บราซิล

ผู้นำบราซิลเผย ทรัมป์ยืนยันบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคี

ผู้นำบราซิลเผย ทรัมป์ยืนยันบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคี

ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคี ภายหลังการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองเมื่อไม่นานมานี้ ข่าวดังกล่าวสร้างความฮือฮาในวงการนักลงทุนทั่วโลก

ผู้นำบราซิลได้มีถ้อยแถลงดังกล่าวนอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเปิดเผยว่า การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นและคาดว่าข้อตกลงการค้าทวิภาคี จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด การเร่งเครื่องเจรจาครั้งนี้ส่งสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

ที่ผ่านมานั้น ปธน.ลูลาได้เรียกร้องให้ปธน.ทรัมป์ยกเลิกภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากบราซิล และยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศ หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 50% ต่อสินค้าหลายรายการของบราซิล และใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อผู้พิพากษาคนหนึ่งของบราซิล ในความพยายามของสหรัฐที่จะขัดขวางการพิจารณาคดีของอดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนาโร ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาพยายามก่อรัฐประหารในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ลูลาชี้ว่า การตัดสินใจด้านภาษีของสหรัฐฯ ต่อบราซิลนั้นถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่พร้อมหารือทับทรัมป์ทุกประเด็น รวมถึงสนับสนุนสหรัฐฯ ในประเด็นเวเนซุเอลา การเปิดใจคุยกันทุกประเด็นถือเป็นสัญญาณที่ดีในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ทั้งนี้ ลูลาเสริมว่า ตนเน้นย้ำกับทรัมป์ว่า สิ่งสำคัญคือควรให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของบราซิลในฐานะประเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีบทบาททางเศรษฐกิจสำคัญที่สุดของอเมริกาใต้ โดยมีเกือบทุกประเทศในภูมิภาคเป็นเพื่อนบ้าน การมีเพื่อนบ้านที่ดีเป็นแต้มต่อสำคัญในการเจรจาต่างๆ

ทำไมข้อตกลงการค้าทวิภาคีถึงสำคัญ?

ข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง ข้อตกลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศต่างๆ ได้อย่างเสรีมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการลงทุน การจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย

ประโยชน์ที่ได้รับจากข้อตกลงการค้าทวิภาคี:

  • เพิ่มโอกาสทางการค้า: ข้อตกลงเหล่านี้ช่วยลดหรือยกเลิกอุปสรรคทางการค้า เช่น ภาษีศุลกากรและโควต้า ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และขยายธุรกิจไปต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
  • ส่งเสริมการลงทุน: ข้อตกลงการค้ามักจะรวมถึงบทบัญญัติที่ส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเงินทุนเข้ามาในประเทศและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • สร้างงาน: เมื่อธุรกิจต่างๆ ขยายตัวและส่งออกสินค้าและบริการได้มากขึ้น ก็จะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่ๆ และลดอัตราการว่างงาน
  • กระตุ้นการแข่งขัน: การเปิดตลาดให้มีการแข่งขันจากต่างประเทศมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจต่างๆ พัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพดีขึ้นและมีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น
  • เพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจ: ข้อตกลงการค้าช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งและเพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก

การบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างบราซิลและสหรัฐอเมริกาจึงเป็นข่าวดีที่น่าจับตามอง เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างผลประโยชน์ในวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย

การเจรจาครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ และจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร คงต้องติดตามข่าวสารกันอย่างใกล้ชิดต่อไป การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลกส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เสมอ

ที่มา – ผู้นำบราซิลเผย ทรัมป์ยืนยันบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคี

ญี่ปุ่นพลิกแซงบราซิล! ตาม 2 ลูกก่อนชนะเกมอุ่นเครื่อง

ทีมชาติญี่ปุ่น พลิกสถานการณ์จากที่ตามหลัง บราซิล ไปก่อน 0-2 ก่อนมายิงครึ่งหลัง 3 ลูกรวดแซงชนะ 3-2 ในเกมอุ่นเครื่องทีมชาติ นี่คือชัยชนะที่น่าจดจำของทัพซามูไรบลู

การแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรทีมชาติ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. คู่ที่น่าสนใจเป็นแมตช์ “คิริน ชาลเลนจ์ คัพ” ระหว่าง “ซามูไร บลู” ญี่ปุ่น เปิดสนาม อายิโนะโมะโตะ สเตเดียม รับการมาเยือนของ “แซมบา” บราซิล ซึ่งเกมนี้เป็นการวัดศักยภาพของทั้งสองทีมก่อนทัวร์นาเมนต์สำคัญที่จะมาถึง

เกมนี้เจ้าถิ่นวาง ไดจิ คามาดะ, ทาเคฟุสะ คุโบะ และทาคุมิ มินามิโนะ นำทัพ ด้านทีมเยือนวาง คาเซมิโร, วินิซอุส จูเนียร์ และมาเตอุส คุนญา เป็นแกนหลัก ทำให้เกมเต็มไปด้วยความสนุกและน่าติดตาม

Japan players celebrate after a goal during the friendly soccer match between Japan and Brazil Tuesday, Oct. 14, 2025, in Tokyo. (AP Photo/Eugene Hoshiko)

 

ผลปรากฏว่า ญี่ปุ่น พลิกสถานการณ์จากที่ตามหลัง บราซิล ไปก่อน 0-2 ในช่วงครึ่งแรกจาก เปาโล เฮนริเก นาที 26 และกาเบรียล มาร์ติเนลลี นาที 32 กลับมายิงแซง 3 ลูกรวดในครึ่งหลังจาก ทาคุมิ มินามิโนะ นาที 52, เคโตะ นากามูระ นาที 62 และอายาเซะ อูเอดะ นาที 71 ทำให้ ญี่ปุ่น ตามหลัง 2 ลูกก่อนพลิกสถานการณ์แซงชนะ บราซิล เกมอุ่นเครื่องทีมชาติไปอย่างสุดมันส์

ญี่ปุ่น ตามหลัง 2 ลูกก่อนพลิกสถานการณ์แซงชนะ บราซิล เกมอุ่นเครื่องทีมชาติ

เกมนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความไม่ยอมแพ้ของนักเตะญี่ปุ่น แม้จะตกเป็นรองก่อนในช่วงแรก แต่พวกเขาก็สามารถกลับมาสู่เกมและพลิกสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือสัญญาณที่ดีสำหรับทีมชาติญี่ปุ่นในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในอนาคต

ครึ่งแรกบราซิลดูเหมือนจะคุมเกมไว้ได้หมด และทำประตูนำไปก่อนถึงสองประตู ทำให้หลายคนคิดว่าเกมนี้คงจบลงด้วยชัยชนะของบราซิล แต่ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นถึงสปิริตนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ พวกเขาปรับแผนการเล่นและกลับมาสร้างความกดดันให้กับบราซิลอย่างต่อเนื่อง

ไฮไลท์สำคัญ: ญี่ปุ่นพลิกแซงบราซิลได้อย่างไร?

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการปรับเกมรุกของญี่ปุ่นให้มีความหลากหลายมากขึ้น พวกเขาใช้ความเร็วและความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นในการเจาะแนวรับของบราซิล นอกจากนี้ การเปลี่ยนตัวผู้เล่นก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความสดชื่นให้กับทีม

  • การแก้เกมของโค้ชในช่วงพักครึ่ง
  • ความมุ่งมั่นของนักเตะที่ไม่ยอมแพ้
  • การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากแฟนบอลในสนาม

ชัยชนะในเกมนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลการแข่งขันที่ดี แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทีมชาติญี่ปุ่นอีกด้วย พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถต่อสู้กับทีมระดับโลกได้อย่างสูสี และสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้ แม้จะตกเป็นรองก่อนก็ตาม

สำหรับบราซิล แม้ว่าเกมนี้จะเป็นเพียงแค่นัดอุ่นเครื่อง แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่พวกเขาต้องนำไปปรับปรุง พวกเขาต้องแก้ไขข้อผิดพลาดในเกมรับและเพิ่มความเฉียบคมในเกมรุก เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่สำคัญกว่าในอนาคต

โดยรวมแล้ว เกมนี้เป็นเกมที่สนุกและตื่นเต้น เต็มไปด้วยการพลิกผันและช่วงเวลาที่น่าจดจำ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของทั้งสองทีม และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวงการฟุตบอล

