ประท้วง

ประชาชนนับแสนประท้วง ‘No Kings’ ต้านทรัมป์

ผู้ประท้วงนับแสนคนได้ออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้านนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นับเป็นการรวมตัวประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่ง การประท้วง ประชาชนนับแสนทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ รวมตัวประท้วง ‘No Kings’ ต้านนโยบายทรัมป์ ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในวงกว้างต่อหลายนโยบายของเขา

รายงานข่าวระบุว่า ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงในนครนิวยอร์ก กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ชิคาโก ไมอามี และลอสแอนเจลิส การรวมตัว ประชาชนนับแสนทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ รวมตัวประท้วง ‘No Kings’ ต้านนโยบายทรัมป์ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน

ประชาชนนับแสนทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ รวมตัวประท้วง ‘No Kings’ ต้านนโยบายทรัมป์

ในนครนิวยอร์ก ศูนย์กลางของการประท้วงอยู่ที่ไทม์สแควร์ ซึ่งผู้คนหลายพันคนได้ยึดพื้นที่บนถนนและทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน พร้อมชูแผ่นป้ายที่มีข้อความว่า “ประชาธิปไตย ไม่ใช่ราชาธิปไตย” และ “รัฐธรรมนูญ ต้องยึดถือ” ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของผู้ประท้วงที่ต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตย

ตำรวจประเมินว่ามีผู้เดินขบวนบนถนนสายที่ 7 มากกว่า 20,000 คน ขณะที่กรมตำรวจนิวยอร์ก (NYPD) ระบุว่าผู้เข้าร่วมทั้งหมดในห้าเขตของนครนิวยอร์กมีจำนวนเกิน 100,000 คน

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นไทม์สแควร์ที่เต็มไปด้วยผู้ประท้วง ขณะที่เสียงตะโกนว่า “นี่แหละคือหน้าตาของประชาธิปไตย” ดังกึกก้องท่ามกลางตึกระฟ้า พร้อมกับเสียงกลอง กระดึงวัว และอุปกรณ์สร้างเสียงอื่น ๆ

เฮลิคอปเตอร์และโดรนบินอยู่เหนือศีรษะ ขณะที่ตำรวจยังคงแสดงตนอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้ประท้วง

ผู้จัดกิจกรรมซึ่งใช่ชื่อว่า “No Kings” (ไม่มีราชา) ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการประท้วงอย่างสันติ โดยเรียกร้องให้ผู้เข้าร่วมลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงความรุนแรงในทุกรูปแบบ “การไม่ใช้ความรุนแรงเป็นหลักการสำคัญของกิจกรรมของเรา” เว็บไซต์ของกลุ่มระบุ

ก่อนหน้าการประท้วง พันธมิตรของทรัมป์ได้ออกมาวิจารณ์การรวมตัวดังกล่าว โดยกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับนักเคลื่อนไหวกลุ่ม Antifa (ต่อต้านฟาสซิสต์) สุดโต่ง และประณามการเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็น “การชุมนุมที่เกลียดชังอเมริกา” อย่างไรก็ตาม การชุมนุมเมื่อวันเสาร์ยังคงเป็นไปอย่างสงบโดยตลอด และไม่มีรายงานการจับกุมใด ๆ จากตำรวจ

การชุมนุมประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นในหลายรัฐครอบคลุมตั้งแต่ชายฝั่งตะวันออกไปจนถึงชายฝั่งตะวันตก ซึ่งเน้นให้เห็นย้ำถึงกระแสความไม่พอใจครั้งใหม่ต่อนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยที่ประชาชนได้เรียกร้องถึงคุณค่าตามรัฐธรรมนูญและอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประท้วงครั้งนี้

ทำไมการประท้วง ‘No Kings’ จึงมีความสำคัญ?

การประท้วง ประชาชนนับแสนทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ รวมตัวประท้วง ‘No Kings’ ต้านนโยบายทรัมป์ ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าประชาชนยังคงยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและพร้อมที่จะออกมาปกป้องสิทธิและเสรีภาพของตนเอง การรวมตัวครั้งใหญ่นี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ

การที่ผู้ประท้วงเน้นย้ำถึงการประท้วงอย่างสันติและหลีกเลี่ยงความรุนแรง ถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของผู้ประท้วง การประท้วงโดยสงบเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสียงไปยังผู้มีอำนาจและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

การประท้วงครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวอเมริกันมีความตื่นตัวทางการเมืองและพร้อมที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นของตนเอง การที่ประชาชนจำนวนมากออกมาเดินขบวนตามท้องถนนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ยังคงมีชีวิตชีวาและประชาชนยังคงมีศรัทธาในระบบการปกครองของตนเอง

เหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนให้กับนักการเมืองและผู้มีอำนาจว่า การรับฟังเสียงของประชาชนและการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญ การละเลยเสียงของประชาชนอาจนำไปสู่ความไม่พอใจและการประท้วงในที่สุด

ที่มา – ประชาชนนับแสนทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ รวมตัวประท้วง ‘No Kings’ ต้านนโยบายทรัมป์

ฝรั่งเศสประท้วง! ต้านนโยบายรัดเข็มขัด 8 แสนคน

ความไม่สงบทางสังคมปะทุขึ้นในฝรั่งเศส เมื่อประชาชนกว่า 8 แสนคนรวมตัวประท้วง ต้านนโยบายรัดเข็มขัด ของรัฐบาล ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เซบาสเตียน เลอกอร์นู กำลังเผชิญกับวิกฤติการเมืองและแรงกดดันในการควบคุมด้านการคลังของประเทศ ซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของยูโรโซน

บรรดาครู คนขับรถไฟ เภสัชกร และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล พร้อมใจกันหยุดงานประท้วง ร่วมกับนักเรียนชั้นมัธยมที่ปิดทางเข้าโรงเรียนของตนเอง เพื่อแสดงพลังในการคัดค้านแผนการปรับลดงบประมาณที่กำลังจะเกิดขึ้น การประท้วงครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างกว้างขวางต่อมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสระบุว่า มีผู้เข้าร่วมหยุดงานและประท้วงมากถึง 800,000 คน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของความรู้สึกต่อต้านนโยบายของรัฐบาล

