ดีเอสไอ

ด่วน! ดีเอสไอ บุกตึก ซิโน-ไทย สอบปากคำผู้ถือหุ้น

ดีเอสไอ บุกตึก ซิโน-ไทย สอบปากคำ 2 ผู้ถือหุ้นชาวไทย ที่มาการทำธุรกิจ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง ของนาย เฉิน จื้อ หรือไม่ 

เมื่อวันที่ 24 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) ซึ่งมี นายเฉิน จื้อ หรือ วินเซนต์ ชาวอังกฤษเชื้อสายกัมพูชา วัย 37 ปี ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทฯ ซึ่งถูกทางการสหรัฐกล่าวหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน จากการดำเนินศูนย์สแกมเมอร์โดยใช้แรงงานบังคับในประเทศกัมพูชา

ต่อมามีรายงานชี้แจงว่า บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เช่าอาคาร Sino-Thai Tower ทำสัญญาเช่าระหว่างวันที่ 1 ต.ค.66-30 ก.ย.69 ประกอบธุรกิจนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ และเป็นคนละบริษัทโดยสิ้นเชิง กับกลุ่มที่ถูกสหรัฐอายัดทรัพย์ นายเฉิน จื้อ รวมทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเช่าตึกอาคาร ซิโน-ไทย หรือเจ้าของอาคาร Sino-Thai Tower

ขณะที่ บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ที่ให้ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เช่าตึก อาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ชี้แจงว่า บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยให้บริการด้านการให้เช่า ให้บริการและดูแลอาคารสำนักงาน ในนาม ซิโนไทย ทาวเวอร์ ในฐานะผู้ให้เช่า

ซึ่งบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เช่าพื้นที่สำนักงานอยู่ชั้น 7 ของอาคาร เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ให้บริการลูกค้าภายในไทยเท่านั้น จึงยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ตามที่รายงานข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 ต.ค.68 ที่อาคารซิโนไทย ทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท 21 (ซอยอโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำโดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม โดยกองกิจการยุติธรรม คณะพนักงานสืบสวนเรื่องที่ 134/2568

พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เดินทางเข้าพบผู้ถือหุ้น บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) เพื่อบันทึกการสอบปากคำ และรับมอบพยานเอกสารตามที่ผู้ถือหุ้นประสงค์ให้ความร่วมมือชี้แจงต่อดีเอสไอ

สำหรับกระบวนการสอบปากคำพยานกับผู้ถือหุ้นบริษัท ปรินซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) นั้น คณะพนักงานสืบสวน กองกิจการอำนวยความยุติธรรม จะได้สอบปากคำผู้ถือหุ้นชาวไทย 2 ราย ได้แก่ 1.นายปริตวาทย์ และ 2.นายวุฒิชัย ซึ่งจะสอบถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของการประกอบธุรกิจดังกล่าว

และที่ผ่านมาผลประกอบการเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงกรณีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) หรือไม่ อย่างไร และในบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมด มีใครไปถือหุ้นในบริษัทอื่นหรือไม่ เป็นบริษัทใดบ้าง

ซึ่งถ้าหากผู้ถือหุ้นรายใดให้การว่า “ตนเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” หรือ “ให้การว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” คณะพนักงานสืบสวนก็จะบันทึกคำให้การไว้ทั้งหมด เพราะบุคคลมีสิทธิ์จะให้การอย่างไรก็ได้ เช่น ถ้าบอกว่า “เคยเกี่ยวข้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” พนักงานสืบสวนก็จะได้สอบถามต่อว่า “เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง จากธุรกิจใด เกิดขึ้นในห้วงเวลาใดบ้าง

และตอนนี้ยังร่วมธุรกิจกันอยู่หรือไม่ ได้ไปเป็นเครือด้วยกันหรือไม่“ เป็นต้น ส่วนถ้าหากผู้ถือหุ้นต้องการมอบพยานเอกสารใดแก่ดีเอสไอเพื่อประกอบคำให้การ ทางดีเอสไอก็ยินดีรับนำไปพิจารณาในสำนวนการสืบสวน

ทั้งนี้ บริษัท ปรินซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ก.ย.65 ทุนปัจจุบัน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ปรากฏชื่อนายหวัง ยู่ ถัง สัญชาติจีน (ไต้หวัน) เป็นกรรมการรายเดียว นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย.68 พบว่า นายหวัง ยู่ ถัง ถือหุ้นใหญ่สุด 49% ส่วนผู้ถือหุ้นชาวไทยอีก 3 ราย ได้แก่ นายพิภพ ถือหุ้น 21% นายปริตวาทย์ ถือหุ้น 20% นายวุฒิชัย ถือหุ้น 10%