และแน่นอนว่า เรื่องราวของ ญี่ปุ่น ตามหลัง 2 ลูกก่อนพลิกสถานการณ์แซงชนะ บราซิล เกมอุ่นเครื่องทีมชาติ จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

ที่มา – ญี่ปุ่น ตามหลัง 2 ลูกก่อนพลิกสถานการณ์แซงชนะ บราซิล เกมอุ่นเครื่องทีมชาติ

โรนัลโดชี้! บราซิลยังต้องการ เนย์มาร์ ลุยบอลโลก

โรนัลโด ตำนานดาวยิงทีมชาติบราซิล ออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่า เนย์มาร์ แข้งรุ่นน้อง ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติบราซิลในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ที่กำลังจะมาถึง หากเจ้าตัวกลับมาฟิตสมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

เนย์มาร์ แนวรุกวัย 33 ปี ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับสโมสรซานโตส ในลีกบ้านเกิดของบราซิล ไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2023 เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่รุมเร้าอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ คาร์โล อันเชล็อตติ เฮดโค้ชคนปัจจุบันของทีมชาติบราซิล ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เนย์มาร์ จะต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อมและฟิตสมบูรณ์เสียก่อน ถึงจะได้รับการพิจารณาเรียกตัวกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง

ล่าสุด โรนัลโด ตำนานดาวยิงของทีมชาติบราซิล ได้ออกมากล่าวถึงสถานการณ์ของ เนย์มาร์ และโอกาสในการกลับมาเล่นให้ทีมชาติในฟุตบอลโลก 2026 ที่กำลังจะมาถึงว่า

“บราซิลสามารถบรรลุเป้าหมายทุกอย่างได้ด้วยผู้เล่นที่พวกเขามีอยู่” โรนัลโดกล่าว

เนย์มาร์ สามารถเป็นผู้เล่นที่สำคัญได้ และผมเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้เล่นที่สำคัญในฟุตบอลโลกครั้งหน้า ทุกคนต้องการ เนย์มาร์ ที่ฟิตเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นคือสิ่งที่อันเชล็อตติต้องการ และตัวเขาเองก็ต้องการเช่นกัน ในใจของเขา ผมมองเห็นความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะไปฟุตบอลโลกและช่วยทีมชาติบราซิล”

โรนัลโด เชื่อทีมชาติบราซิล ยังต้องการ เนย์มาร์ ในฟุตบอลโลกปีหน้า

จากคำกล่าวของโรนัลโด แสดงให้เห็นว่าเขายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของ เนย์มาร์ และมองว่า เนย์มาร์ ยังคงเป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญต่อทีมชาติบราซิลอย่างมาก แม้ว่าเจ้าตัวจะมีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้งก็ตาม

การกลับมาของ เนย์มาร์ จะช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกให้กับทีมชาติบราซิลได้อย่างแน่นอน ด้วยทักษะการเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม ความสามารถในการสร้างสรรค์เกม และความเฉียบคมในการจบสกอร์ ทำให้ เนย์มาร์ เป็นผู้เล่นที่ทีมคู่ต่อสู้ต้องจับตาเป็นพิเศษ

ความท้าทายของ เนย์มาร์ ในการกลับคืนสู่ทีมชาติ

อย่างไรก็ตาม การกลับมาสู่ทีมชาติของ เนย์มาร์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเจ้าตัวต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ประการแรกคือเรื่องของสภาพร่างกายที่ต้องฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแกร่งเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ประการที่สองคือการปรับตัวเข้ากับแท็คติกและระบบการเล่นของทีมชาติบราซิลภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ

นอกจากนี้ เนย์มาร์ ยังต้องแข่งขันกับผู้เล่นคนอื่นๆ ในทีมชาติบราซิล เพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทีมชาติบราซิลมีผู้เล่นที่มีความสามารถหลายคนที่พร้อมจะลงสนามและพิสูจน์ตัวเอง

แต่หาก เนย์มาร์ สามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้ และกลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง เขาก็จะเป็นผู้เล่นที่สำคัญอย่างยิ่งต่อทีมชาติบราซิล ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026

การมีเนย์มาร์ในทีม จะเป็นการสร้างความฮึกเหิมและเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 ให้กับทัพเซเลเซาอย่างแน่นอน ด้วยประสบการณ์และความสามารถที่สั่งสมมา เนย์มาร์จะเป็นผู้นำและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ ในทีม