บรรดาสหภาพแรงงานหลักของประเทศออกแถลงการณ์ร่วมกัน ระบุว่าบรรดาแรงงานที่สหภาพเป็นตัวแทนนั้นไม่พอใจกับแผนการคลังของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งมองว่าโหดร้ายและไม่เป็นธรรม พวกเขาเรียกร้องให้ยกเลิกแผนการคลังของรัฐบาลชุดก่อน เพื่อเพิ่มงบประมาณบริการสาธารณะ เก็บภาษีผู้มีรายได้สูงมากขึ้น และยกเลิกการปรับเปลี่ยนที่กำหนดให้ประชาชนทำงานนานขึ้นเพื่อรับเงินบำนาญ

ในกรุงปารีสนั้น รถไฟใต้ดินหลายสายถูกระงับให้บริการเกือบตลอดทั้งวัน ยกเว้นช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าและบ่าย ขณะที่กลุ่มนักเรียนรวมตัวปิดทางเข้าโรงเรียนหลายแห่ง การขนส่งสาธารณะที่หยุดชะงักส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนจำนวนมาก

นักเรียนคนหนึ่งถือป้ายหน้าโรงเรียนมัธยม Lycee Maurice Ravel ในกรุงปารีส โดยมีข้อความว่า “ปิดโรงเรียนมัธยมของคุณเพื่อต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัด” ข้อความนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านที่แข็งแกร่งในหมู่คนรุ่นใหม่

ชาวฝรั่งเศสรวมตัวประท้วง ต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัด

การประท้วงครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายรัดเข็มขัดต่อบริการสาธารณะและคุณภาพชีวิตของประชาชน รัฐบาลฝรั่งเศสกำลังพยายามที่จะลดหนี้สาธารณะและปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่มาตรการเหล่านี้ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสหภาพแรงงานและประชาชน

ทำไมชาวฝรั่งเศสถึงออกมาต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัด?

ความไม่พอใจต่อนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลมีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่ามาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางมากที่สุด ผู้ประท้วงเชื่อว่ารัฐบาลควรหาแหล่งรายได้อื่น ๆ เช่น การเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการลดงบประมาณบริการสาธารณะ

  • ผลกระทบต่อบริการสาธารณะ: ผู้ประท้วงกังวลว่าการลดงบประมาณจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและการเข้าถึงบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา สุขภาพ และการขนส่ง
  • ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ: ผู้ประท้วงเชื่อว่านโยบายรัดเข็มขัดจะทำให้ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจแย่ลง โดยการลดภาระให้กับคนรวยและเพิ่มภาระให้กับคนจน
  • อนาคตของคนรุ่นใหม่: นักเรียนและคนหนุ่มสาวเข้าร่วมการประท้วงเพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา ภายใต้นโยบายที่พวกเขาเชื่อว่าจะจำกัดโอกาสของพวกเขา

การประท้วงครั้งนี้เป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับรัฐบาลของประธานาธิบดีมาครง ซึ่งจะต้องหาทางแก้ไขข้อกังวลของประชาชนและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การเจรจาและการประนีประนอมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงและการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ

สถานการณ์ในฝรั่งเศสนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่านโยบายทางเศรษฐกิจใด ๆ ก็ตามจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและต้องมีความยุติธรรมต่อทุกภาคส่วนของสังคม การรับฟังเสียงของประชาชนและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่านโยบายของรัฐบาลได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน

ที่มา – ชาวฝรั่งเศสรวมตัวประท้วงราว 8 แสนคน ต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัด

แรงงานฝรั่งเศส 8 แสนคน ผละงานประท้วงรัดเข็มขัด

ฝรั่งเศสกำลังเผชิญหน้ากับการประท้วงครั้งใหญ่ในวันนี้ เมื่อเหล่าแรงงานฝรั่งเศสร่วม 8 แสนคน เตรียมผละงาน-ชุมนุมประท้วงรัฐบาลรัดเข็มขัด กลุ่มคนทำงานจากหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นครู อาจารย์ พนักงานขับรถไฟ เภสัชกร รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เตรียมที่จะหยุดงานเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านแผนการตัดลดงบประมาณของรัฐบาล

เหล่าสหภาพแรงงานได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มการลงทุนในส่วนของบริการสาธารณะต่างๆ พร้อมทั้งขอให้มีการจัดเก็บภาษีจากกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยมากขึ้น และให้ยกเลิกการปรับปรุงระบบบำนาญของรัฐที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยได้คาดการณ์ว่า จำนวนผู้เข้าร่วมการชุมนุมและหยุดงานประท้วงครั้งนี้ อาจสูงถึง 800,000 คนเลยทีเดียว

สหภาพแรงงานหลักของฝรั่งเศสได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน โดยระบุว่า สมาชิกสหภาพฯ ต่างแสดงความไม่พอใจอย่างมาก และขอปฏิเสธแผนการคลังของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นแผนที่โหดร้ายและไม่เป็นธรรมต่อประชาชน

โซฟี บิเนต์ ประธานสมาพันธ์แรงงานทั่วไป หรือสหภาพ CGT ได้กล่าวภายหลังจากการหารือร่วมกับเซบาสเตียง เลอกอร์นู นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของฝรั่งเศส ย้ำว่าหากยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ การต่อสู้บนท้องถนนก็จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน

ทางด้านสหภาพครู (FSU-SNUipp) ได้คาดการณ์ว่า ครูประถมราว 1 ใน 3 จะเข้าร่วมในการผละงานครั้งนี้ ในขณะที่การไฟฟ้าฝรั่งเศส หรือ EDF ก็ได้แจ้งว่า พนักงานบางส่วนของบริษัทก็จะเข้าร่วมการประท้วงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ สมาคมเกษตรกรรายย่อยฝรั่งเศส (Confederation Paysanne) ก็ได้เรียกร้องให้สมาชิกออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแสดงพลัง ในขณะที่สหภาพเภสัชกรร้านขายยา (USPO) ก็ได้แสดงความไม่พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา พร้อมทั้งเปิดเผยผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า ร้านขายยาถึง 98% อาจตัดสินใจปิดให้บริการเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม

การประท้วงครั้งใหญ่นี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายรถไฟใต้ดินในกรุงปารีส และรถไฟภูมิภาคต่างๆ ในขณะที่เส้นทางรถไฟความเร็วสูง TGV ยังคงสามารถให้บริการได้เกือบเป็นปกติ

