ญี่ปุ่น

สื่อตปท. คาดนายกฯหญิงญี่ปุ่นชะลอขึ้นดอกเบี้ย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ซานาเอะ ทาเคอิจิ กำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น พร้อมขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจแบบขยายตัว ดังนั้นโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะหลีกเลี่ยงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมนั้น มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการหยุดพักขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะไม่กินเวลานานหากส่งผลกระทบต่อค่าเงินเยน

การที่สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนั้น เกิดจากนโยบายของนางทาเคอิจิที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก

ทาเคอิจิ ซึ่งจะขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของญี่ปุ่นในสัปดาห์หน้า หลังจากชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแอลดีพีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เธอมีความโดดเด่นในการแข่งขันในฐานะผู้สนับสนุนคนเดียวที่เสนอนโยบายการใช้จ่ายขนาดใหญ่และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

รัฐสภาญี่ปุ่นคาดว่าจะลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้าพรรคแอลดีพีคนใหม่ที่มีจุดยืนชาตินิยมอนุรักษ์นิยมเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ตุลาคม เนื่องจากพรรคแอลดีพีของเธอเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา แม้ว่าจะยังไม่แน่นอน เพราะพันธมิตรของพรรคแอลดีพีสูญเสียเสียงข้างมากในสภาทั้งสองสภาภายใต้การนำของชิเงรุ อิชิบะ ผู

หลังจากชนะการเลือกตั้ง ทาเคอิจิได้แสดงความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบายการคลังและการเงิน และลำดับความสำคัญของเธอคือการกระตุ้นอุปสงค์และเศรษฐกิจโดยรวม

ทาเคอิจิอธิบายว่าการขึ้นราคาในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และเตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงชัยชนะเหนือภาวะเงินฝืด เนื่องจากบริษัทต่างๆ เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

นโยบายของทาเคอิจิส่งผลให้สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเธอให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อในระยะสั้น

สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก และนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของนายกฯหญิงต่อการเงินญี่ปุ่น

หากสื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย เป็นจริง จะส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น

นอกจากนี้ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับรัฐบาลญี่ปุ่นในการควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

โดยรวมแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดการเงินโลก นักลงทุนและผู้สังเกตการณ์ควรติดตามความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ดังนั้น การขึ้นเป็นนายกฯ หญิงของญี่ปุ่นและการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา – สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

สหรัฐฯ หวังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังได้ผู้นำใหม่

สหรัฐอเมริกาแสดงความคาดหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ทำการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ สหรัฐฯ หวังว่าจะได้สานต่อความร่วมมืออันดีกับญี่ปุ่นต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลญี่ปุ่นได้เลือก ซานาเอะ ทาคาอิจิ ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคคนใหม่

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกับญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ร่วมกันของเราทั้งสองประเทศ” พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า พันธมิตรทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นนั้น “เป็นรากฐานที่สำคัญของสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และทั่วโลก ซึ่งความสัมพันธ์ของเราไม่เคยแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน”

จอร์จ กลาส เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศญี่ปุ่น ได้แสดงความยินดีกับนางทาคาอิจิ ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของพรรคเสรีประชาธิปไตย โดยได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ว่า “ผมตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกับเธออย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างและขยายความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในทุก ๆ ด้าน”

นางทาคาอิจิ วัย 64 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น แทนที่นายชิเครุ อิชิบะ ภายหลังจากการลงคะแนนเสียงในรัฐสภาที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

การได้รับเลือกของนางทาคาอิจิ เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเอเชีย ซึ่งจะเป็นการเดินทางเยือนครั้งแรกของนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคม

สหรัฐหวังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่

การแสดงความหวังของสหรัฐฯ ในการ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่สหรัฐฯ ให้กับพันธมิตรกับญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น

ความสำคัญของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองประเทศและต่อเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ และทั้งสองประเทศมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเมือง การที่สหรัฐฯ ออกมาแสดงความหวังที่จะ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ จึงเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต่อไป

การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ของญี่ปุ่นเป็นโอกาสอันดีที่สหรัฐฯ จะได้สานสัมพันธ์กับผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่น และร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองในอนาคต การที่สหรัฐฯ แสดงความยินดีและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับนางทาคาอิจิ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นต่อไป ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น การขยายอิทธิพลของจีน การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งสองประเทศสามารถทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้และส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

โดยสรุปแล้ว การที่สหรัฐฯ หวังที่จะ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นต่อไป ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างทั้งสองประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ และส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและต่อโลกโดยรวม

