นเรนทรา โมดี

“ปูติน” ต่อสาย “โมดี” ถกยูเครน & ความสัมพันธ์

“ปูติน” ต่อสาย “โมดี” หารือความสัมพันธ์ทวิภาคี-สถานการณ์ยูเครน

เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียได้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยประเด็นหลักในการหารือคือความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน

ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัสเซียและอินเดียที่มีมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ โดยเน้นย้ำถึงพื้นฐานที่สำคัญคือการสนับสนุนซึ่งกันและกันของทั้งสองชาติ นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังได้แสดงความพึงพอใจต่อความสำเร็จในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง

ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียได้แถลงเพิ่มเติมว่า “ผู้นำทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนที่ประธานาธิบดีรัสเซียจะเดินทางเยือนอินเดียในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับยูเครน” การเยือนอินเดียของประธานาธิบดีปูตินในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ภายหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ นายกรัฐมนตรีโมดีได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) โดยระบุว่า อินเดียมีความมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายความขัดแย้งในยูเครนอย่างสันติ แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการของอินเดียที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและการเจรจา

การหารือระหว่าง “ปูติน” ต่อสาย “โมดี” ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอินเดียในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนหลายประการ ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและระดับโลก

สถานการณ์ยูเครนยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในการสนทนาครั้งนี้ แม้ว่าอินเดียจะไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน แต่ก็แสดงเจตจำนงที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สร้างสรรค์ของอินเดียในเวทีระหว่างประเทศ

โดยสรุปแล้ว การสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง “ปูติน” ต่อสาย “โมดี” เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างรัสเซียและอินเดีย รวมถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนอย่างสันติ การหารือในครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณที่ดีต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีและความพยายามในการสร้างสันติภาพในภูมิภาค

การที่ผู้นำทั้งสองให้ความสำคัญกับการหารือในประเด็นต่างๆ อย่างเปิดอกและสร้างสรรค์ ถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต ความเข้าใจซึ่งกันและกันและความร่วมมือที่ใกล้ชิด จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในอนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอินเดียมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทิศทางที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และความมั่นคง การแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างสองประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

การที่อินเดียมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ในเวทีระหว่างประเทศ จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของอินเดียในฐานะผู้นำที่มีความรับผิดชอบในภูมิภาคเอเชีย และมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในระดับโลก

ที่มา – “ปูติน” ต่อสาย “โมดี” หารือความสัมพันธ์ทวิภาคี-สถานการณ์ยูเครน

ปูตินชม โมดี “มิตรแท้” อินเดียพร้อมเคียงข้างรัสเซีย

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยกย่องนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียว่าเป็น “มิตรแท้” ในการพบปะหารือทวิภาคีเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา โดยอินเดียให้คำมั่นว่าจะยืนหยัดเคียงข้างรัสเซียในยามยากลำบาก

การพบปะดังกล่าวเกิดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นมิตร โดยมีการแลกเปลี่ยนรอยยิ้มและจับมือทักทายระหว่างผู้นำทั้งสอง รวมถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน

ปธน.ปูตินกล่าวกับนายกฯ โมดีเป็นภาษารัสเซียว่า “ท่านนายกรัฐมนตรีที่รัก มิตรแท้ของผม” พร้อมเสริมว่า “รัสเซียและอินเดียมีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษและไว้วางใจกันมานานหลายทศวรรษ นี่คือรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ของเราต่อไปในอนาคต”

นายกฯ โมดีตอบว่า “แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด อินเดียและรัสเซียก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมอ ความร่วมมืออันใกล้ชิดของเราไม่เพียงสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ยังสำคัญต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก”

ภายหลังการหารือ นายกฯ โมดีได้โพสต์ภาพของตนเองกับปธน.ปูตินในรถยนต์หุ้มเกราะ Aurus ของผู้นำรัสเซียผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ สร้างความฮือฮาและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

จีนและอินเดียเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของน้ำมันดิบรัสเซีย แม้สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดีย แต่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

ในประเด็นสงครามยูเครน นายกฯ โมดีแสดงความยินดีต่อความพยายามในการแก้ไขความขัดแย้ง และหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน

ปูตินยก โมดี “มิตรแท้” อินเดียพร้อมเคียงข้างรัสเซีย

รถยนต์ Aurus เป็นรถประจำตำแหน่งที่ปธน.ปูตินใช้ในการเดินทางต่างประเทศบ่อยครั้ง และเคยเชิญผู้นำชาติอื่นร่วมโดยสาร หรือมอบให้เป็นของขวัญ เช่นที่มอบให้คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ

“มิตรแท้” ในสายตาปูติน

การที่ปูตินยกย่องโมดีว่าเป็น “มิตรแท้” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยาวนานระหว่างรัสเซียและอินเดีย แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากชาติตะวันตก รัสเซียและอินเดียยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงานและการป้องกันประเทศ