บรูโน เรอตาโย รัฐมนตรีมหาดไทย ได้กล่าวว่า จะมีการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 80,000 นายทั่วประเทศ พร้อมทั้งหน่วยปราบจลาจล โดรน และยานเกราะ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อกวน การปิดล้อมสถานที่ หรือเหตุปะทะรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่

กระแสความไม่พอใจของแรงงานฝรั่งเศสร่วม 8 แสนคน เตรียมผละงาน-ชุมนุมประท้วงรัฐบาลรัดเข็มขัด เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง และนายกฯ เลอกอร์นู กำลังเผชิญอยู่ ในขณะที่รัฐบาลพยายามที่จะควบคุมการขาดดุลงบประมาณของประเทศ

เมื่อปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสมีตัวเลขขาดดุลงบประมาณเกือบสองเท่าของเพดาน 3% ที่สหภาพยุโรปได้กำหนดเอาไว้ แม้ว่าเลอกอร์นูจะต้องการลดการขาดดุล แต่การพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้ผ่านงบประมาณปี 2569 ได้นั้น ถือเป็นโจทย์ทางการเมืองที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจฟรองซัวส์ บายรู อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากแผนรัดเข็มขัดมูลค่า 4.4 หมื่นล้านยูโร

แรงงานฝรั่งเศสร่วม 8 แสนคน เตรียมผละงาน-ชุมนุมประท้วงรัฐบาลรัดเข็มขัด

การตัดสินใจของเหล่าแรงงานฝรั่งเศสร่วม 8 แสนคน เตรียมผละงาน-ชุมนุมประท้วงรัฐบาลรัดเข็มขัดแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างมากต่อมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล และความกังวลต่ออนาคตของบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคมของประเทศ

ทำไมแรงงานฝรั่งเศสถึงออกมาประท้วง?

เหตุผลหลักของการประท้วงครั้งนี้คือ ความไม่พอใจต่อแผนการตัดลดงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริการสาธารณะต่างๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และการขนส่ง นอกจากนี้ แรงงานยังไม่พอใจต่อการปรับปรุงระบบบำนาญ และการที่รัฐบาลไม่ยอมจัดเก็บภาษีจากคนรวยเพิ่มขึ้น

  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ: การประท้วงครั้งใหญ่นี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการขนส่งและการท่องเที่ยว
  • ความท้าทายทางการเมือง: รัฐบาลจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองอย่างมากในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับสหภาพแรงงาน

การประท้วงครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความตึงเครียดทางสังคมและการเมืองที่เพิ่มขึ้นในฝรั่งเศส รัฐบาลจะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงและการลุกลามของสถานการณ์

ที่มา – แรงงานฝรั่งเศสร่วม 8 แสนคน เตรียมผละงาน-ชุมนุมประท้วงรัฐบาลรัดเข็มขัด

ชาวอาร์เจนตินาประท้วง เรียกร้องเพิ่มทุนการศึกษา-รักษา

ชาวอาร์เจนตินาหลายหมื่นคนออกมารวมตัวประท้วงบนท้องถนนในกรุงบัวโนสไอเรสเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาล การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการตัดงบประมาณภายใต้นโยบายรัดเข็มขัดของประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเลย์ ผู้ประท้วงกดดันให้สมาชิกรัฐสภาคว่ำอำนาจวีโต้ของประธานาธิบดีต่อกฎหมายที่เสนอให้เพิ่มทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัยของรัฐและโรงพยาบาลเด็ก

มีรายงานว่าสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้ยกเลิกอำนาจวีโต้ทั้งสองฉบับ อย่างไรก็ตาม วุฒิสภาจะต้องดำเนินการในลักษณะเดียวกันเพื่อให้อำนาจวีโต้ถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์ การประท้วงของชาวอาร์เจนตินาเรียกร้องรัฐบาลเพิ่มเงินทุนการศึกษา-การรักษาพยาบาลครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนต่อมาตรการทางเศรษฐกิจที่เข้มงวด

ความนิยมของประธานาธิบดีมิเลย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เขาดำเนินการตัดงบประมาณจำนวนมาก นอกจากนี้ เขายังกําลังเผชิญกับผลกระทบจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริต และความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นในกรุงบัวโนสไอเรสเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แรงกดดันเพิ่มเติมยังมาจากผลการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนตุลาคม ซึ่งพรรคของเขากําลังพยายามที่จะคว้าที่นั่งให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายค้านในสภาสามารถใช้อำนาจวีโต้ของเขาได้

นับตั้งแต่ประธานาธิบดีมิเลย์เข้ารับตําแหน่งในเดือนธันวาคม 2566 เขาได้ลดการใช้จ่ายภาครัฐลงอย่างมาก และประสบความสําเร็จในการลดอัตราเงินเฟ้อรายเดือนจากตัวเลขสองหลักให้เหลือเพียงหลักเดียว

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เขาได้ประกาศข้อเสนอสำหรับงบประมาณของรัฐบาลสําหรับปีหน้า โดยให้คํามั่นว่าจะรักษาสมดุลทางการคลัง ควบคู่ไปกับการเพิ่มงบประมาณสําหรับด้านสาธารณสุข การศึกษา และเงินบํานาญ

อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแห่งชาติบัวโนสไอเรส ได้ออกแถลงการณ์ว่า งบประมาณที่เสนอไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทําให้วิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบมหาวิทยาลัยของรัฐรุนแรงยิ่งขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้พิจารณาถึงการฟื้นฟูโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการบํารุงรักษาที่ถูกระงับ รวมถึงการเพิ่มค่าตอบแทนครูด้วย

ชาวอาร์เจนตินาแห่ประท้วงเรียกร้องรัฐบาลเพิ่มเงินทุนการศึกษา-การรักษาพยาบาล

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่รัฐบาลอาร์เจนตินากำลังเผชิญในการพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในด้านบริการสาธารณะที่สําคัญ การประท้วงของชาวอาร์เจนตินาเรียกร้องรัฐบาลเพิ่มเงินทุนการศึกษา-การรักษาพยาบาลเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้น และอาจนําไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองได้

ทำไมชาวอาร์เจนตินาจึงออกมาเรียกร้องให้เพิ่มเงินทุนการศึกษา-การรักษาพยาบาล?