ดังนั้น การที่โรนัลโดออกมาสนับสนุนและให้กำลังใจเนย์มาร์ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะแสดงให้เห็นว่าตำนานดาวยิงรายนี้ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของรุ่นน้อง และพร้อมที่จะสนับสนุนให้เนย์มาร์กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง

เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า เนย์มาร์จะสามารถกลับมาฟิตสมบูรณ์และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งได้หรือไม่ และเขาจะมีบทบาทสำคัญอย่างไรในการพาทีมชาติบราซิลไปสู่ความสำเร็จในฟุตบอลโลก 2026 ที่กำลังจะมาถึง

การมี เนย์มาร์ ในทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกฟุตบอลโลกปีหน้า จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้บราซิลกลายเป็นทีมเต็งแชมป์ที่น่ากลัวอย่างแน่นอน

ที่มา – โรนัลโด เชื่อทีมชาติบราซิล ยังต้องการ เนย์มาร์ ในฟุตบอลโลกปีหน้า

อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว กลับไปรับโทษต่อ

อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว หลังรักษามะเร็งผิวหนัง กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ โดยโรงพยาบาลดีเอฟ สตาร์ ในกรุงบราซิเลีย เมืองหลวงของบราซิล ได้ออกแถลงการณ์ว่า ฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล ได้ออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังเข้ารับการวินิจฉัยและการรักษามะเร็งผิวหนังอย่างต่อเนื่อง และจะเดินทางกลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านพักตามเดิมในช่วงเที่ยงวัน

จากแถลงการณ์ของโรงพยาบาล ระบุว่า อาการของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังได้รับการรักษาด้วยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการติดตามผลทางคลินิกอย่างใกล้ชิด และกลับมาเข้ารับการตรวจซ้ำเป็นประจำเพื่อความแน่ใจ นอกจากนี้ ผลการตรวจชิ้นเนื้อจากรอยโรคที่ผิวหนังจำนวน 8 จุด พบว่า 2 จุดนั้นเป็น “มะเร็งเซลล์สความัสที่ยังไม่กระจาย” (squamous cell carcinoma in situ)

สำนักข่าวซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า อดีตประธานาธิบดีรายนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เนื่องจากมีอาการอาเจียน วิงเวียนศีรษะ และความดันโลหิตตก ซึ่งสร้างความกังวลให้กับทีมแพทย์และผู้ใกล้ชิดเป็นอย่างมาก

สำหรับโทษกักบริเวณที่อดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูได้รับนั้น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม หลังจากศาลตัดสินว่าเขาไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดทางกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการสืบสวนในข้อกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในแผนการรัฐประหารเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ศาลฎีกาสหพันธรัฐของบราซิลเพิ่งมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูเป็นเวลา 27 ปี 3 เดือน ในข้อหาพยายามก่อรัฐประหารดังกล่าว ซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรงและสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในบราซิลอย่างมาก

อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว

การที่ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ ได้สร้างความสนใจให้กับสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอย่างมาก หลายคนตั้งคำถามถึงอนาคตทางการเมืองของเขา และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถานการณ์ทางการเมืองในบราซิล

สถานการณ์ของ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว หลังรักษามะเร็งผิวหนัง กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ นับเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่สุขภาพของเขา และในแง่ของผลกระทบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

การที่ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว และกลับไปรับโทษต่อ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง และทิศทางของประเทศบราซิลในอนาคต

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าของอดีตปธน.บราซิล

การที่อดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูต้องเผชิญกับทั้งปัญหาสุขภาพและปัญหาทางกฎหมาย ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา การที่ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว ไม่ได้หมายความว่าความยากลำบากจะสิ้นสุดลง แต่กลับเป็นการเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง และรักษาชื่อเสียงที่สั่งสมมา

  • การต่อสู้คดีความ: อดีตประธานาธิบดีจะต้องเผชิญหน้ากับการดำเนินคดีในข้อหาต่างๆ ที่ถูกกล่าวหา
  • การรักษาชื่อเสียง: การกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อรัฐประหาร
  • การดูแลสุขภาพ: การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

อนาคตของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เขาจะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่การเดินทางของเขายังอีกยาวไกล ทั้งในแง่ของการรักษาตัว และการต่อสู้ทางกฎหมาย เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเขาจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้อย่างไร และอนาคตทางการเมืองของเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป

ที่มา – อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว หลังรักษามะเร็งผิวหนัง กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ

บราซิลส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ ร่วงเพราะภาษี

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศกำลังร้อนระอุ! บราซิล ประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ ดิ่งลงเหวถึงเกือบ 60% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากอะไร? คำตอบคือ “พิษภาษีทรัมป์”

สมาคมอุตสาหกรรมกาแฟสำเร็จรูปแห่งบราซิล (ABICS) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ในเดือนสิงหาคมปีนี้ บราซิลส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ เพียง 26,460 กระสอบ (กระสอบละ 60 กิโลกรัม) เท่านั้น ตัวเลขนี้ลดลงถึง 59.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และยังลดลงถึง 50.1% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ทำไมสถานการณ์ถึงเลวร้ายขนาดนี้? อากีนัลโด ลิมา ผู้อำนวยการบริหารของ ABICS อธิบายว่า “อัตราภาษีที่สูงถึง 50% ทำให้การค้ากับอเมริกาแทบเป็นไปไม่ได้เลย” เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเปิดช่องทางการเจรจา เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างบราซิลและสหรัฐอเมริกาให้กลับสู่สภาวะปกติ

บราซิลส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ

แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังคงเป็นผู้ซื้อกาแฟสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดของบราซิล โดยมียอดซื้อรวม 443,179 กระสอบในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ส่งสัญญาณอันตรายต่ออุตสาหกรรมกาแฟของบราซิลอย่างมาก ผู้ซื้อรายใหญ่อันดับรองลงมาคือ อาร์เจนตินาและรัสเซีย

ในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม บราซิลส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปยัง 88 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านกระสอบ ซึ่งลดลง 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยความผันผวนของราคากาแฟและอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้รายได้จากการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปกลับพุ่งสูงขึ้นถึง 33% สู่ระดับ 760.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลกระทบต่อตลาดกาแฟในประเทศ

ในขณะที่การส่งออกเผชิญกับความท้าทาย ตลาดกาแฟสำเร็จรูปภายในประเทศบราซิลกลับมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม ชาวบราซิลบริโภคกาแฟสำเร็จรูปรวม 763,645 กระสอบ เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงความนิยมอย่างต่อเนื่องของกาแฟสำเร็จรูปในหมู่ผู้บริโภคชาวบราซิล

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของการค้าโลก และผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อย่างรุนแรง บราซิลจำเป็นต้องหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการค้า หรือการหาตลาดใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว

การส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ ที่ลดลงอย่างมากนี้ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการและผู้กำหนดนโยบาย ว่าการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และการกระจายความเสี่ยง เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจในโลกยุคปัจจุบัน

ถึงแม้ว่ารายได้จากการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น แต่การพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่คาดไม่ถึง ดังนั้นการมองหาตลาดใหม่ๆ และการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับหลากหลายประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมกาแฟของบราซิลในระยะยาว

ที่มา – บราซิลส่งออกกาแฟสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ ร่วงเกือบ 60% เดือนส.ค. พิษภาษีทรัมป์

ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร

ศาลสูงสุดบราซิลมีคำพิพากษาเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) ให้จำคุก ฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล เป็นเวลา 27 ปี 3 เดือน หลังคณะตุลาการลงมติว่า เขามีความผิดจริงฐานสมคบคิดก่อการรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2565 นับเป็นคำตัดสินที่สั่นสะเทือนสถานะของผู้นำประชานิยมฝ่ายขวาจัดคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก

คำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลสูงสุด 5 ท่าน ส่งผลให้โบลโซนารูในวัย 70 ปี ได้ถูกจารึกประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีคนแรกของประเทศที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทั้งยังจุดชนวนความขุ่นเคืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

ตุลาการ 4 ใน 5 เสียงลงมติว่า อดีตปธน.โบลโซนารูมีความผิด 5 กระทง ประกอบด้วย การเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรม, การใช้ความรุนแรงเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตย, การจัดตั้งเพื่อก่อการรัฐประหาร, การทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และการทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง

“คดีอาญานี้แทบจะเป็นจุดบรรจบระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของบราซิล” ตุลาการ การ์เมน ลูเซีย กล่าวก่อนลงมติชี้ขาดความผิดของโบลโซนารู โดยอ้างถึงหน้าประวัติศาสตร์ของชาติที่แปดเปื้อนด้วยการรัฐประหารและความพยายามโค่นล้มประชาธิปไตย

ลูเซียกล่าวเสริมว่า พยานหลักฐานมีน้ำหนักอย่างยิ่งว่า โบลโซนารูซึ่งปัจจุบันถูกควบคุมตัวในบ้านพัก ได้ลงมือกระทำการ “โดยมุ่งหวังที่จะกัดเซาะระบอบประชาธิปไตยและสถาบันต่าง ๆ”

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษามิได้เป็นเอกฉันท์ เมื่อตุลาการ ลุยซ์ ฟุกซ์ มีความเห็นแย้งเมื่อวันพุธ (10 ก.ย.) โดยให้ยกฟ้องอดีตปธน.โบลโซนารูทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งตั้งข้อกังขาต่อเขตอำนาจของศาล

ยิ่งไปกว่านั้น คำตัดสินนี้อาจโหมกระพือความกราดเกรี้ยวของพันธมิตรคนสำคัญของโบลโซนารูอย่างปธน.ทรัมป์ ผู้ซึ่งเคยประณามคดีนี้ว่าเป็น “การล่าแม่มด” และได้ดำเนินมาตรการตอบโต้บราซิล ทั้งการขึ้นกำแพงภาษี การคว่ำบาตรตุลาการผู้พิจารณาคดี และการเพิกถอนวีซ่าตุลาการศาลสูงสุดส่วนใหญ่

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงคำตัดสินในวันพฤหัสบดี ปธน.ทรัมป์ยังคงกล่าวยกย่องโบลโซนารู และเรียกคำพิพากษาครั้งนี้ว่าเป็น “เรื่องเลวร้ายอย่างที่สุด”

“ผมว่ามันแย่มาก ๆ ต่อบราซิล” ทรัมป์กล่าว

ขณะเดียวกัน เอดัวร์ดู โบลโซนารู สมาชิกรัฐสภาบราซิลซึ่งติดตามการพิจารณาคดีของบิดาจากสหรัฐฯ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เขาคาดว่า ปธน.ทรัมป์จะพิจารณาใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อบราซิล และคณะตุลาการศาลสูงสุด

ด้านมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ศาล “พิพากษาอย่างอยุติธรรม” และกล่าวเสริมว่า “สหรัฐอเมริกาจะตอบโต้การล่าแม่มดครั้งนี้อย่างสาสม”

“พวกเขาต้องการสกัดผมจากเวทีการเมืองในปีหน้า” โบลโซนารูให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อไม่นานนี้ โดยหมายถึงการเลือกตั้งปี 2569 ที่ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา มีแนวโน้มจะลงชิงตำแหน่งเป็นสมัยที่สี่ “ถ้าไม่มีผมลงแข่ง ลูลาจะเอาชนะใครก็ได้ทั้งนั้น”

ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร

คดี ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร นับว่าเป็นประเด็นร้อนแรงที่สะเทือนวงการการเมืองโลกอย่างมาก การที่อดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงฐานสมคบคิดก่อการรัฐประหารนั้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยในบราซิลและทั่วโลก

ผลกระทบจากคำตัดสิน ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร

การที่ ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร จะนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในบราซิลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พันธมิตรของโบลโซนารูอาจออกมาตอบโต้และสร้างความวุ่นวาย ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอาจใช้โอกาสนี้เสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเอง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างบราซิลและสหรัฐฯ อาจตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงให้การสนับสนุนโบลโซนารูอย่างเหนียวแน่น

อนาคตของบราซิลภายใต้สถานการณ์นี้ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝังรากลึกและการแทรกแซงจากต่างชาติ อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในระยะยาว

โดยรวมแล้ว คดี ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยและความสำคัญของการรักษาสถาบันทางกฎหมาย ความยุติธรรม และความโปร่งใส หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ สังคมก็อาจตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียเสรีภาพและประชาธิปไตยที่สั่งสมมา