ที่มา – สหรัฐหวังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่

จีนจับตา “ทาคาอิชิ” ว่าที่ผู้นำญี่ปุ่นคนใหม่

สื่อของรัฐบาลจีนออกมาแสดงความกังวล หลังจาก ซานาเอะ ทาคาอิชิ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่น โดยระบุถึงท่าทีที่แข็งกร้าวและแนวโน้มชาตินิยมของทาคาอิชิ

แหล่งข่าวรัฐบาลจีนยังเตือน ทาคาอิชิ โดยชี้ถึงการที่เธอได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ของไต้หวันหลายครั้งและการไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิในโตเกียวซึ่งเกี่ยวข้องกับสงครามและเป็นประเด็นถกเถียง โดยสื่อจีนระบุว่า เธอเป็นนักชาตินิยมฝ่ายขวา

จีนได้จัดขบวนพาเหรดทางทหารขนาดใหญ่ในเดือนก.ย. เพื่อรำลึกครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในสงครามกับญี่ปุ่น ขณะที่จีนคาดว่าจะจับตาคำพูดและการกระทำของทาคาอิชิอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นไต้หวันและความมั่นคงในภูมิภาค

ความสนใจทางการทูตกำลังมุ่งไปที่การประชุมสุดยอดที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ แต่ความเป็นไปได้ที่จะจัดการประชุมสุดยอดญี่ปุ่น-จีนในโอกาสเหล่านั้นยังไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่ใจที่ยังคงมีต่อท่าทีของทาคาอิชิในประเด็นที่จีนมองว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทาคาอิชิได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคำกล่าวของเธอเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เตะกวางในสวนสาธารณะนาราซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่น โดยฝ่ายต่อต้านมองว่าคำพูดของทาคาอิชิไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสะท้อนทัศนคติทางลบต่อผู้มาเยือนต่างชาติ

จีนจับตา “ทาคาอิชิ” ว่าที่ผู้นำใหม่ของญี่ปุ่น

การที่จีนจับตาดู “ทาคาอิชิ” ว่าที่ผู้นำใหม่ของญี่ปุ่น อย่างใกล้ชิดนั้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนระหว่างสองประเทศมหาอำนาจในเอเชีย การตัดสินใจและนโยบายของผู้นำญี่ปุ่นคนใหม่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ความกังวลของจีนเกี่ยวกับท่าทีของทาคาอิชิในประเด็นไต้หวันและการเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

อะไรที่ทำให้จีนกังวลเกี่ยวกับ “ทาคาอิชิ”?

ความกังวลหลักของจีนเกี่ยวกับ “ทาคาอิชิ” ว่าที่ผู้นำใหม่ของญี่ปุ่น คือท่าทีที่แข็งกร้าวและแนวโน้มชาตินิยมของเธอ การที่เธอเคยพบปะกับเจ้าหน้าที่ของไต้หวันหลายครั้งและการไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิเป็นสิ่งที่จีนมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายจุดยืนของตนเอง

  • ประเด็นไต้หวัน: จีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และการที่ผู้นำญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับไต้หวันในระดับใดก็ตามถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน
  • ศาลเจ้ายาสุกุนิ: ศาลเจ้ายาสุกุนิเป็นสถานที่สักการะดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตในสงคราม รวมถึงอาชญากรสงครามด้วย การที่นักการเมืองญี่ปุ่นไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิจึงถูกมองว่าเป็นการให้เกียรติผู้ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่ชาวจีนในช่วงสงคราม

นอกจากนี้ คำพูดของทาคาอิชิเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เตะกวางในสวนสาธารณะนาราก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการแสดงออกถึงทัศนคติทางลบต่อชาวต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในสายตาของนานาชาติ

สถานการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด การที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหาจุดร่วมและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในญี่ปุ่นและการตอบสนองของจีนต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด การปรับตัวและความเข้าใจซึ่งกันและกันจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงและสร้างสรรค์ระหว่างทั้งสองประเทศ

ที่มา – จีนจับตา “ทาคาอิชิ” ว่าที่ผู้นำใหม่ของญี่ปุ่น ชูปมไต้หวัน-การเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ

จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในการเลือกตั้ง LDP

จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้

การเมืองญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ! วันนี้ (4 ตุลาคม) พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่น เตรียมเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ และผู้ที่ได้รับเลือกนั้นมีแนวโน้มสูงที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น ทำให้ จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้ เป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง

ในการชิงชัยครั้งนี้ มีผู้สมัครทั้งหมด 5 คน แต่มี 3 คนที่ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง ได้แก่ โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขานุการคณะรัฐมนตรี, ชินจิโร โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตร และ ซานาเอะ ทาคาอิจิ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายใน แต่ละคนต่างมีจุดแข็งและนโยบายที่แตกต่างกัน ทำให้การแข่งขันครั้งนี้เข้มข้นและน่าติดตามอย่างยิ่ง

ตามรายงานจากสำนักข่าวเกียวโด การตัดสินแพ้ชนะอาจไม่ได้ข้อสรุปในรอบแรก เนื่องจากต้องมีการนับคะแนนจากทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ LDP (295 คะแนน) และสมาชิกทั่วไปที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นและจ่ายค่าสมาชิกอย่างถูกต้อง (อีก 295 คะแนน) หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง จะต้องมีการลงคะแนนรอบสองระหว่างผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสองคน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งที่ผ่านมา ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เคยตามหลังทาคาอิจิในรอบแรก แต่กลับมาพลิกสถานการณ์ชนะในรอบสองได้ แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้และผลลัพธ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ใครจะเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไป?

ซานาเอะ ทาคาอิจิ วัย 64 ปี มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น และได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประชาชน ในขณะที่ ชินจิโร โคอิซูมิ วัย 44 ปี ลูกชายของอดีตนายกรัฐมนตรี จูนิชิโร โคอิซูมิ ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ทาคาอิจิเป็นที่รู้จักจากแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่ง ส่วนโคอิซูมิอาจกลายเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่นหลังสงคราม อย่างไรก็ตาม โยชิมาสะ ฮายาชิ วัย 64 ปี ซึ่งมีแนวคิดสายกลางและมีประสบการณ์ในตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง ก็เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองและกำลังไล่ตามอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัครอีก 2 ท่าน ได้แก่ ทาคายูกิ โคบายาชิ อดีตรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ โทชิมิตสึ โมเตกิ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งสองท่านจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียวและได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเช่นเดียวกับฮายาชิ ทำให้การแข่งขันครั้งนี้เต็มไปด้วยบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของญี่ปุ่นในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น การจับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่สนใจในสถานการณ์โลก

การเปลี่ยนแปลงผู้นำครั้งนี้ อาจนำมาซึ่งนโยบายใหม่ๆ และมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราด้วย ดังนั้น เราจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้ อย่างใกล้ชิด เพราะผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลต่ออนาคตของญี่ปุ่นและโลกอย่างแน่นอน!

ที่มา – จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้

ร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี: เหตุผลคือ?

เกิดอะไรขึ้นกับเบียร์อาซาฮีสุดฮิตในญี่ปุ่น? หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ถึงหาร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี Super Dry ซึ่งเป็นที่นิยมกันนัก นั่นก็เป็นเพราะว่าบริษัทอาซาฮี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิต ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้การผลิตและการจัดจำหน่ายหยุดชะงักไปชั่วคราว

เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง 7-Eleven, Lawson และ FamilyMart ที่เริ่มแจ้งลูกค้าว่าอาจเกิดการร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี และสินค้าอื่นๆ ของอาซาฮีได้ โดยบางสาขาของ 7-Eleven ถึงกับขึ้นป้ายประกาศงดส่งเบียร์อาซาฮีเลยทีเดียว

ทางบริษัทอาซาฮีได้ออกแถลงการณ์ว่า ต้องเลื่อนการเปิดตัวสินค้าใหม่ถึง 12 รายการ เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ล่มจากการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือ ransomware ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา และขณะนี้ได้แจ้งความกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบสวนแล้ว

ร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี

การโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าของบริษัทในเครืออาซาฮีในญี่ปุ่น ทำให้ต้องระงับการดำเนินการชั่วคราว เจ้าหน้าที่ของอาซาฮีเองก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะสามารถกู้คืนระบบให้กลับมาเป็นปกติได้เมื่อใด และในบางสาขาต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบ manual แทนระบบอัตโนมัติไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ทางอาซาฮียืนยันว่า ผลกระทบจากการโจมตีจำกัดอยู่เฉพาะการดำเนินงานในญี่ปุ่นเท่านั้น และยังไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลลูกค้ารั่วไหลออกไป

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทญี่ปุ่น รวมถึง supply chain ด้านโลจิสติกส์และดิจิทัลที่ซับซ้อน มีความเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์เพียงครั้งเดียว ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงชั้นวางสินค้าในร้านสะดวกซื้อ