เหตุผลหลักที่ชาวอาร์เจนตินาเรียกร้องรัฐบาลเพิ่มเงินทุนการศึกษา-การรักษาพยาบาล คือการที่พวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตัดงบประมาณ การตัดงบประมาณส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาและการบริการทางการแพทย์ ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้ยากขึ้น การประท้วงจึงเป็นการแสดงออกถึงความกังวลและความไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ผลกระทบจากการตัดงบประมาณไม่ได้จํากัดอยู่แค่ในกรุงบัวโนสไอเรส แต่ยังแผ่ขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลในหลายจังหวัดกําลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก การประท้วงจึงเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีและความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของชาวอาร์เจนตินา

การประท้วงครั้งนี้นับเป็นความท้าทายครั้งสําคัญสําหรับรัฐบาลของประธานาธิบดีมิเลย์ รัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน หากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้อย่างเหมาะสม อาจนําไปสู่ความไม่สงบทางสังคมและการเมืองที่รุนแรงยิ่งขึ้น

การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ปฏิรูปการเงิน และการเปิดเสรีทางการค้า เป็นนโยบายที่หวังว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาในระยะยาว

ที่มา – ชาวอาร์เจนตินาแห่ประท้วงเรียกร้องรัฐบาลเพิ่มเงินทุนการศึกษา-การรักษาพยาบาล

เนปาล: เหตุประท้วงต้านโกง ดับพุ่ง 72 ศพ

สถานการณ์ในเนปาลยังคงน่าเป็นห่วงหลังเกิด เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล ที่ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นการจลาจล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขเนปาลได้แถลงการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมาว่า ยอดผู้เสียชีวิตจาก เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เพิ่มขึ้นเป็น 72 รายแล้ว และทีมค้นหายังคงทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหาร่างผู้เสียชีวิตที่อาจติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น

ประกาช พุทธโธกี โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเนปาล กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่เริ่มพบร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากภายในอาคารบ้านเรือนและห้างร้านที่ถูกโจมตีหรือวางเพลิง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล ครั้งนี้

เหตุการณ์ความไม่สงบครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีของเนปาล มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2,113 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่กว้างขวางของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้กินวงกว้างอย่างมาก โดยเป้าหมายของการโจมตีมีตั้งแต่ อาคารที่ทำการของรัฐ, ศาลฎีกา, รัฐสภา, สถานีตำรวจ ไปจนถึงร้านค้าและธุรกิจเอกชนต่างๆ แม้แต่บ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีรามจันทรา เปาเดล และของนายกรัฐมนตรีเค พี ศรรมะ โอลี ก็ถูกวางเพลิงเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจและความโกรธแค้นของประชาชนที่สะสมมาเป็นเวลานาน

จากความรุนแรงของสถานการณ์ นายโอลีได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปเมื่อสัปดาห์ก่อน และได้มีการแต่งตั้งนางสุชีลา การ์กี อดีตประธานศาลฎีกา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ โดยมีภารกิจสำคัญคือการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม

เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล

สถานการณ์ทางการเมืองในเนปาลมีความผันผวนอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล และเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ผลกระทบจากเหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล

  • ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน: เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อาคารบ้านเรือนและธุรกิจต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง: การลาออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีรักษาการ ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ความไม่สงบที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยวและการลงทุนอาจลดลง

สถานการณ์ในเนปาลยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยนำพาประเทศไปสู่ความสงบและความเจริญรุ่งเรือง

เหตุการณ์ เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยร้ายที่สามารถนำไปสู่ความไม่สงบและความสูญเสียได้ การสร้างสังคมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ที่มา – เหตุประท้วงต้านโกงในเนปาล ยอดดับพุ่งแตะ 72 ศพ เจ็บ 2,113 คน

ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง ป้องการปะทะผู้ประท้วง

สถานการณ์ตึงเครียดในลอนดอนเมื่อตำรวจลอนดอนส่งกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 1,600 นายในวันนี้ (13 ก.ย.) เพื่อควบคุมความปลอดภัยในการชุมนุมของสองกลุ่มผู้ประท้วงที่มีความเห็นต่างกันอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ประท้วงฝ่ายขวาและต่อต้านผู้อพยพ ในขณะที่อีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ การเผชิญหน้ากันของทั้งสองกลุ่มนี้สร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ขบวนประท้วง “Unite the Kingdom” ซึ่งจัดโดยสตีเฟน แยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมมี่ โรบินสัน มีกำหนดการเริ่มต้นจากสะพานวอเตอร์ลู และจะเคลื่อนขบวนไปยังไวท์ฮอลล์ ในขณะเดียวกัน กลุ่ม “Stand Up To Racism” ซึ่งเป็นการประท้วงตอบโต้ จะรวมตัวกันที่ปลายอีกด้านของไวท์ฮอลล์ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป็นที่คาดการณ์ว่าขบวน Unite the Kingdom จะใช้โอกาสนี้ในการไว้อาลัยให้กับ ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวอเมริกัน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกยิงเมื่อวันพุธ การรวมตัวของผู้สนับสนุนเพื่อไว้อาลัยให้กับเคิร์กอาจดึงดูดผู้คนจำนวนมาก และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรง

เพื่อป้องกันการปะทะกันของทั้งสองกลุ่ม ตำรวจลอนดอนส่งกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมาก พร้อมทั้งวางรั้วเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างผู้ประท้วงทั้งสองฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 นายที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเดินขบวนโดยตรง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ประเด็นเรื่องผู้อพยพได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญในสหราชอาณาจักร เนื่องจากจำนวนผู้ยื่นขอลี้ภัยและผู้อพยพที่เดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษได้สูงเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์นี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลในการหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว

เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสาธารณชน นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ได้แต่งตั้ง ชาบานา มาห์มูด ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ของอังกฤษ โดยมีเป้าหมายหลักในการรับมือกับปัญหาการอพยพที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ตำรวจลอนดอนส่งกำลังรับมือการประท้วง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลอนดอนสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ที่ฝังรากลึกในสังคม การชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าประเด็นเรื่องผู้อพยพและการเหยียดเชื้อชาติยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ในสังคม

ความท้าทายในการควบคุมการประท้วง: ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง

