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความยุติธรรมในฟุตบอลต้องมาก่อนเสมอ หากคุณเป็นแฟนฟุตบอล ลองแบ่งปันความคิดเห็นของคุณในคอมเมนต์ด้านล่าง ว่าคุณคิดอย่างไรกับกรณีนี้ และควรมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการทุจริตในอนาคต

ที่มา – ฟีฟ่า ลงดาบ สั่งปรับสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย 14 ล้าน พร้อมแบนแข้ง 7 ราย

มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่ ปรับปรุงข้อตกลง

มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า

เต็งกู ซาฟรูล อาซิซ รัฐมนตรีกระทรวงการค้ามาเลเซียเปิดเผยในวันนี้ (22 ก.ย.) ว่า กลุ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า และหารือแนวทางพัฒนาการค้าครั้งแรกในรอบ 5 ปี ระหว่างการประชุมผู้นำที่จะจัดขึ้นในเดือนต.ค.นี้

ซาฟรูลระบุว่า การประชุมครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนะแนวทางปรับปรุงความตกลงการค้า RCEP และพิจารณาคำร้องจากประเทศที่สนใจเข้าร่วมกลุ่ม พร้อมย้ำว่าการประชุมจะมุ่งเป้าไปที่ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิก RCEP

นอกจากนี้ ซาฟรูลยังยืนยันว่า การประชุมจะไม่ถูกจีนครอบงำ เพราะสมาชิกอาเซียนและสมาชิก RCEP รายอื่น ๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ต่างแสดงจุดยืนสนับสนุนกรอบพหุภาคี ขณะที่จีนเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคสนับสนุนกรอบพหุภาคี เช่น RCEP เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า RCEP อาจช่วยป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากประเทศในเอเชียระหว่าง 10–40% ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจสำคัญในอาเซียนส่วนใหญ่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 19%

รายงานระบุว่า RCEP ซึ่งประด้วยประเทศสมาชิกทั้ง 10 ชาติของอาเซียน รวมถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยังไม่เคยจัดการประชุมผู้นำอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนพ.ย. 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บรรดาผู้นำกลุ่มได้ลงนามข้อตกลงการค้าที่มุ่งลดภาษี กระตุ้นการลงทุน และอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในภูมิภาค

ทั้งนี้ มาเลเซียประกาศความตั้งใจที่จะจัดการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ในเดือนต.ค.นี้ พร้อมกับการประชุมประจำปีของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย

ทำไมการพิจารณา RCEP จึงสำคัญ

การที่มาเลเซียแย้มถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณาสมาชิกใหม่และปรับปรุงข้อตกลง RCEP ถือเป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับอนาคตของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การเปิดรับสมาชิกใหม่จะช่วยขยายขอบเขตของ RCEP และเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้า นอกจากนี้ การปรับปรุงข้อตกลงให้ทันสมัยจะช่วยให้ RCEP สามารถตอบสนองต่อความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับประเทศไทย การที่ มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า ถือเป็นโอกาสในการติดตามความคืบหน้าและพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมหรือปรับปรุงข้อตกลงดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาข้อมูลและเตรียมพร้อมเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการค้าและการลงทุนที่อาจเกิดขึ้น

ประเด็นที่ต้องจับตามองคือ ท่าทีของประเทศสมาชิกปัจจุบันและความเป็นไปได้ในการหาข้อตกลงร่วมกันในการปรับปรุงข้อตกลง RCEP รวมถึงเงื่อนไขและเกณฑ์ในการรับสมาชิกใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของประเทศที่สนใจเข้าร่วม

โดยรวมแล้ว มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า เป็นข่าวที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเป็นโอกาสสำหรับประเทศต่าง ๆ ในการเข้าร่วมและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้

นี่เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย การปรับปรุงข้อตกลงให้ทันสมัยจะส่งผลดีต่อการค้าและการลงทุนในระยะยาวอย่างแน่นอน

ที่มา – มาเลเซียแย้ม RCEP อาจพิจารณาสมาชิกใหม่-ปรับปรุงข้อตกลงการค้า

ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. จริงหรือ?