อินเดียยังคงเป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซียในภูมิภาคเอเชียใต้ และทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันในการต่อต้านการก่อการร้ายและส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาค

การที่อินเดียประกาศพร้อม “เคียงข้างรัสเซียในยามยาก” แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งต่อไป แม้ว่าสถานการณ์โลกจะมีความผันผวนก็ตาม

ความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัสเซียและอินเดียนี้ มีความสำคัญต่อสมดุลอำนาจโลก และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต

การที่ปูตินเรียกว่าโมดีว่า มิตรแท้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ปูตินมีต่อนายกรัฐมนตรีอินเดีย และยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังนานาชาติว่ารัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว และยังมีพันธมิตรที่เข้มแข็งที่พร้อมจะสนับสนุนรัสเซียในเวทีโลก

ที่มา – ปูตินยกโมดี “มิตรแท้” ด้านอินเดียลั่น พร้อมเคียงข้างรัสเซียยามยาก

“ปูติน” ย้ำ! สันติภาพยูเครนต้องหยุดขยายอิทธิพลนาโต

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวว่า สันติภาพที่ยั่งยืนในยูเครนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดการกับปัญหาการขยายอิทธิพลขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) มาทางตะวันออก ซึ่งถือเป็นต้นตอของวิกฤตการณ์ โดยท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย

บรรยากาศนอกรอบการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจินเป็นไปอย่างชื่นมื่น โดยนายกฯ โมดีได้จับมือปธน.ปูตินขณะเดินเข้าพบปธน.สี ซึ่งผู้นำทั้งสามได้พูดคุยกันพร้อมรอยยิ้ม

ปธน.ปูตินกล่าวในที่ประชุมสุดยอดว่า ชาติตะวันตกได้พยายามดึงยูเครนเข้าเป็นพวก และพยายามชักจูงยูเครนให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารกับนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ

“การจะคลี่คลายสถานการณ์ในยูเครนได้อย่างยั่งยืนและถาวรนั้น จำเป็นต้องขจัดรากเหง้าของวิกฤตที่แท้จริง ซึ่งผมได้กล่าวไปแล้วและเคยย้ำอยู่หลายครั้ง” ปธน.ปูตินกล่าว

ทั้งนี้ รัสเซียได้ส่งทหารหลายหมื่นนายบุกยูเครนเมื่อเดือนก.พ. 2565 หลังจากเกิดการสู้รบยืดเยื้อ 8 ปีในภาคตะวันออกของยูเครนระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียสนับสนุนกับกองทัพยูเครน โดยปัจจุบันรัสเซียสามารถควบคุมดินแดนยูเครนได้เกือบหนึ่งในห้า

ยูเครนและชาติมหาอำนาจยุโรปตะวันตกประณามการกระทำของรัสเซียว่าเป็นการรุกรานเพื่อหวังดินแดนอย่างโหดเหี้ยม แต่ปธน.ปูตินมองว่าสงครามครั้งนี้คือการต่อสู้กับโลกตะวันตก ซึ่งเขาเชื่อว่าชาติตะวันตกได้หยามเกียรติรัสเซียด้วยการขยายอิทธิพลของนาโตมาทางตะวันออก

ก่อนหน้านี้ ในการประชุมสุดยอดที่กรุงบูคาเรสต์เมื่อปี 2551 ผู้นำนาโตเคยเห็นพ้องที่จะรับยูเครนและจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิกในอนาคต และต่อมาในปี 2562 ยูเครนได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการเข้าเป็นสมาชิกนาโตและสหภาพยุโรปอย่างสมบูรณ์

ปธน.ปูตินยังเปิดเผยว่า “ความเข้าใจร่วมกัน” ที่เขาบรรลุกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในการประชุมสุดยอดที่รัฐอะแลสกาเมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดทางไปสู่สันติภาพในยูเครน และเขาจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับผู้นำชาติอื่น ๆ ในการประชุม SCO ครั้งนี้

“เราขอชื่นชมความพยายามและข้อเสนอจากจีนและอินเดียที่มุ่งส่งเสริมให้การแก้ไขวิกฤตยูเครนลุล่วงไปด้วยดี” ปธน.ปูตินกล่าว “และผมหวังว่าความเข้าใจร่วมกันที่เกิดขึ้นในการพบปะระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ที่อะแลสกา ก็จะมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน”

ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า เขาได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับผลการหารือกับปธน.ทรัมป์ให้ปธน.สีได้รับทราบแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (31 ส.ค.) รวมถึงความคืบหน้าในการแก้ไขความขัดแย้ง และจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมในการประชุมทวิภาคีกับผู้นำจีนและชาติอื่น ๆ ต่อไป