การจัดการกับการชุมนุมประท้วงที่มีความขัดแย้งสูงเช่นนี้เป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากการรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ยังต้องคำนึงถึงสิทธิในการแสดงออกและความคิดเห็นของผู้ประท้วงทุกคน การใช้กำลังจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังและสมเหตุสมผล เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน

  • การวางแผนและการเตรียมพร้อม: เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
  • การสื่อสารและการเจรจา: การสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมากับผู้ประท้วงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง
  • การใช้เทคโนโลยี: การใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิดและระบบวิเคราะห์ข้อมูล สามารถช่วยในการติดตามสถานการณ์และป้องกันเหตุร้าย
  • การทำงานร่วมกับชุมชน: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับความร่วมมือและข้อมูลที่เป็นประโยชน์

การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง และเคารพซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความขัดแย้งและความรุนแรง

สถานการณ์ที่ลอนดอนเป็นเครื่องเตือนใจว่าความท้าทายในการจัดการความขัดแย้งทางสังคมเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การตำรวจลอนดอนส่งกำลังเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการควบคุมสถานการณ์ แต่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ในระยะยาว

ที่มา – ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง 1,600 นาย ป้องกันการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงสองฝ่าย

เนปาลลุกเป็นไฟ: แบนโซเชียล สู่ประท้วงคอร์รัปชัน

การตัดสินใจแบนโซเชียลมีเดียของรัฐบาลเนปาล กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จุดชนวนความโกรธแค้นต่อการทุจริตคอร์รัปชันที่สั่งสมมานาน จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นเหตุจลาจลนองเลือด มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 22 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย

วันนี้ In Focus ขอพาไปย้อนดูที่มาที่ไปของเหตุการณ์จลาจลรุนแรงนี้ เพื่อตอบคำถามที่หลายคนอาจสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นที่เนปาล เหตุใด เนปาลลุกเป็นไฟ

เนปาลลุกเป็นไฟ: แบนโซเชียล สู่ประท้วงคอร์รัปชัน

การเดินหมากที่ผิดพลาดของรัฐบาลนำไปสู่เหตุการณ์ เนปาลลุกเป็นไฟ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2568 รัฐบาลเนปาลเริ่มแบนโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึง เฟซบุ๊ก (Facebook), เอ็กซ์ (X), อินสตาแกรม (Instagram), ยูทูบ (Youtube), ลิงด์อิน (LinkedIn), เรดดิต (Reddit), วอตส์แอป (WhatsApp) และสแนปแชต (Snapchat) จากการที่บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของเนปาล ภายในเส้นตาย 7 วันที่กำหนดไว้

เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่า การบล็อกโซเชียลมีเดียมีผลบังคับใช้กับแพลตฟอร์มที่ไม่ได้จดทะเบียนกับรัฐบาล และมีเป้าหมายเพื่อปราบปรามบัญชีปลอม ข้อมูลบิดเบือน และคำพูดแสดงความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้เห็นต่าง ซึ่งมองว่าเป็นการคุกคามต่อเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งยังเปิดโอกาสให้รัฐปิดกั้นและลบเนื้อหาที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม หรือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นอกจากนี้ การที่รัฐสภาเนปาลกำลังพิจารณากฎหมายโซเชียลมีเดีย ว่าด้วยการลงโทษปรับและจำคุกผู้สร้างคอนเทนต์ที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของชาติ ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนมากขึ้นไปอีก

การตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความโกรธแค้นต่อการทุจริตที่สั่งสมมานานปะทุขึ้น จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ที่ถูกเรียกว่า “การประท้วงของ Gen Z” หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 2538-2552

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบพร้อมใจกันถือหนังสือเรียนลุกฮือขึ้นประท้วง โดยใช้ “ธงของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง” จากการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่นเรื่อง One Piece เพื่อสื่อถึงอิสรภาพตามความหมายของตัวเอกของเรื่อง และเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงที่เข้าใจร่วมกันของคน Gen Z

นอกจากนี้ การประท้วงดังกล่าวยังได้จุดกระแสต่อต้าน “nepo baby” และ “nepo Kid” อันหมายถึงลูกหลานชนชั้นนำ หลังมีวิดีโอมากมายบนติ๊กต๊อก (Tiktok) ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตอันหรูหราของเหล่านักการเมืองและครอบครัว ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงมองว่าเป็นชีวิตที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมจากภาษีของประชาชนชาวเนปาล สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจในความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึกในสังคมการเมืองของเนปาล

ต่อมา สถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายจนเกินที่จะควบคุม เมื่อผู้ประท้วงพยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ทำให้ตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิต 22 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 100 ราย ตามรายงานล่าสุด

รายงานยังเผยอีกว่า ผู้ชุมนุมได้เผาสถานที่สำคัญต่าง ๆ รวมถึงอาคารรัฐสภา สำนักนายกรัฐมนตรี บ้านพักของนายกรัฐมนตรี เค พี ศรรมะ โอลี และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ อีกหลายคน รวมถึงการไล่ทำร้ายร่างกาย พิษนุ ปราสาด เพาเดล รัฐมนตรีคลังวัย 65 ปี จนได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังทุบตีราชยาลักษมี จิตราการ ภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรีจาลานาถ คานาล อย่างทารุณ ก่อนจุดไฟเผาบ้าน จนส่งผลให้เธอเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ขณะเดียวกัน การประท้วงยังได้แผ่ขยายออกไปนอกเมืองหลวง และมีรายงานว่า ประชาชนจากเมืองต่าง ๆ บริเวณชายแดนที่ติดกับอินเดียหลายร้อยคนเดินเท้ามุ่งหน้าสู่กรุงกาฐมาณฑุเพื่อสมทบกับผู้ชุมนุมมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ห่างไกลจากความสงบมากขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ผลกระทบจากเหตุการณ์ประท้วงยังทำให้สนามบินนานาชาติในกรุงกาฐมาณฑุต้องปิดให้บริการสำหรับเที่ยวบินที่มาจากทางใต้ชั่วคราว เนื่องจากทัศนวิสัยย่ำแย่จากกลุ่มควันที่เกิดจากการเผาไหม้ในพื้นที่ใกล้เคียง