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 ก.ย.66 บริษัทแจ้งเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมในปี 2565 จำนวน 1 ล้านบาท เพิ่มเป็น 2 ล้านบาท ขณะที่นายหวัง ยู่ ถัง เพิ่งเข้ามาเป็นกรรมการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 และนายวุฒิชัย เข้ามาเป็นกรรมการเมื่อวันที่ 10 เม.ย.67 แต่ปัจจุบัน นายวุฒิชัย ยุติการเป็นกรรมการบริษัทแล้ว เหลือแค่นายหวัง ยู่ ถัง เป็นกรรมการรายเดียว

ขณะเดียวกันวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของบริษัทเมื่อปี 2565 ซึ่งปรากฏผ่านงบการเงิน พบว่า บริษัทแห่งนี้ ประกอบกิจการขายสินค้าตามวัตถุที่ประสงค์จากประเทศญี่ปุ่น เช่น เครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้ง เสื้อผ้า เป็นต้น แต่ในปี 2566 แจ้งเปลี่ยนเป็นการขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป

จากนั้นเมื่อวันที่ 13 ส.ค.67 เปลี่ยนเป็นกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง กระทั่งวันที่ 15 มิ.ย.68 เปลี่ยนประเภทธุรกิจเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทนำส่งงบการเงิน 3 ปีย้อนหลัง ดังนี้

-งบการเงินปี 2565 แจ้งมีสินทรัพย์รวม 1,006,266 บาท หนี้สินรวม 44,000 บาท มีรายได้รวม 6,266 บาท รายจ่ายรวม 44,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 37,733 บาท

-งบการเงินปี 2566 แจ้งมีสินทรัพย์รวม 729,345 บาท หนี้สินรวม 18,888 บาท รายได้รวม 10,000 บาท รายจ่ายรวม 1,261,810 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,251,810 บาท

-งบการเงินปี 2567 แจ้งมีสินทรัพย์รวม 1,521,851 บาท หนี้สินรวม 5,096,157 บาท รายได้รวม 858,415 บาท รายจ่ายรวม 5,072,286 บาท ขาดทุนสุทธิ 4,284,763 บาท

ด่วน! ดีเอสไอ บุกตึก ซิโน-ไทย สอบปากคำผู้ถือหุ้น

ล่าสุด ดีเอสไอได้เข้าบุกตึก ซิโน-ไทย เพื่อสอบปากคำผู้ถือหุ้น กรณีที่อาจมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง ของนาย เฉิน จื้อ ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก การสอบสวนนี้มีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบที่มาที่ไปของการประกอบธุรกิจ และความสัมพันธ์กับบริษัทดังกล่าวอย่างละเอียด

ทำไมดีเอสไอถึงบุกตึก ซิโน-ไทย สอบปากคำผู้ถือหุ้น?

การเข้าสอบปากคำผู้ถือหุ้นของบริษัท ปรินซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ตึก ซิโน-ไทย ครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งถูกกล่าวหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน การตรวจสอบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงกว้าง

การที่ ดีเอสไอ บุกตึก ซิโน-ไทย สอบปากคำผู้ถือหุ้นครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดอย่างจริงจัง แม้ว่าบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จะยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต แต่การสอบสวนอย่างละเอียดก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความโปร่งใสและความยุติธรรม

การตรวจสอบข้อมูลทางการเงินและเส้นทางการทำธุรกิจ จะช่วยให้ทราบถึงความเชื่อมโยงที่แท้จริง และนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง การบุกเข้าสอบปากคำผู้ถือหุ้นที่ตึก ซิโน-ไทย จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการสืบสวนคดีนี้

ที่มา – ด่วน! ดีเอสไอ บุกตึก ซิโน-ไทย สอบปากคำ 2 ผู้ถือหุ้นชาวไทย ปริ้นซ์ อินเตอร์ฯ โยง เฉินจื้อ

ดีเอสไอสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว. จับตา กกต.