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาในการกู้คืนระบบ ส่งผลให้หุ้นของอาซาฮีร่วงลงถึง 12% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาซาฮีถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ Kirin Holdings และ Suntory Beverage & Food ในตลาดญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันสูง

ผลกระทบต่อร้านอาหารและผู้บริโภคจากร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี

เชนร้านอาหารบางแห่งเปิดเผยว่า อาจต้องเปลี่ยนไปใช้เบียร์ของ Suntory, Kirin หรือแบรนด์อื่นๆ หากสินค้าคงคลังของอาซาฮีหมดลง ซึ่งแน่นอนว่าการร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ชื่นชอบเบียร์อาซาฮีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับใครที่กำลังมองหาเบียร์อาซาฮีในช่วงนี้ อาจจะต้องลองสอบถามกับทางร้านค้าปลีกดูก่อน หรือลองมองหาเบียร์แบรนด์อื่นๆ ที่มีรสชาติใกล้เคียงกันไปพลางๆ ก่อนก็ได้ครับ

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกองค์กรเห็นถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ที่มา – ร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์ หลัง “อาซาฮี” ถูกโจมตีทางไซเบอร์

PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. ยังโตแกร่ง!

ผลสำรวจล่าสุดเผยว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนทางกับภาคการผลิตที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย นี่เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม

PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นจาก S&P Global ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 53.3 ในเดือนกันยายน จาก 53.1 ในเดือนสิงหาคม ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของภาคบริการอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น

การเติบโตของ PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. นี้ ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดคำสั่งซื้อใหม่ภายในประเทศ ในขณะที่ยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศกลับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ภาคบริการยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับปริมาณงานที่มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่มีต่อแนวโน้มในอนาคต

ปัจจัยขับเคลื่อน PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.

ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคบริการของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแผนการขยายธุรกิจและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทต่าง ๆ ยังคงต้องรับมือกับต้นทุนค่าแรง ค่าวัตถุดิบ และค่าเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้จำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคโดยการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ

ถึงแม้ว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. จะแสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับไม่ได้สดใสเท่าที่ควร ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนกันยายน จาก 52.0 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม สาเหตุหลักมาจากการหดตัวอย่างรุนแรงของภาคการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลและต้องได้รับการแก้ไข

นักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า ผลสำรวจนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของอุปสงค์ภายในประเทศในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ ทั้งผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการต่างประสบปัญหาการลดลงของยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการพึ่งพาการส่งออกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น การมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาจเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่าในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวสำหรับประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานและการลดต้นทุนการผลิตก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ภาคการผลิตสามารถกลับมาฟื้นตัวและมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

โดยสรุปแล้ว แม้ว่า PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย. จะบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของภาคบริการ แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การผสมผสานนโยบายที่เน้นการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การสนับสนุนภาคธุรกิจ และการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม

ที่มา – PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.ยังโตแกร่ง สวนทางภาคการผลิตซบเซา

ญี่ปุ่น: อัตราว่างงานพุ่ง 2.6% สูงสุดในรอบ 13 เดือน

สถานการณ์ตลาดแรงงานในญี่ปุ่นกำลังเป็นที่จับตามอง เมื่อกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งไปแตะ 2.6% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือนเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในเดือนกรกฎาคม สาเหตุหลักมาจากการที่พนักงานจำนวนมากมองหางานใหม่ที่ให้ผลตอบแทนและโอกาสที่ดีกว่าเดิม

อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง: เกิดอะไรขึ้น?

นอกจาก อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง แล้ว ทางการญี่ปุ่นยังได้เปิดเผยข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่น่าสนใจอีกด้วย อัตราส่วนตำแหน่งงานต่อผู้สมัครงานในเดือนสิงหาคมลดลง 0.02 จุดจากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.20 จุด ซึ่งหมายความว่า ในปัจจุบัน มีตำแหน่งงานว่าง 120 ตำแหน่งสำหรับผู้สมัครงานทุกๆ 100 คน

ในส่วนของจำนวนผู้ที่มีงานทำนั้น พบว่าลดลง 0.3% สู่ระดับ 68.1 ล้านคน ในขณะที่จำนวนผู้ที่ว่างงานกลับเพิ่มขึ้นถึง 9.1% หรือคิดเป็นจำนวน 1.79 ล้านคน

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของกลุ่มผู้ว่างงาน พบว่ามีจำนวน 770,000 คนที่ลาออกจากงานโดยสมัครใจ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะลาออกเพื่อมองหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 13.2% จากเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ ยังมีจำนวน 430,000 คนที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งเพิ่มขึ้น 19.4%

ทำไมอัตราว่างงานญี่ปุ่นถึงพุ่งสูงขึ้น?