ปัจจุบัน จีนและอินเดียคือลูกค้ารายใหญ่ที่สุดที่ซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก แม้ปธน.ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเพื่อตอบโต้ แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าทั้งสองชาติจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

“ปูติน” ผนึกจีน-อินเดีย ย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต

จากสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ การออกมาเน้นย้ำถึงเงื่อนไขสันติภาพของปูติน โดยการยุติการขยายอิทธิพลของนาโต ถือเป็นจุดยืนที่แข็งกร้าวและอาจนำไปสู่การเจรจาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น การที่จีนและอินเดียเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขวิกฤต อาจเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่สันติภาพได้ แต่ต้องจับตาดูว่าชาติตะวันตกจะมีท่าทีอย่างไรต่อข้อเสนอนี้

ปูตินย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน: ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต

การที่ “ปูติน” ออกมาย้ำถึงเงื่อนไขสันติภาพยูเครน โดยเน้นย้ำถึงการยุติขยายอิทธิพลของนาโตนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะรักษาสถานะเดิมของรัสเซียในภูมิภาค การที่จีนและอินเดียเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจา อาจนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่เป็นกลางและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ แต่ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สถานการณ์ในยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และการเจรจาเพื่อสันติภาพยังคงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายก็ตาม การที่ “ปูติน” ผนึกจีน-อินเดีย ย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ที่มา – “ปูติน” ผนึกจีน-อินเดีย ย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต

อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ เสริมเศรษฐกิจมั่นคง 10 ปี

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้เห็นพ้องกันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 ส.ค.) ในการที่จะกระชับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอินเดียบนเวทีโลก ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ภายหลังการเจรจาในกรุงโตเกียว ท่านอิชิบะและท่านโมดีได้เปิดตัววิสัยทัศน์ร่วม ซึ่งระบุถึงเป้าหมายความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ได้แก่ การเพิ่มการลงทุนของญี่ปุ่นในอินเดียให้ถึง 10 ล้านล้านเยน (หรือประมาณ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) และการเพิ่มการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกันให้ได้ถึง 5 แสนคน ภายในระยะเวลา 5 ปี

ทั้งสองประเทศยังได้แสดงความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ตามแถลงการณ์ร่วมฉบับแยกต่างหาก ซึ่งเน้นย้ำถึงการเคลื่อนไหวทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นในน่านน้ำดังกล่าว

อิชิบะกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกันภายหลังการเจรจาว่า ญี่ปุ่นและอินเดียมีความรับผิดชอบร่วมกันในการธำรงรักษาและส่งเสริมระเบียบระหว่างประเทศที่เสรีและเปิดกว้าง โดยยึดมั่นในหลักนิติธรรม

นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังได้ออกคำประกาศร่วมด้านความมั่นคง ซึ่งได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับขั้นตอนใหม่ของความเป็นหุ้นส่วน โดยให้คำมั่นที่จะขยายการฝึกซ้อมร่วมกันระหว่างกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นและกองทัพอินเดีย ซึ่งเอกสารฉบับนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มใช้ในปี 2551

เป็นที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่ลึกซึ้งกับอินเดีย โดยทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกของกลุ่มควอด (Quad) ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ เสริมความร่วมมือเศรษฐกิจ-ความมั่นคง 10 ปี

ความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและอินเดียในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตและความมั่นคงของภูมิภาค

การที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะเพิ่มการลงทุนและแลกเปลี่ยนบุคลากร มีส่วนช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะสำหรับประชาชนของทั้งสองประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นและอินเดียแสดงความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อนาคตความร่วมมือ อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ 10 ปี

การประกาศวิสัยทัศน์ร่วมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคม

การที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอินเดียในเวทีโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของอินเดียในการเป็นผู้นำและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ระดับโลก

การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและอินเดียในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม โดยจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง

โดยรวมแล้ว อิชิบะ-โมดีเปิดวิสัยทัศน์ ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน การที่สองผู้นำให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในระยะยาวนั้น เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีในอนาคตอย่างแท้จริง

ที่มา – อิชิบะ-โมดีเปิดวิสัยทัศน์ เสริมความร่วมมือเศรษฐกิจ-ความมั่นคง 10 ปี

ปูติน พบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกพลังงาน


ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน ที่จีน! ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เตรียมหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่ประเทศจีน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระชับความร่วมมือด้านพลังงาน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน 17 ตุลาคม 2566 (ภาพ: thaigov.go.th)

ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียต้องการรักษาและขยายตลาดพลังงานของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยุโรปลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียลงอย่างมาก

สำหรับอินเดีย ปูตินต้องการสร้างความมั่นใจว่าโมดีจะยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในปริมาณมหาศาลต่อไป แม้ว่าอินเดียจะเผชิญกับแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาให้ลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียก็ตาม