ดีเอสไอเผย คดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว. ลุยสอบพยานกว่า 1,200 ราย เผยพยานบางส่วนสารภาพ-ซักทอดข้อมูลไว้แล้ว แย้มชุดไต่สวน กกต. ขยายผล“คนกลุ่มใหม่” ไม่ซ้ำสำนวน 229 รายแรก

เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 คณะพนักงานสอบสวนกรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยถึงความคืบหน้า ว่า หลังจาก อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จาก 10 กองคดีภายในกรม ให้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 ราย ซึ่งกระจายทั่วพื้นที่ 45 จังหวัด

โดยทั้งหมด มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัคร สว. แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเอง และไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้น หรือเรียกว่า เป็นการพลีชีพ หรือ โหวตเตอร์ จึงต้องสอบสวนมาให้ได้ซึ่งข้อเท็จจริง

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการสอบสวนปากคำพยาน ตอนนี้ยังไม่ครบทั้ง 1,200 ราย แต่ก็เดินหน้าทยอยสอบปากคำต่อเนื่อง จนกว่าจะถึงขั้นตอนพิจารณาออกหมายเรียกผู้ต้องหา เนื่องจากการสอบปากคำพยานที่ผ่านมา มีพยานบางส่วนยอมรับสารภาพให้การซักทอด เป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี พนักงานสอบสวน จึงต้องรวบรวมถ้อยคำให้การทั้งหมดมาประกอบการพิจารณากับพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ ยังต้องดูในส่วนของ กกต. ที่อยู่ระหว่างดำเนินการสำนวนคดีฮั้ว สว. ควบคู่ไปด้วย เพราะว่ามีผลเชื่อมโยงกันกับคดีอาญา ที่เป็นมูลฐานมาจากกฎหมายเลือกตั้งดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของสำนวนคดีฮั้ว สว.ของ กกต. เองทราบว่าที่ผ่านมาก็มีการเรียกสอบสวนปากคำเพิ่มเติม

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยอีกว่า ส่วนที่ ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 4 ก.ย.68 ส่งถึงอธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 3 ราย (เดิม) ไปร่วมนั้น เพื่อดำเนินการไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือก สว.ระดับประเทศ กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1)

โดยครั้งนี้ จะไม่ใช่การสอบสวนผู้ถูกกล่าวหากลุ่มเดิมก่อนหน้านี้ 229 ราย ได้แก่ สว.ตัวจริง จำนวน 138 ราย กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายของพรรค จำนวน 91 ราย แต่จะเป็นคนกลุ่มใหม่ที่ กกต. ขยายผลพบเจอว่า มีลักษณะการฮั้ว สว.เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นอำนาจการพิจารณาของ กกต. ว่าจะดำเนินการสอบสวน “คนกลุ่มใหม่” เข้าสู่สำนวนกฎหมายเลือกตั้งอย่างไร จะตั้งเป็นเรื่องใหม่ หรือเรื่องต่อเนื่องกับสำนวน 229 รายแรกหรือไม่

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า สำหรับสำนวนคดีอาญา อั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ที่ดีเอสไอดำเนินการนั้น ก็ต้องดูประกอบกับสำนวนคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายเลือกตั้งที่ กกต. ดำเนินการอยู่ด้วย และก็ต้องรับฟังพนักงานอัยการประกอบกันด้วย เพราะทั้งคดีอาญาที่ดีเอสไอดำเนินการ กับคดีกฎหมายการเลือกตั้งที่ กกต. ดำเนินการมันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว

ดีเอสไอ ลุยสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว. จับตาสำนวนฮั้วสว. ของกกต. ขยายผล“คนกลุ่มใหม่”

คดีดีเอสไอ ลุยสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว. กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด การทำงานร่วมกันระหว่างดีเอสไอและ กกต. มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคลี่คลายความจริงและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ

ความคืบหน้าล่าสุดของคดีดีเอสไอ ลุยสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว.

ขณะนี้ดีเอสไอได้สอบพยานไปแล้วกว่า 1,200 ราย และมีพยานบางส่วนให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี การขยายผลของ กกต. ไปยัง “คนกลุ่มใหม่” ที่มีพฤติการณ์ฮั้ว สว. เช่นเดียวกัน ยิ่งทำให้คดีนี้มีความซับซ้อนและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น

ความเชื่อมโยงระหว่างสำนวนคดีอาญาของดีเอสไอและสำนวนคดีฮั้ว สว. ของ กกต. จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

การที่พยานบางส่วนยอมรับสารภาพและให้การซักทอด ถือเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ แต่กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานและการพิจารณาของพนักงานอัยการยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

การเปิดเผยข้อมูลของดีเอสไอ ทำให้ประชาชนได้รับทราบถึงความคืบหน้าของคดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการดำเนินการอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม

คดีดีเอสไอ ลุยสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว. จับตาสำนวนฮั้วสว. ของกกต. ขยายผล“คนกลุ่มใหม่” นี้เป็นบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของหน่วยงานภาครัฐในการปราบปรามการทุจริตและการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของการเลือกตั้ง

ที่มา – ดีเอสไอ ลุยสอบคดีอั้งยี่-ฟอกเงินสว. จับตาสำนวนฮั้วสว. ของกกต. ขยายผล“คนกลุ่มใหม่”

