นิวเคลียร์

อี แจ-มยอง เผย! เกาหลีเหนือใกล้ผลิตนิวเคลียร์ ICBM

อี แจ-มยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีเหนือกำลังอยู่ในขั้นสุดท้ายของการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ได้

ปธน.อีให้คำมั่นว่าจะลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือลงเพื่อดึงดูดการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ระหว่างการเดินทางเยือนนิวยอร์ก เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่เป็นเจ้าภาพจัดการเสวนานักลงทุนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

ปธน.อีกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเพื่อเจรจากับสหรัฐฯ หรือเพื่อการปกครองของตัวเองก็ตาม พวกเขายังคงเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปที่สามารถยิงถึงสหรัฐฯ ได้ และสามารถบรรจุระเบิดนิวเคลียร์มาถล่มสหรัฐฯ ได้ แต่ถึงจะดูเหมือนว่าพวกเขายังทำไม่สำเร็จ แต่ก็ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ขาดแต่เพียงเทคโนโลยีสำหรับการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเท่านั้น ซึ่งนั่นก็น่าจะได้รับการแก้ไขในเร็ว ๆ นี้”

ปีที่แล้วเกาหลีเหนือได้ยิง ฮวาซอง-19 (Hwasong-19) ขีปนาวุธ ICBM ลูกใหญ่ที่สุดพุ่งขึ้นไปในอวกาศ โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ขีปนาวุธดังกล่าวมีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายในสหรัฐฯ แม้ว่าความสามารถของเกาหลีเหนือในการนำวิถีขีปนาวุธและป้องกันหัวรบนิวเคลียร์ขณะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจะยังคงเป็นที่กังขาก็ตาม

ปธน.อีย้ำว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเป็นคู่เจรจากับเกาหลีเหนือได้ โดยทรัมป์กล่าวในเดือนส.ค.ว่าต้องการพบกับคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดภายในปีนี้ ซึ่งคิม จองอึน ก็ยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจากับสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ หยุดยืนกรานให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์

ทั้งนี้ ปธน.อี ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำเกาหลีใต้เมื่อเดือนมิ.ย. ได้พยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ และเสนอให้มีการเจรจาระหว่างสองชาติเกาหลีขึ้น แต่เกาหลีเหนือปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

ปธน.อีเสริมว่า เกาหลีเหนือดูเหมือนจะมีอาวุธนิวเคลียร์เพียงพอที่จะค้ำจุนระบอบการปกครองของตนเองแล้ว และได้เรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อหยุดยั้งการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มเติม ซึ่งอาจถูกนำไปขายให้กับต่างประเทศได้ ตลอดจนชักชวนให้ลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในระยะกลางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคต สิ่งที่ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง กังวลคือการที่อาวุธเหล่านี้จะถูกส่งออกไปขายให้กับกลุ่มก่อการร้ายซึ่งจะส่งผลเสียต่อสันติภาพโลก

อี แจ-มยอง เผย เกาหลีเหนือใกล้ผลิตนิวเคลียร์ ICBM สำเร็จแล้ว

สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังคงเป็นที่น่าจับตามอง การที่ อี แจ-มยอง ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและหาทางออกทางการทูตเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาคและโลก และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

สำหรับนักวิเคราะห์แล้ว ข้อมูลที่ อี แจ-มยอง เปิดเผยนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนัก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าเกาหลีเหนือพยายามพัฒนาขีดความสามารถทางทหารของตนเองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การยืนยันอย่างเป็นทางการจากผู้นำเกาหลีใต้ ย่อมส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการดำเนินมาตรการป้องกันและทางการทูตที่เข้มข้นยิ่งขึ้น

การที่เกาหลีเหนือใกล้ที่จะประสบความสำเร็จในการพัฒนา ICBM ที่สามารถยิงไปถึงสหรัฐฯ ได้สำเร็จนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการเร่งแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี การเจรจาและการทูตยังคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการลดความตึงเครียดและป้องกันความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่หายนะ การที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันหน้าเข้าหากันและหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจังเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้

ที่มา – “อี แจ-มยอง” เผย เกาหลีเหนือใกล้ผลิตนิวเคลียร์ ICBM ที่ยิงไกลถึงสหรัฐฯ สำเร็จแล้ว

อิหร่านถก 3 ชาติยุโรป ปม นิวเคลียร์-คว่ำบาตร

สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นที่จับตา เมื่ออิหร่านเตรียมหารือกับ 3 ชาติยุโรปเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ นั่นคือโครงการนิวเคลียร์และมาตรการคว่ำบาตรที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของข้อตกลงนิวเคลียร์ และความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตก

สำนักข่าว IRNA ของทางการอิหร่านรายงานว่า ซัยยิด อับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน จะมีการหารือทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ในวันนี้ (22 ส.ค.) ประเด็นหลักของการหารือคือการเจรจานิวเคลียร์ และมาตรการคว่ำบาตรที่อิหร่านเผชิญอยู่

อิหร่านและ 3 ชาติยุโรปเตรียมถกประเด็นนิวเคลียร์-มาตรการคว่ำบาตร

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความพยายามของชาติตะวันตกในการควบคุมกิจกรรมดังกล่าว มหาอำนาจยุโรปทั้งสามชาติ (E3) ได้ขู่ที่จะนำมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติกลับมาบังคับใช้กับอิหร่านอีกครั้งภายใต้กลไก “Snapback” หากอิหร่านไม่ยอมหวนคืนสู่โต๊ะเจรจาว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์

ชาติตะวันตกเหล่านี้ พร้อมด้วยสหรัฐอเมริกายืนกรานว่า อิหร่านกำลังใช้โครงการนิวเคลียร์เพื่อแอบซุ่มพัฒนาอาวุธ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิหร่านปฏิเสธมาโดยตลอด อิหร่านยืนยันมาโดยตลอดว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติ และใช้ในทางการแพทย์และพลังงานเท่านั้น

ผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตร

มาตรการคว่ำบาตรที่อิหร่านเผชิญอยู่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเป็นไปได้ยาก และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน การหารือระหว่างอิหร่านและ 3 ชาติยุโรปจึงเป็นโอกาสสำคัญในการหาทางออกร่วมกัน และลดความตึงเครียดในภูมิภาค

รัฐบาลอิหร่านได้ระงับการเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ และอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อเดือนมิ.ย. และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คณะผู้ตรวจการจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก็ไม่สามารถเข้าถึงโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ แม้ว่าราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA จะออกมายืนกรานว่าการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดก็ตาม

การที่ IAEA ไม่สามารถเข้าถึงโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ ยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับชาติตะวันตก และทำให้สถานการณ์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหานี้ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติ

การพูดคุยเรื่อง อิหร่านและ 3 ชาติยุโรปเตรียมถกประเด็นนิวเคลียร์-มาตรการคว่ำบาตร ครั้งนี้ จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อเสถียรภาพในตะวันออกกลางและเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน

ที่มา – อิหร่านและ 3 ชาติยุโรปเตรียมถกประเด็นนิวเคลียร์-มาตรการคว่ำบาตร

ผู้เชี่ยวชาญชี้ รัสเซียเร่งเสริมแกร่งระบบป้องกันนิวเคลียร์

อเล็กเซย์ ลิฆาเชฟ ผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจนิวเคลียร์รัสเซีย เปิดเผยว่า รัสเซียจำเป็นต้องเร่งเสริมแกร่งระบบป้องกันนิวเคลียร์ เนื่องจากเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคง นี่เป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายกำลังจับตามอง

ลิฆาเชฟให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่เกิดภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัสเซีย ดังนั้น ระบบป้องกันนิวเคลียร์ จึงถือเป็นหลักประกันอธิปไตยของชาติ และการพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้นถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต รัสเซียจึงต้องเร่งดำเนินการ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัวระบบป้องกันขีปนาวุธมูลค่า 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในชื่อ “โกลเดนโดม” (Golden Dome) เพื่อสกัดขีปนาวุธหลายประเภท รวมถึงขีปนาวุธพิสัยไกล ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก และครูซ เพื่อรับมือภัยคุกคามจากรัสเซียและจีน ว่ากันว่าระบบนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ปลอดภัยยิ่งขึ้น

โกลเดนโดมถูกออกแบบมาเพื่อสร้างเครือข่ายดาวเทียมที่ครอบคลุม ซึ่งสามารถตรวจจับ ติดตาม และสกัดกั้นขีปนาวุธที่พุ่งเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทรัมป์อ้างว่าระบบนี้จะ “สกัดกั้นขีปนาวุธได้ แม้จะถูกยิงมาจากอีกซีกโลกหนึ่ง หรือแม้แต่ถูกยิงมาจากอวกาศ” ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงการแข่งขันด้านอาวุธ

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ด้านทหารเตือนว่า ไม่มีระบบใดสามารถสกัดขีปนาวุธได้ครบทุกลูก โดยเฉพาะเมื่อจำนวนขีปนาวุธที่ทั้งสองประเทศอาจยิงออกมามีมาก การมีระบบป้องกันนิวเคลียร์ ที่แข็งแกร่งจึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

ปัจจุบัน รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 4,300 ลูก ขณะที่สหรัฐฯ มีประมาณ 3,700 ลูก คิดเป็นเกือบ 87% ของหัวรบนิวเคลียร์โลกทั้งหมด ตามด้วยจีน 600 ลูก ฝรั่งเศส 290 ลูก อังกฤษ 225 ลูก อินเดีย 180 ลูก ปากีสถาน 170 ลูก อิสราเอล 90 ลูก และเกาหลีเหนือ 50 ลูก ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของอาวุธนิวเคลียร์

ผู้เชี่ยวชาญชี้ รัสเซียต้องเร่งเสริมแกร่งระบบป้องกันนิวเคลียร์ รับมือภัยคุกคามร้ายแรง

สถานการณ์โลกที่ตึงเครียดในปัจจุบัน ทำให้การพัฒนาระบบป้องกันตนเองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

ทำไมรัสเซียต้องเร่งเสริมแกร่งระบบป้องกันนิวเคลียร์?

ภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัสเซียต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบป้องกันนิวเคลียร์ของตนเอง

  • ภัยคุกคามจากขีปนาวุธพิสัยไกล: การพัฒนาขีปนาวุธของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทำให้รัสเซียต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
  • ความตึงเครียดทางการเมือง: ความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจ ทำให้สถานการณ์โลกไม่แน่นอน และอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารได้
  • เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป: การพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารอย่างรวดเร็ว ทำให้รัสเซียต้องปรับปรุงระบบป้องกันของตนเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ

การเสริมแกร่งระบบป้องกันนิวเคลียร์ ไม่ได้หมายถึงการเพิ่มจำนวนหัวรบนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับ การสกัดกั้น และการป้องกันผลกระทบจากอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

ในอนาคต เราอาจได้เห็นการแข่งขันด้านอาวุธที่รุนแรงยิ่งขึ้นระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับโลกของเรา เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

ดังนั้น การเจรจาและการลดอาวุธนิวเคลียร์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความมั่นคงและความสงบสุขให้กับโลกของเรา การร่วมมือกันของทุกฝ่ายจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

ที่มา – ผู้เชี่ยวชาญชี้ รัสเซียต้องเร่งเสริมแกร่งระบบป้องกันนิวเคลียร์ รับมือภัยคุกคามร้ายแรง