การที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี สะท้อนให้เห็นว่าภาวะตลาดแรงงานของญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอลงเล็กน้อย สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่นักลงทุนในตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้

ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเรื้อรังยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำเนินงานของธุรกิจในญี่ปุ่น ข้อมูลจาก Tokyo Shoko Research ระบุว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ มีบริษัทถึง 237 แห่งที่ต้องยื่นล้มละลายเนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริษัทจำนวนมากระบุว่าไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของผู้สมัครงานที่ต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้นได้

เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว หลายบริษัทในญี่ปุ่นจึงหันไปพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น รายงานระบุว่า ณ เดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานญี่ปุ่นจำนวน 2.3 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์ อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่ง สูงขึ้นนี้ เป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหางานในญี่ปุ่น หรือผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดแรงงานของญี่ปุ่น การติดตามข้อมูลและแนวโน้มต่างๆ อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

การที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน หรือหางานใหม่ที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ และการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้งานที่ใช่และผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ที่มา – อัตราว่างงานญี่ปุ่นพุ่งแตะ 2.6% ในเดือนส.ค. สูงสุดในรอบ 13 เดือน

รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท

โรงพยาบาลรัฐในญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อรายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่าโรงพยาบาลเหล่านี้กำลังแบกภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลถึงเกือบ 9 หมื่นล้านบาท สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ตั้งแต่ต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น ไปจนถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาเจาะลึกถึงสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะ รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท นี้กัน

กระทรวงกิจการภายในของญี่ปุ่นได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า โรงพยาบาลรัฐประมาณ 83.3% ของประเทศกำลังประสบภาวะขาดทุน โดยมียอดขาดทุนรวมสูงถึง 3.95 แสนล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 8.68 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567 ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงสัดส่วนของโรงพยาบาลที่ขาดทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงมูลค่าการขาดทุนที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วย

รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท

สาเหตุหลักที่ทำให้ รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท มาจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนด้านแรงงานที่สูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ราคายาเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อื่น ๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะทางการเงินของโรงพยาบาลทั่วประเทศ

ในช่วงก่อนหน้านี้ โรงพยาบาลรัฐในญี่ปุ่นเคยอยู่ในภาวะเกินดุลถึง 3.25 แสนล้านเยน (ประมาณ 7.15 หมื่นล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2564 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวคือโครงการเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 เมื่อต้นทุนด้านแรงงานและวัสดุต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จนเกินกว่ารายได้ที่ได้รับจากการบริการทางการแพทย์

ปัจจัยที่ทำให้ รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท

  • ต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น: ค่าจ้างและสวัสดิการของบุคลากรทางการแพทย์มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ราคายาและเวชภัณฑ์ที่สูงขึ้น: ราคาสินค้าทางการแพทย์ที่นำเข้าและผลิตในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ
  • รายได้จากการบริการทางการแพทย์ไม่เพียงพอ: อัตราการชดเชยค่าบริการทางการแพทย์จากรัฐบาลอาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง
  • ภาระหนี้สินสะสม: โรงพยาบาลบางแห่งอาจมีภาระหนี้สินเดิมที่สะสมมาเป็นเวลานาน

ผลกระทบจากสถานการณ์ รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงการเงินของโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนอีกด้วย โรงพยาบาลที่ขาดทุนอาจจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เช่น ลดจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ ลดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งลดจำนวนเตียงผู้ป่วย ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ยากลำบากขึ้นสำหรับประชาชน

ภาครัฐของญี่ปุ่นกำลังพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน หนึ่งในมาตรการที่อาจถูกนำมาใช้คือการเพิ่มเงินอุดหนุนให้กับโรงพยาบาลรัฐ การปรับปรุงระบบการชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น หรือการส่งเสริมให้โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการที่คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้สินของโรงพยาบาลรัฐในญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้ระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่นยังคงสามารถให้บริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา – รพ.รัฐญี่ปุ่นแบกหนี้อ่วมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท เหตุต้นทุนพุ่ง-ค่าแรงสูง

ญี่ปุ่นเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่ Q3/68

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่ ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2568 ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณบวกในภาคการผลิตของญี่ปุ่น แม้ว่ายังมีความท้าทายทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง

ญี่ปุ่นเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน Q3/68

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่ (ทังกัน) ในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ระดับ 14 เพิ่มขึ้นจาก 13 ในไตรมาสก่อนหน้า การปรับตัวขึ้นนี้ได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมเซรามิกและการต่อเรือ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น