ที่มา – ศาลบราซิลสั่งจำคุกอดีตปธน. “ฌาอีร์ โบลโซนารู” 27 ปี ฐานสมคบคิดก่อรัฐประหาร

บราซิลเตรียมตอบโต้! หลังโดนสหรัฐฯ เก็บภาษี 50%

เกิดอะไรขึ้น? บราซิลกำลังเตรียมตอบโต้สหรัฐอเมริกา หลังถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าถึง 50%! กระทรวงการต่างประเทศบราซิลได้สั่งให้หน่วยงานด้านการค้าของรัฐบาล (Camex) เร่งวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการใช้ กฎหมายตอบโต้สหรัฐฯ หลังโดนเก็บภาษี 50% เพื่อตอบโต้มาตรการดังกล่าว นับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในแวดวงการค้าระหว่างประเทศ

บราซิลเตรียมใช้กฎหมายตอบโต้สหรัฐฯ หลังโดนเก็บภาษี 50%

กฎหมายตอบแทนฉบับนี้มีความสำคัญอย่างไร? กฎหมายดังกล่าวซึ่งผ่านสภาคองเกรสบราซิลไปเมื่อต้นปีนี้ ได้วางกรอบทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้บราซิลสามารถตอบสนองต่อมาตรการทางการค้าที่เลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจมุ่งเป้าไปที่สินค้าและบริการจากบราซิลโดยเฉพาะ รวมถึงการใช้มาตรการตอบโต้ต่างๆ เช่น การจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมเอง

การตอบโต้ครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอะไร? ความเคลื่อนไหวนี้เป็นผลมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้านำเข้าจากบราซิล ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสินค้าจากบราซิลอย่างมาก และนำไปสู่การตอบโต้ในครั้งนี้

แหล่งข่าววงในระบุว่า ประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล ได้อนุมัติการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้แล้ว แต่ถึงกระนั้น มาตรการตอบโต้ที่ชัดเจนยังไม่ได้มีการตัดสินใจ และจะต้องมีการพิจารณาอีกครั้งหลังจากการอนุมัติจาก Camex ให้ใช้กฎหมายนี้กับสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ

มาตรการตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นจากบราซิล

แม้ว่ารายละเอียดของมาตรการตอบโต้ยังไม่ชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้หลายอย่างที่บราซิลอาจนำมาใช้เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น

  • การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ: บราซิลอาจพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากบราซิล
  • การจำกัดปริมาณสินค้านำเข้า: อีกทางเลือกหนึ่งคือการกำหนดโควต้า หรือปริมาณสูงสุดของสินค้าบางประเภทที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ได้
  • การร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO): บราซิลอาจยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO โดยอ้างว่ามาตรการของสหรัฐฯ ขัดต่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองประเทศนี้ คืออะไร? หากบราซิลและสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าซึ่งกันและกัน อาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตในทั้งสองประเทศ ราคาสินค้าอาจสูงขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง และการจ้างงานอาจลดลงเนื่องจากภาคธุรกิจต้องปรับตัว

การวิเคราะห์ของ Camex จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดแนวทางการตอบโต้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับบราซิล ตลอดจนความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านการเจรจา

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการค้าระหว่างประเทศและความสำคัญของการมีกลไกแก้ไขข้อพิพาทที่เป็นธรรม การที่บราซิลตอบโต้ด้วยการใช้ กฎหมายตอบโต้สหรัฐฯ หลังโดนเก็บภาษี 50% แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเอง และส่งสัญญาณไปยังประเทศอื่นๆ ว่าบราซิลจะไม่ยอมรับมาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม

การบังคับใช้ กฎหมายตอบโต้สหรัฐฯ หลังโดนเก็บภาษี 50% ถือเป็นความท้าทายและโอกาสสำหรับบราซิลในการแสดงบทบาทที่แข็งแกร่งในเวทีการค้าระหว่างประเทศ การตัดสินใจที่รอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาบราซิลผ่านพ้นความท้าทายนี้ไปได้

ที่มา – บราซิลสั่งเริ่มวิเคราะห์ใช้กฎหมายตอบโต้สหรัฐฯ หลังโดนเก็บภาษี 50%