สวัสดีครับทุกคน วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจที่น่าสนใจกันหน่อยนะครับ นั่นก็คือเรื่องของ ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. หลังสหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามอง

กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ยอดส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. โดยขยายตัวเพียง 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะโตถึง 3% เลยทีเดียว สาเหตุหลัก ๆ มาจากอะไร ไปดูกันครับ

ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค.

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของมาเลเซียก็คือ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนที่แล้วนั่นเอง รายงานระบุว่า ยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 16.7% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ก็ลดลงอย่างน่าตกใจถึง 36.7% ทำให้มูลค่าการค้ารวมระหว่างมาเลเซียกับสหรัฐฯ หดตัวลงถึง 25% เลยทีเดียว

แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้สร้างความกังวลให้กับผู้ส่งออกของมาเลเซียเป็นอย่างมาก กระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงออกมาเรียกร้องให้ผู้ประกอบการปรับปรุงคุณภาพสินค้า เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และหันมาใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตการค้าโลกที่กำลังเกิดขึ้น

ผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ และทางออกของผู้ส่งออก

สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากมาเลเซียไว้ที่ 19% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้ว่าตัวเลขนี้จะต่ำกว่าอัตราภาษี 25% ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยขู่ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกมาเลเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกอย่างจะมืดมนไปเสียหมด ข่าวดีก็คือ ยอดส่งออกจากมาเลเซียไปยังประเทศจีนกลับเพิ่มขึ้นถึง 10.4% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งช่วยชดเชยยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลงไปได้บ้าง เรียกได้ว่าเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยก็ว่าได้

  • การปรับตัวของผู้ประกอบการ: ผู้ส่งออกควรเร่งพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูงขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก
  • การหาตลาดใหม่: มองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เช่น จีน อาเซียน หรือประเทศในแถบเอเชียใต้
  • การใช้ประโยชน์จาก FTA: ศึกษาและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่มาเลเซียมีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า

สถานการณ์ ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. นี้เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการและภาครัฐของมาเลเซียต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยความร่วมมือและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว มาเลเซียจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างแน่นอน

ที่มา – ส่งออกมาเลเซียโตต่ำกว่าคาดเดือนส.ค. หลังสหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้า

“อันวาร์” ชวน “อนุทิน” เยือนมาเลเซีย หนุนแก้ชายแดน

นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ได้เชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย เดินทางเยือนมาเลเซียหลังจากเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (ภาพ: thaigov.go.th)

นายอันวาร์ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวานนี้ (18 ก.ย.) ว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายอนุทิน และได้ถือโอกาสนี้เชิญนายกฯ คนใหม่ของไทยเดินทางเยือนมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังได้หารือกันถึงสถานการณ์ล่าสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายอันวาร์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพ และหลีกเลี่ยงไม่ให้ความเห็นที่แตกต่างนำไปสู่ความตึงเครียดที่ไม่จำเป็น พร้อมเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการเจรจาผ่านการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)

“มาเลเซียเชื่อว่า การพูดคุย การทูต และความเข้าใจร่วมกัน คือหนทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค” นายกฯ มาเลเซียระบุ

“อันวาร์” ต่อสายคุย “อนุทิน” เชิญเยือนมาเลเซีย พร้อมหนุนแก้ปัญหาชายแดนผ่าน JBC

การเชื้อเชิญของนายอันวาร์ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะสานต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความมั่นคงชายแดน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญมาโดยตลอด การพูดคุยและการเจรจาผ่านกลไก JBC จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสันติวิธีและสร้างสรรค์

ความสำคัญของการแก้ปัญหาชายแดนผ่าน JBC

การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้หารือและทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน การใช้แนวทางการทูตและการเจรจาจะช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความไว้วางใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

อนาคตความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย: การที่นายอันวาร์ อิบราฮิม เชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล เยือนมาเลเซีย แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน หรือความมั่นคง การเดินทางเยือนมาเลเซียของนายอนุทิน จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หารือถึงแนวทางในการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือในทุกระดับ จะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ร่วมกัน และสร้างอนาคตที่สดใสสำหรับภูมิภาคของเรา

ในสถานการณ์โลกที่ผันผวน การรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การที่ “อันวาร์” ต่อสายคุย “อนุทิน” เชิญเยือนมาเลเซีย พร้อมหนุนแก้ปัญหาชายแดนผ่าน JBC จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศที่จะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค

ที่มา – “อันวาร์” ต่อสายคุย “อนุทิน” เชิญเยือนมาเลเซีย พร้อมหนุนแก้ปัญหาชายแดนผ่าน JBC

มาเลเซียขอ Google ช่วยสอบ ขู่แฉคลิปลับนักการเมือง

มาเลเซียเตรียมยื่นมือขอความช่วยเหลือจาก Google เพื่อตรวจสอบกรณีนักการเมืองโดนขู่ปล่อยคลิปลับ หวังรีดทรัพย์ เรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในแวดวงการเมืองมาเลเซีย เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญหลายราย

ตามรายงานจากสำนักข่าวเบอร์นามา ฟาห์มี ฟัดซิล รัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ตกเป็นเป้าของการขู่นี้ ได้ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการขอความร่วมมือจาก Google อย่างจริงจัง เนื่องจากอีเมลข่มขู่ต่างๆ ถูกส่งออกมาจาก Gmail ซึ่งเป็นบริการของ Google นั่นเอง

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ ฟาห์มี ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ว่า มีสมาชิกรัฐสภาอย่างน้อย 9 คน ได้รับอีเมลที่มีเนื้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ โดยคนร้ายอ้างว่ามีคลิปวิดีโอลับของนักการเมืองเหล่านี้ และต้องการเงินจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการไม่เผยแพร่คลิปดังกล่าว

ราฟิซี รามลี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตกเป็นเป้าหมายของการขู่นี้ โดยนักการเมืองที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มาจากพรรค People Justice ซึ่งเป็นพรรคของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม นอกจากนี้ วัน ไซฟุล วัน จัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากฝ่ายค้าน ก็ได้ออกมาโพสต์บน Facebook ว่าเขาเองก็ได้รับอีเมลขู่ในลักษณะเดียวกัน และเชื่อว่ายังมีสมาชิกรัฐสภาอีกหลายคนที่อาจได้รับอีเมลเหล่านี้ แต่ยังไม่ทราบเรื่อง

ที่น่าสนใจคือ นักการเมืองที่ถูกขู่เหล่านี้ต่างออกมาปฏิเสธว่า พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่ปรากฏอยู่ในวิดีโอ หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาในคลิปที่ถูกกล่าวอ้าง

มาเลเซียขอ Google ช่วยตรวจสอบกรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์

สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Google จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียในระดับใด และจะสามารถช่วยในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดได้อย่างไร การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน Gmail นั้น มีข้อจำกัดทางกฎหมายและความเป็นส่วนตัวที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ทำไมมาเลเซียจึงต้องขอความช่วยเหลือจาก Google กรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์?

เหตุผลหลักคือ เนื่องจากอีเมลข่มขู่ถูกส่งผ่านบริการ Gmail การเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการส่งอีเมล เช่น ที่อยู่ IP และข้อมูลผู้ใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจาก Google ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น: หาก Google ให้ความร่วมมือในการสืบสวน อาจนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิด และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของนักการเมืองที่ถูกกล่าวหา และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล

ความท้าทายในการสืบสวน: การสืบสวนคดีขู่กรรโชกทรัพย์ทางออนไลน์นั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากผู้กระทำผิดมักใช้เทคนิคต่างๆ ในการปกปิดตัวตน เช่น การใช้ VPN หรือบัญชีอีเมลปลอม การติดตามตัวผู้กระทำผิดจึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค และความร่วมมือจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลสาธารณะ เช่น นักการเมือง การป้องกันตัวเองจากการถูกแฮ็กหรือขโมยข้อมูลส่วนตัว สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของการขู่กรรโชกทรัพย์หรือการแบล็กเมลได้

นอกจากนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนควรทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ท้ายที่สุดแล้ว การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับอาชญากรรมทางไซเบอร์

การที่ มาเลเซียขอ Google ช่วยตรวจสอบกรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์ ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายในยุคดิจิทัล และความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์

ที่มา – มาเลเซียขอ Google ช่วยตรวจสอบกรณีนักการเมืองถูกขู่แฉคลิปลับ รีดทรัพย์

ธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง แม้กดดันการค้า

นักวิเคราะห์ยังคงมองว่า ภาคธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก สถานการณ์นี้เป็นอย่างไร และธนาคารในมาเลเซียมีภูมิต้านทานต่อปัจจัยภายนอกมากน้อยแค่ไหน?

บรรดานักวิเคราะห์หลายสำนักต่างเห็นพ้องกันว่า ภาคธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอาจชะลอตัวลงบ้างจากผลกระทบของสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่

S&P Global Ratings ประเมินว่า ภาคธนาคารของมาเลเซียมีความพร้อมในการรับมือกับความตึงเครียดทางการค้าโลกและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง แม้จะมีความเสี่ยงจากภายนอกประเทศ แต่ภาคธนาคารก็ยังได้รับแรงสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและฐานะทางการเงินของครัวเรือนที่มั่นคง

ถึงแม้ S&P จะคาดการณ์ว่าความต้องการสินเชื่ออาจลดลง ทำให้การเติบโตของสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 4-5% ในช่วงสองปีข้างหน้า แต่ธนาคารของมาเลเซียยังคงสามารถรักษาระดับผลกำไรที่ดีไว้ได้ โดยรวมแล้ว S&P เชื่อว่าธนาคารของมาเลเซียยังอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงจากภายนอกได้ เนื่องจากมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอและมีระดับเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เหมาะสม

MBSB Research เสริมว่า ธนาคารในมาเลเซียมีแผนรับมือสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าจะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปได้ โดยผลกำไรจะไม่น่าผิดหวังมากนัก นอกจากนี้ ยังระบุว่าความมั่นคงและความแน่นอนของธนาคาร ประกอบกับอัตราเงินปันผลที่สูงกว่าปกติ ทำให้ธนาคารในมาเลเซียเป็นกลุ่มหลักที่จะได้รับประโยชน์จากเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่

Kenanga Research ก็มีมุมมองที่สอดคล้องกัน โดยเห็นว่าธนาคารของมาเลเซียมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ซึ่งจะช่วยรักษาระดับผลกำไรไว้ได้ แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่างๆ

นักวิเคราะห์มองภาคธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง แม้เผชิญแรงกดดันการค้า

จากที่กล่าวมา ภาคธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง จริงหรือไม่? แล้วนักลงทุนควรจับตาอะไรเป็นพิเศษ?

ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าภาคธนาคารมาเลเซียยังคงแข็งแกร่ง

  • ทุนสำรองที่แข็งแกร่ง: ธนาคารมีเงินทุนสำรองเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงต่างๆ
  • การบริหารจัดการ NPL ที่มีประสิทธิภาพ: ระดับเงินสำรองต่อหนี้เสียอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • ความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ต: ธนาคารสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้
  • ตลาดแรงงานที่เข้มแข็ง: ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อและลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้
  • ฐานะทางการเงินของครัวเรือนที่มั่นคง: ประชาชนมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคธนาคารของมาเลเซีย การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบ

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนและมีความท้าทายต่างๆ เกิดขึ้น แต่ ภาคธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ที่มา – นักวิเคราะห์มองภาคธนาคารมาเลเซียยังแกร่ง แม้เผชิญแรงกดดันการค้า