แม้ว่าดัชนีทังกันจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง แต่ก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย โดยโพลสำรวจของสำนักข่าวเกียวโดคาดการณ์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่ จะอยู่ที่ระดับ 15

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบริษัทนอกภาคการผลิต ซึ่งรวมถึงภาคบริการ อยู่ที่ระดับ 34 ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในภาคบริการของญี่ปุ่น

ดัชนีทังกันนี้คำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่รายงานว่าภาวะทางธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี หักลบด้วยเปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่รายงานว่าภาวะทางธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ย่ำแย่ ตัวเลขนี้จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญเกี่ยวกับความเชื่อมั่นทางธุรกิจในญี่ปุ่น

ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ BOJ คาดการณ์ว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 145.68 เยนต่อดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2568 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน เทียบกับ 145.72 เยนต่อดอลลาร์ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนมิถุนายน การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

การเปลี่ยนแปลงของดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่ในญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่สำคัญของไทย หากความเชื่อมั่นของผู้ผลิตญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนต่อดอลลาร์สหรัฐก็อาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้เช่นกัน ผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

ข้อมูลทังกันล่าสุดนี้มีความสำคัญต่อการพิจารณานโยบายการเงินของ BOJ ในการประชุมครั้งต่อไปในช่วงปลายเดือนตุลาคม นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่า BOJ อาจยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจกลับมารุนแรงขึ้น และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

โดยรวมแล้ว ข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่ล่าสุดนี้เป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย

การที่ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตรายใหญ่ในญี่ปุ่นเริ่มมีความเชื่อมั่นในทิศทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่ตัวเลขยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ บ่งชี้ว่ายังคงต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และภาครัฐควรออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ที่มา – ญี่ปุ่นเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิตรายใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน Q3/68

ญี่ปุ่น: ผลผลิตอุตฯ ส.ค. ลด 1.2%

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือนส.ค.ลดลง 1.2% เป็นข้อมูลที่น่าจับตามองสำหรับผู้ที่ติดตามเศรษฐกิจญี่ปุ่นและเศรษฐกิจโลก โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ได้เปิดเผยรายงานเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นถึงภาวะชะลอตัวของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือนส.ค.ลดลง 1.2%

รายงานระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือนส.ค.ลดลง 1.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมที่ลดลง 1.2% เช่นกัน สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของการผลิตเครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์การสื่อสาร ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าสำคัญในภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น

ดัชนีการผลิตของโรงงานและเหมืองแร่ซึ่งปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว อยู่ที่ 100.9 เมื่อเทียบกับฐานปี 2563 ที่ระดับ 100 ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าการผลิตโดยรวมยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่ก็ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรม

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือนส.ค.ลดลง 1.2% ได้แก่

  • การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลกส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าจากญี่ปุ่น
  • ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน: แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่บ้าง
  • ความผันผวนของราคาพลังงาน: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต
  • การแข็งค่าของเงินเยน: การแข็งค่าของเงินเยนทำให้สินค้าญี่ปุ่นมีราคาสูงขึ้นในตลาดโลก

ในภาพรวม 12 ภาคส่วนอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นมีการปรับตัวลดลงของผลผลิต รวมถึงผลิตภัณฑ์โลหะและเคมีภัณฑ์ทั้งอนินทรีย์และอินทรีย์ ในขณะที่ 3 ภาคส่วน ได้แก่ อุปกรณ์การขนส่ง ยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในประสิทธิภาพของแต่ละภาคส่วน

กระทรวงฯ ยังคงประเมินผลผลิตภาคอุตสาหกรรมพื้นฐานเดือนสิงหาคมในระดับเดียวกับเดือนกรกฎาคม โดยระบุว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีความผันผวนและไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่

อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ คาดการณ์ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนจะขยายตัว 4.1% และขยายตัว 1.2% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นตัวของการผลิตในอนาคต

ถึงแม้ว่าตัวเลข ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือนส.ค.ลดลง 1.2% จะดูน่ากังวล แต่การคาดการณ์การเติบโตในเดือนกันยายนและตุลาคม บ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นยังคงมีความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพื้นฐานทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และความสามารถในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ

สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจในเศรษฐกิจญี่ปุ่น การติดตามข้อมูลและแนวโน้มในภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อทำความเข้าใจถึงโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ที่มา – ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือนส.ค.ลดลง 1.2% หลังการผลิตอุปกรณ์สื่อสารชะลอตัว