การประท้วงที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลตัดสินใจประกาศยกเลิกการแบนโซเชียลมีเดีย โดยปริตวี ซุบบา กูรุง โฆษกรัฐบาลและรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยืนยันว่า แพลตฟอร์มต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นายกรัฐมนตรี เค พี ศรรมะ โอลี ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง โดยก่อนหน้านั้น เขาได้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเรียกประชุมพรรคการเมืองทุกพรรค และย้ำว่า “ความรุนแรงไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ และเราต้องหันมาใช้การเจรจาอย่างสันติเพื่อหาทางออก” พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุความรุนแรงซึ่งมีสาเหตุมาจากการแทรกซึมของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และประกาศว่า รัฐบาลจะมอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต และให้การรักษาฟรีแก่ผู้บาดเจ็บ

ถึงอย่างนั้น การลาออกก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์เย็นลงแต่อย่างใด กลุ่มผู้ประท้วงยังคงปิดถนน และเดินหน้าทำลายอาคารรัฐบาลต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องในวันเดียวกัน ขณะที่เฮลิคอร์ปเตอร์ของกองทัพ พาตัวบรรดารัฐมนตรีไปยังสถานที่ปลอดภัย

ด้านกองทัพเนปาลได้ออกมาเคลื่อนไหวหลังการลาออกของนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกอย่างสันติด้วยการเจรจา พร้อมทั้งขอให้ “ประชาชนทุกคนใช้ความยับยั้งชั่งใจเพื่อป้องกันความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์วิกฤตนี้”

นอกจากนี้ กองทัพเนปาลยังได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า กองทัพจะเคลื่อนกำลังพลเข้าควบคุมดูแลความมั่นคงของประเทศตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของวันอังคาร พร้อมระบุว่ามีคนบางกลุ่มกำลัง “หาประโยชน์โดยมิชอบจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้” พร้อมทั้งเสริมว่า จะมีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดออกไป หากความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป

เนื่องจากการลาออกของนายกรัฐมนตรีทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงเห็นตรงกันว่า เนปาลอาจต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อ เว้นแต่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลหรือรัฐบาลแห่งชาติขึ้น

พิปิน อธิการี อาจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญจากมหาวิทยาลัยกาฐมาณฑุ กล่าวว่า ไม่มีบทบัญญัติทางรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ ประธานาธิบดีเรียกประชุมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดจากฉันทามติของคนในชาติ โดยนายกรัฐมนตรีควรได้มาจากการเลือกของรัฐสภา ขณะเดียวกันก็ต้องแน่ใจว่า ข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ถูกรับฟังด้วยการให้พวกเขาเป็นตัวแทนเข้าร่วมในการเจรจาด้วย

ด้าน วินัย มิชรา ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัยกาฐมาณฑุ แสดงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก ประธานาธิบดีจะเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่เนื่องจากปัจจุบันไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากอย่างชัดเจน จึงมีแนวโน้มที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล นอกจากนี้ เขามองว่า องค์กรต่าง ๆ ของกลุ่มคนรุ่นใหม่อาจมีส่วนร่วมในการหารือถึงผู้ที่จะมาเป็นผู้นำในช่วงระยะสั้นนี้ด้วย

ขณะที่ ซี.ดี. ภัททา นักรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของทุกพรรคการเมืองหลักในประเทศ “ได้หมดไปแล้ว” ณ จุดนี้ ทุกกลุ่มการเมืองต่างพยายามหาประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเป็นผู้นำรัฐบาล พร้อมเสนอว่า ทางออกที่เป็นไปได้ที่สุดคือการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเนปาล

“สถานการณ์นี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยประธานาธิบดี ด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพเนปาล” ภัททากล่าว

อธิการีก็เห็นด้วยกับมุมมองนี้ โดยกล่าวว่า “รัฐบาลนี้ควรได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเนปาล ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงกองกำลังเดียวที่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้”

เหตุการณ์ความไม่สงบครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างจีนกับอินเดีย เผชิญกับปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การล้มล้างระบอบกษัตริย์ในปี 2551 สิ่งที่เนปาลต้องเผชิญต่อจากนี้คือบททดสอบครั้งใหญ่ว่าจะสามารถก้าวผ่านความขัดแย้งและจัดตั้งรัฐบาลที่มั่นคงได้หรือไม่ พร้อมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนที่ถดถอยมาอย่างยาวนาน เราจึงยังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าฉากสุดท้ายของการประท้วงครั้งประวัติศาสตร์นี้จะนำพาเนปาลไปสู่ทิศทางใด สถานการณ์ เนปาลลุกเป็นไฟ จะคลี่คลายไปในทิศทางใด ต้องติดตาม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ย. 68)

ที่มา – In Focus: เนปาลลุกเป็นไฟ เมื่อการแบนโซเชียลมีเดียเป็นฟางเส้นสุดท้าย สู่การประท้วงคอร์รัปชัน

สถานทูตเตือน! คนไทยในเนปาลเลี่ยงที่ชุมนุม

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประกาศเตือนคนไทยในเนปาลให้เพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม และติดตามข่าวสารจากสถานทูตฯ อย่างใกล้ชิด ท่ามกลางสถานการณ์ประท้วงในประเทศที่ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นเหตุจลาจลนองเลือด มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย

สถานทูตไทยในเนปาลโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กในวันนี้ (10 ก.ย.) ระบุว่า “ขอแจ้งสถานการณ์ล่าสุดสืบเนื่องจากการชุมนุมประท้วงต่อต้านการทุจริตและมาตรการห้ามใช้สื่อสังคมออนไลน์ของรัฐบาลเนปาล โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z) ส่งผลให้ทางการเนปาลบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ดังนี้

  1. กองทัพเนปาลได้เพิ่มมาตรการรักษาความสงบ โดยจัดกำลังตรวจเข้มตามพื้นที่สำคัญและส่งเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในเมืองหลัก พร้อมทั้งประกาศ คำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน (Prohibitory Orders) จนถึงเวลา 17.00 น. ของวันที่ 10 กันยายน 2568 และประกาศ เคอร์ฟิว (Curfew) ต่อเนื่องจนถึงเวลา 6.00 น. ของวันที่ 11 กันยายน 2568
  2. ทางการเนปาลได้ขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่ในความสงบและในที่ปลอดภัย โดยยืนยันว่าสถานการณ์กำลังค่อย ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติและอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานด้านความมั่นคง
  3. สถานะปัจจุบัน สนามบินนานาชาติตรีภูวัน (Tribhuvan International Airport) ปิดทำการชั่วคราวจนถึงเวลา 12.00 น. ของวันนี้ (10 กันยายน 2568) ขอให้คนไทยตรวจสอบข้อมูลเที่ยวบินกับสายการบินของท่านก่อนออกเดินทาง
  4. สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการช่วยเหลือคนไทยในกรณีจำเป็น”

ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้คนไทยในเนปาลหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม เพิ่มความระมัดระวัง และติดตามข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ ทางสถานทูตยังได้แจ้งช่องทางติดต่อกรณีฉุกเฉินไว้ด้วย

สำหรับสถานการณ์ประท้วงในเนปาลจนถึงขณะนี้ยังคงรุนแรง แม้นายกรัฐมนตรี เค พี ศรรมะ โอลี ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งวานนี้ โดยกลุ่มผู้ประท้วงยังคงฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิวที่ไม่มีกำหนดและรวมตัวกันตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมืองหลวง โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้ารัฐสภา มีการจุดไฟเผายางรถยนต์ ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน และไล่ต้อนเจ้าหน้าที่ไปตามตรอกซอยต่าง ๆ ท่ามกลางกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

นอกจากนี้ ความรุนแรงยังได้ขยายวงกว้างออกไปนอกเมืองหลวง มีรายงานว่าประชาชนจากเมืองต่าง ๆ บริเวณชายแดนอินเดีย-เนปาลหลายร้อยคนเดินเท้ามุ่งหน้าสู่กรุงกาฐมาณฑุเพื่อสมทบกับผู้ชุมนุม นอกจากนี้ ผู้เห็นเหตุการณ์ยังระบุว่าบ้านพักของนักการเมืองบางรายในเมืองหลวงถูกวางเพลิง ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพต้องเข้าให้ความช่วยเหลืออพยพรัฐมนตรีบางคนไปยังพื้นที่ปลอดภัย

ชนวนเหตุของความไม่สงบครั้งนี้มาจากการที่รัฐบาลสั่งแบนโซเชียลมีเดียเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้เกิดการชุมนุมใหญ่ที่เรียกกันว่า “การประท้วงของ Gen Z” เมื่อวันจันทร์ (8 ก.ย.) สถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายเมื่อผู้ประท้วงพยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ทำให้ตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 100 ราย แม้ต่อมารัฐบาลจะยอมยกเลิกคำสั่งแบนดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความไม่พอใจของประชาชน

เหตุการณ์ความไม่สงบครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างจีนกับอินเดีย เผชิญกับปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การล้มล้างระบอบกษัตริย์ในปี 2551

สถานทูตฯ เตือนคนไทยในเนปาลหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม หลังเหตุประท้วงลุกลาม

สถานการณ์น่าเป็นห่วง! คนไทยในเนปาลควรทำอย่างไร?

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การที่สถานทูตออกมาเตือนคนไทยในเนปาลหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุมถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของสถานทูตฯ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ขอให้คนไทยในเนปาลหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุมและอยู่ในที่ปลอดภัย หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสถานทูตได้ทันที

ที่มา – สถานทูตฯ เตือนคนไทยในเนปาลหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม หลังเหตุประท้วงลุกลาม

ชาวอเมริกันประท้วงต้านทรัมป์คุมเมือง

ชาวอเมริกันหลายพันชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตัน ค้านทรัมป์ส่งกำลังทหารเข้าควบคุมเมือง

ชาวอเมริกันหลายพันคนรวมตัวประท้วงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านการตัดสินใจของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติเข้ามาในเมืองหลวง การชุมนุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลังทหารควบคุมพลเรือน และปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ผู้ชุมนุมจำนวนมากได้แสดงออกถึงความไม่พอใจด้วยการตะโกนประณามทรัมป์ และชูป้ายที่มีข้อความต่างๆ เช่น “ทรัมป์ต้องลาออกทันที”, “วอชิงตัน ดี.ซี. ต้องเป็นอิสระ” และ “ต่อต้านเผด็จการ” ข้อความเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของผู้ประท้วงเกี่ยวกับอำนาจที่มากเกินไปและการละเมิดสิทธิเสรีภาพ

การตัดสินใจของทรัมป์เมื่อเดือนที่ผ่านมาในการส่งกำลังทหารเข้าควบคุมกรุงวอชิงตัน โดยอ้างเหตุผลเรื่องการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยนั้น ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง หลายฝ่ายมองว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและเป็นการแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น การส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) ออกลาดตระเวนตามถนนยิ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดให้กับสถานการณ์

ข้อมูลอาชญากรรมสวนทางกับเหตุผลของทรัมป์

สิ่งที่น่าสนใจคือ ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า อัตราอาชญากรรมรุนแรงของกรุงวอชิงตันในปี 2567 นั้นอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งขัดแย้งกับเหตุผลที่ทรัมป์ใช้ในการส่งกำลังทหารเข้ามาควบคุมเมือง

นอกจากกรุงวอชิงตันแล้ว ทรัมป์ยังประกาศเมื่อวันอังคาร (2 ก.ย.) ว่า เขาจะส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติเข้าปราบปรามอาชญากรรมในเมืองชิคาโกเช่นกัน ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยมีมาก่อนในการใช้กำลังทหารเข้าควบคุมเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศ การตัดสินใจนี้คาดว่าจะจุดชนวนการต่อสู้ทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างดุเดือด

เจ.บี. พริตซ์เกอร์ ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองชิคาโก ได้ออกมาแสดงความกังวลหลังการแถลงของทรัมป์ โดยกล่าวว่า รัฐบาลทรัมป์กำลังเตรียมการส่งกองกำลังทหาร พร้อมระดมเจ้าหน้าที่ ICE และยานพาหนะทางทหารเข้าประจำการในพื้นที่ของรัฐบาลกลาง

ทรัมป์ขู่มาโดยตลอดว่าจะขยายปฏิบัติการปราบปรามของรัฐบาลกลางไปยังเมืองต่างๆ ที่บริหารโดยพรรคเดโมแครต โดยอ้างความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม แม้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะยืนยันว่าสถิติการฆาตกรรม ความรุนแรงจากอาวุธปืน และการลักทรัพย์ล้วนลดลง