ดีเอสไอเปิดโปง ‘นิติกรรมอำพรางที่ดินเขากระโดง’

ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ ภาพถ่ายยันทับลำคลองสาธารณะ ปกครองท้องที่ได้แก่ จังหวัด อำเภอ และเทศบาล ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

วันที่ 31 ส.ค. 2568 กรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการสืบสวนเรื่องข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐและเกี่ยวข้องกับกลุ่มคณะบุคคลหลายฝ่าย เป็นเรื่องสืบสวนที่ 97/2568

พร้อมให้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวบรวมและตรวจสอบพยานหลักฐาน ประสานเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ การรถไฟแห่งประเทศไทย แขวงการทางรถไฟลำปลายมาศ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่บุรีรัมย์ และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์

รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงที่ปกปิดอำพรางของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ดินการรถไฟเขากระโดง และสนามแข่งรถ เนื่องด้วยภายหลังศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลปกครองกลาง

มีคำวินิจฉัยว่า ที่ดินรถไฟตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของการรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลาเขากระโดงเป็นที่ดินของรัฐ (มีการจัดทำแผนที่ รว.9 หลังศาลปกครองสั่งให้ทำและรับรองร่วมกันระหว่างกรมที่ดินกับ รฟท.แล้ว เมื่อปลายปี พ.ศ. 2567)

อันเป็นที่การชัดเจนในส่วนของขอบเขตที่ดิน ซึ่งการที่ศาลต่างได้วินิจฉัยว่า เป็นที่ดินของรัฐ จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ลงโทษตาม มาตรา 108 ทวิ กรณีบุกรุกยึดถือครอบครองสนามฟุตบอลเนื้อที่รวมกันมากกว่า 50 ไร่

ทั้งที่มีโฉนดและที่ครอบครองไม่มีโฉนด รวมสนามฟุตบอลมากกว่า 50 ไร่ เป็นความผิดทางอาญาที่เป็นคดีพิเศษที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลและมีความสลับซับซ้อนอีกทั้งมูลค่าความเสียหายจำนวนมากและเมื่อศาลจะพิพากษาให้ผู้กระทำผิดออกจากที่ดินด้วยเป็นผลดีต่อ รฟท. ไม่ต้องฟ้องคดีแพ่งขับไล่เอง

อีกทั้งไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินเลขที่ 3477 เนื้อที่ 37 ไร่ นั้น ครอบครัวนักการเมืองดัง มีการยกให้ต่อกันมาหลายทอดจนถึงรุ่นหลาน ต่อมาได้สร้างเป็นสนามฟุตบอล โดยหลานที่ได้รับต่อมามีการจดทะเบียนให้บริษัทแห่งหนึ่งเช่าเป็นเวลา 30 ปี

จึงมีรายได้จากการให้เช่า แต่ในปี พ.ศ.2565 ก่อนมีการเลือกตั้งใหญ่ พ.ศ. 2566 หลานได้ยกกลับไปให้บิดา ซึ่งผิดปกติวิสัยการที่ลูกยกให้บิดา ทั้งนี้ เป็นการอำพรางที่ดินดังกล่าวซึ่งยังมีรายได้จากการให้เช่าที่ดินอีกด้วย

รายงานของดีเอสไอ ยังพบอีกด้วยว่า บริเวณสนามแข่งรถ นอกพื้นที่ที่ดินการรถไฟเขากระโดง สร้างทับลำคลองสาธารณะ ทั้งที่กรมที่ดินได้ออกโฉนดกันคลองออกแล้วก็ตาม อันเป็นความผิดบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งในส่วนนี้ ผู้ปกครองท้องที่ได้แก่ จังหวัด อำเภอ และเทศบาล ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนการจะรับเป็นคดีพิเศษ จะต้องให้การรถไฟฯ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ

ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ ภาพถ่ายยันทับลำคลองสาธารณะ

ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ ภาพถ่ายยันทับลำคลองสาธารณะ

ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’

การตรวจสอบเรื่อง ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด เพราะเกี่ยวข้องกับที่ดินของรัฐและผลประโยชน์ของหลายฝ่าย

ความคืบหน้าล่าสุดคดีดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’

ขณะนี้ ดีเอสไอ กำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนคดี ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ แต่อย่างใด หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม จะแจ้งให้ทราบต่อไป

การเปิดโปง ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ ครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของกรมสอบสวนคดีพิเศษในการรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ซึ่งต้องชื่นชมการทำงานอย่างตรงไปตรงมา

ที่มา – ดีเอสไอ เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน ‘เขากระโดง’ ภาพถ่ายยันทับลำคลองสาธารณะ