ในส่วนของจีน ปูตินหวังว่าจีนจะแสดงบทบาทในการสนับสนุนรัสเซียอย่างแข็งขัน รวมถึงการเปิดใช้งานท่อส่งก๊าซที่ถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลานาน เพื่อช่วยชดเชยการสูญเสียตลาดพลังงานในยุโรป

มีรายงานว่า การพบปะกันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของผู้นำทั้งสามนับตั้งแต่การประชุมสุดยอดในรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว โดยผู้นำจากชาติมหาอำนาจเหล่านี้จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ซึ่งจะเริ่มในวันอาทิตย์นี้

ความสำคัญของความร่วมมือด้านพลังงาน

นับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน ความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างรัสเซีย อินเดีย และจีน มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น รายงานจากศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาด (CREA) ระบุว่า อินเดียและจีนซื้อพลังงานจากรัสเซียรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณที่รัสเซียส่งออกทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2566

อเล็กซานเดอร์ กาบูเอฟ ผู้อำนวยการศูนย์คาร์เนกีรัสเซียยูเรเชีย กล่าวว่า ความสัมพันธ์กับจีนและอินเดียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรัสเซีย เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ และจีนและอินเดียยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของรัสเซียต่อไป

นอกเหนือจากผู้นำรัสเซียและอินเดียแล้ว การประชุม SCO ยังมีผู้นำจากประเทศอื่นๆ เข้าร่วมด้วย อาทิ ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ผู้นำเบลารุส, ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ผู้นำอิหร่าน, ชาห์บาซ ชารีฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน, ประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ผู้นำตุรกี, ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย, ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา, อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม

การหารือในครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาว่า ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน ครั้งนี้จะนำไปสู่ข้อตกลงที่สำคัญอย่างไร และจะมีผลกระทบต่อตลาดพลังงานโลกอย่างไรบ้าง

ที่มา – ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน

“โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียเรียกร้องให้อินเดียเพิ่มการพึ่งพาตนเองมากขึ้นด้วยการผลิตทุกอย่าง ตั้งแต่ปุ๋ยไปจนถึงเครื่องยนต์เจ็ตและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมให้คำมั่นว่าจะปกป้องเกษตรกรท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ

ทั้งนี้ โมดีกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติของอินเดียในวันนี้ (15 ส.ค.) ขณะที่อินเดียเผชิญปัญหาภาษีศุลกากรสูงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าของอินเดีย และความล้มเหลวในการเจรจาการค้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความแตกต่างเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ

โมดีกล่าวว่า เกษตรกร ชาวประมง และผู้เลี้ยงสัตว์ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุดของประเทศ และยืนยันว่าเขาจะเป็นเหมือนกำแพงปกป้องนโยบายใด ๆ ที่คุกคามผลประโยชน์ของพวกเขา โดยอินเดียจะไม่ประนีประนอมเมื่อเกี่ยวข้องกับการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร

อย่างไรก็ตาม ในการแถลงสุนทรพจน์ซึ่งยาวเกือบสองชั่วโมง โมดีไม่ได้กล่าวถึงภาษีหรือสหรัฐฯ โดยตรง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งเก็บภาษีเพิ่มเติม 25% กับสินค้าของอินเดีย โดยอ้างว่าอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ซึ่งภาษีใหม่นี้จะทำให้สินค้าส่งออกบางรายการจากอินเดียถูกเก็บภาษีสูงถึง 50% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับคู่ค้า

ภาษีเหล่านี้กระทบการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเสื้อผ้า รองเท้า อัญมณีและเครื่องประดับ

สำหรับมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าเกือบ 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567

การเจรจาด้านการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ล้มเหลวหลังจากการเจรจา 5 รอบ เนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องการเปิดตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมของอินเดีย รวมถึงการยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) กระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุว่า อินเดียหวังว่าความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ จะก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกันและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อลดความกังวลว่าความสัมพันธ์จะตกต่ำลง

“โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นโยบาย “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก

แนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียภายใต้ นโยบาย “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร

การที่อินเดียให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองมากขึ้น อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะยาว นอกจากนี้ การที่ “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร ยังสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ

ผลกระทบต่อเกษตรกรอินเดียจะเป็นอย่างไร? นโยบายนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้จริงหรือไม่? และความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของอินเดียมากน้อยเพียงใด? คำถามเหล่านี้ยังคงรอคำตอบ

อย่างไรก็ตาม การที่อินเดียเน้นย้ำถึงการปกป้องเกษตรกร แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว การดำเนินนโยบาย “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอน การที่อินเดียให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองและปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร อาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังเผชิญอยู่ได้

ที่มา – “โมดี” หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร ขณะขัดแย้งสหรัฐฯ