การชุมนุมของชาวอเมริกันหลายพันชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตัน ค้านทรัมป์ส่งกำลังทหารเข้าควบคุมเมือง เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังทหารในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ พวกเขาเชื่อว่ามีวิธีการอื่นที่เหมาะสมกว่า และเรียกร้องให้รัฐบาลเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดเห็นในสังคมอเมริกัน และความท้าทายที่ผู้นำจะต้องเผชิญในการสร้างความสมานฉันท์และความเข้าใจระหว่างผู้คนที่มีความเห็นแตกต่างกัน การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและความไม่สงบเรียบร้อยนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และประชาชนทุกคน ไม่ใช่การใช้กำลังทหารเพียงอย่างเดียว ชาวอเมริกันหลายพันชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตัน ค้านทรัมป์ส่งกำลังทหารเข้าควบคุมเมือง สะท้อนความกังวลอย่างมาก

ดังนั้น นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพิจารณาทบทวนนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาลกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง เหตุการณ์ ชาวอเมริกันหลายพันชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตัน ค้านทรัมป์ส่งกำลังทหารเข้าควบคุมเมือง จึงควรเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศ

ที่มา – ชาวอเมริกันหลายพันชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตัน ค้านทรัมป์ส่งกำลังทหารเข้าควบคุมเมือง

อินโดฯ: ผู้ประท้วงยุติชุมนุมชั่วคราว หวั่นถูกปราบปราม

กลุ่มนักศึกษาและเครือข่ายภาคประชาสังคมในอินโดนีเซีย ประกาศยุติการชุมนุมชั่วคราวในวันนี้ (1 ก.ย.) โดยให้เหตุผลด้านความปลอดภัย หลังจากทางการส่งสัญญาณจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อควบคุมสถานการณ์จลาจลรุนแรงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายราย

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสถานการณ์ประท้วงต่อต้านค่าตอบแทนของสมาชิกรัฐสภาและการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่บานปลายเป็นวงกว้างทั่วประเทศตลอดสัปดาห์ที่แล้ว โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (28 ส.ค.) หลังจากรถตำรวจพุ่งชนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเสียชีวิต ทำให้การชุมนุมทวีความรุนแรงและมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น

เมื่อวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ได้ประกาศว่า พรรคฝ่ายรัฐบาลมีมติให้ลดสวัสดิการของสมาชิกรัฐสภาลง เพื่อหวังลดแรงกดดันจากผู้ชุมนุม พร้อมกันนั้นได้ออกคำสั่งให้กองทัพและตำรวจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ก่อความไม่สงบและกลุ่มคนที่ออกปล้นสะดมทรัพย์สิน ภายหลังบ้านพักของนักการเมืองและอาคารราชการหลายแห่งถูกบุกทำลายและวางเพลิง

ด้านกลุ่มพันธมิตรสตรีอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำหลัก โพสต์ผ่านทางอินสตาแกรมเมื่อวานนี้ว่า จะเลื่อนกำหนดการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาออกไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการปราบปรามจากเจ้าหน้าที่ โดยจะรอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลง

เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาต่าง ๆ ที่ประกาศเลื่อนการชุมนุมชั่วคราวในวันนี้ออกไปเช่นกัน โดยองค์กรเครือข่ายนักศึกษากลุ่มหนึ่งให้เหตุผลว่า “สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง” ต่อการจัดกิจกรรม

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีกลุ่มเคลื่อนไหวอื่น ๆ จัดการชุมนุมในกรุงจาการ์ตาหรือเมืองสำคัญอื่น ๆ หรือไม่ ท่ามกลางโพสต์ต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียเตือนให้ระวังใบปลิวปลอมเชิญชวนชุมนุม

กลุ่มผู้ประท้วงอินโดฯ ประกาศยุติชุมนุมชั่วคราววันนี้ หวั่นถูกปราบปราม

สถานการณ์ในอินโดนีเซียยังคงตึงเครียด หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงประกาศยุติการชุมนุมชั่วคราว ท่ามกลางความกังวลว่าจะถูกปราบปรามอย่างหนักจากทางการ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากการประท้วงรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล และความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม

การประท้วงเริ่มต้นจากการต่อต้านค่าตอบแทนของสมาชิกรัฐสภา และการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ไม่เป็นธรรม แต่ได้ขยายวงกว้างออกไปทั่วประเทศ กลายเป็นความไม่พอใจในหลายประเด็น ที่สั่งสมมานาน กลุ่มนักศึกษาและภาคประชาสังคมได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาต่างๆ และรับฟังเสียงของประชาชน

ทำไมผู้ประท้วงอินโดนีเซียตัดสินใจยุติการชุมนุมชั่วคราว?

ปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงตัดสินใจยุติการชุมนุมในครั้งนี้คือความกังวลเรื่องความปลอดภัย หลังจากที่ประธานาธิบดีได้สั่งให้กองทัพและตำรวจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ก่อความไม่สงบ มีข่าวลือและการเตือนภัยต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้ประท้วงหลายคนรู้สึกไม่ปลอดภัย และตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ การที่แกนนำหลักหลายกลุ่มประกาศเลื่อนการชุมนุมออกไป ก็มีผลต่อการตัดสินใจของกลุ่มอื่นๆ ด้วย เนื่องจากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความรุนแรง การยุติชุมนุมชั่วคราวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ เพื่อรักษาสภาพและรอโอกาสที่เหมาะสมกว่า

แม้ว่ากลุ่มผู้ประท้วงจะประกาศยุติการชุมนุม แต่ความไม่พอใจของประชาชนยังคงอยู่ รัฐบาลอินโดนีเซียจะต้องรับฟังเสียงของประชาชน และแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งและการประท้วงรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต การเปิดเวทีเจรจา รับฟังความคิดเห็น และดำเนินการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความสงบและความมั่นคงในประเทศ

สถานการณ์ในอินโดนีเซียยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด การที่กลุ่มผู้ประท้วงยุติการชุมนุมเป็นเพียงการพักรบชั่วคราวเท่านั้น หากรัฐบาลไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ความไม่พอใจของประชาชนก็อาจปะทุขึ้นมาอีกครั้งได้

ที่มา – กลุ่มผู้ประท้วงอินโดฯ ประกาศยุติชุมนุมชั่วคราววันนี้ หวั่นถูกปราบปรามหนัก