ฌาอีร์ โบลโซนารู

อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว กลับไปรับโทษต่อ

อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว หลังรักษามะเร็งผิวหนัง กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ โดยโรงพยาบาลดีเอฟ สตาร์ ในกรุงบราซิเลีย เมืองหลวงของบราซิล ได้ออกแถลงการณ์ว่า ฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล ได้ออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังเข้ารับการวินิจฉัยและการรักษามะเร็งผิวหนังอย่างต่อเนื่อง และจะเดินทางกลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านพักตามเดิมในช่วงเที่ยงวัน

จากแถลงการณ์ของโรงพยาบาล ระบุว่า อาการของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังได้รับการรักษาด้วยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการติดตามผลทางคลินิกอย่างใกล้ชิด และกลับมาเข้ารับการตรวจซ้ำเป็นประจำเพื่อความแน่ใจ นอกจากนี้ ผลการตรวจชิ้นเนื้อจากรอยโรคที่ผิวหนังจำนวน 8 จุด พบว่า 2 จุดนั้นเป็น “มะเร็งเซลล์สความัสที่ยังไม่กระจาย” (squamous cell carcinoma in situ)

สำนักข่าวซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า อดีตประธานาธิบดีรายนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เนื่องจากมีอาการอาเจียน วิงเวียนศีรษะ และความดันโลหิตตก ซึ่งสร้างความกังวลให้กับทีมแพทย์และผู้ใกล้ชิดเป็นอย่างมาก

สำหรับโทษกักบริเวณที่อดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูได้รับนั้น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม หลังจากศาลตัดสินว่าเขาไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดทางกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการสืบสวนในข้อกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในแผนการรัฐประหารเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ศาลฎีกาสหพันธรัฐของบราซิลเพิ่งมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูเป็นเวลา 27 ปี 3 เดือน ในข้อหาพยายามก่อรัฐประหารดังกล่าว ซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรงและสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในบราซิลอย่างมาก

อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว

การที่ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ ได้สร้างความสนใจให้กับสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอย่างมาก หลายคนตั้งคำถามถึงอนาคตทางการเมืองของเขา และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถานการณ์ทางการเมืองในบราซิล

สถานการณ์ของ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว หลังรักษามะเร็งผิวหนัง กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ นับเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่สุขภาพของเขา และในแง่ของผลกระทบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

การที่ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว และกลับไปรับโทษต่อ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง และทิศทางของประเทศบราซิลในอนาคต

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าของอดีตปธน.บราซิล

การที่อดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูต้องเผชิญกับทั้งปัญหาสุขภาพและปัญหาทางกฎหมาย ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา การที่ อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว ไม่ได้หมายความว่าความยากลำบากจะสิ้นสุดลง แต่กลับเป็นการเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง และรักษาชื่อเสียงที่สั่งสมมา

  • การต่อสู้คดีความ: อดีตประธานาธิบดีจะต้องเผชิญหน้ากับการดำเนินคดีในข้อหาต่างๆ ที่ถูกกล่าวหา
  • การรักษาชื่อเสียง: การกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อรัฐประหาร
  • การดูแลสุขภาพ: การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

อนาคตของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เขาจะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่การเดินทางของเขายังอีกยาวไกล ทั้งในแง่ของการรักษาตัว และการต่อสู้ทางกฎหมาย เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเขาจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้อย่างไร และอนาคตทางการเมืองของเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป

ที่มา – อดีตปธน.บราซิลออกจากรพ.แล้ว หลังรักษามะเร็งผิวหนัง กลับไปรับโทษกักบริเวณที่บ้านต่อ

ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร

ศาลสูงสุดบราซิลมีคำพิพากษาเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) ให้จำคุก ฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล เป็นเวลา 27 ปี 3 เดือน หลังคณะตุลาการลงมติว่า เขามีความผิดจริงฐานสมคบคิดก่อการรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2565 นับเป็นคำตัดสินที่สั่นสะเทือนสถานะของผู้นำประชานิยมฝ่ายขวาจัดคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก

คำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลสูงสุด 5 ท่าน ส่งผลให้โบลโซนารูในวัย 70 ปี ได้ถูกจารึกประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีคนแรกของประเทศที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทั้งยังจุดชนวนความขุ่นเคืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

ตุลาการ 4 ใน 5 เสียงลงมติว่า อดีตปธน.โบลโซนารูมีความผิด 5 กระทง ประกอบด้วย การเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรม, การใช้ความรุนแรงเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตย, การจัดตั้งเพื่อก่อการรัฐประหาร, การทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และการทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง

“คดีอาญานี้แทบจะเป็นจุดบรรจบระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของบราซิล” ตุลาการ การ์เมน ลูเซีย กล่าวก่อนลงมติชี้ขาดความผิดของโบลโซนารู โดยอ้างถึงหน้าประวัติศาสตร์ของชาติที่แปดเปื้อนด้วยการรัฐประหารและความพยายามโค่นล้มประชาธิปไตย

ลูเซียกล่าวเสริมว่า พยานหลักฐานมีน้ำหนักอย่างยิ่งว่า โบลโซนารูซึ่งปัจจุบันถูกควบคุมตัวในบ้านพัก ได้ลงมือกระทำการ “โดยมุ่งหวังที่จะกัดเซาะระบอบประชาธิปไตยและสถาบันต่าง ๆ”

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษามิได้เป็นเอกฉันท์ เมื่อตุลาการ ลุยซ์ ฟุกซ์ มีความเห็นแย้งเมื่อวันพุธ (10 ก.ย.) โดยให้ยกฟ้องอดีตปธน.โบลโซนารูทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งตั้งข้อกังขาต่อเขตอำนาจของศาล

ยิ่งไปกว่านั้น คำตัดสินนี้อาจโหมกระพือความกราดเกรี้ยวของพันธมิตรคนสำคัญของโบลโซนารูอย่างปธน.ทรัมป์ ผู้ซึ่งเคยประณามคดีนี้ว่าเป็น “การล่าแม่มด” และได้ดำเนินมาตรการตอบโต้บราซิล ทั้งการขึ้นกำแพงภาษี การคว่ำบาตรตุลาการผู้พิจารณาคดี และการเพิกถอนวีซ่าตุลาการศาลสูงสุดส่วนใหญ่

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงคำตัดสินในวันพฤหัสบดี ปธน.ทรัมป์ยังคงกล่าวยกย่องโบลโซนารู และเรียกคำพิพากษาครั้งนี้ว่าเป็น “เรื่องเลวร้ายอย่างที่สุด”

“ผมว่ามันแย่มาก ๆ ต่อบราซิล” ทรัมป์กล่าว

ขณะเดียวกัน เอดัวร์ดู โบลโซนารู สมาชิกรัฐสภาบราซิลซึ่งติดตามการพิจารณาคดีของบิดาจากสหรัฐฯ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เขาคาดว่า ปธน.ทรัมป์จะพิจารณาใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อบราซิล และคณะตุลาการศาลสูงสุด

ด้านมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ศาล “พิพากษาอย่างอยุติธรรม” และกล่าวเสริมว่า “สหรัฐอเมริกาจะตอบโต้การล่าแม่มดครั้งนี้อย่างสาสม”

“พวกเขาต้องการสกัดผมจากเวทีการเมืองในปีหน้า” โบลโซนารูให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อไม่นานนี้ โดยหมายถึงการเลือกตั้งปี 2569 ที่ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา มีแนวโน้มจะลงชิงตำแหน่งเป็นสมัยที่สี่ “ถ้าไม่มีผมลงแข่ง ลูลาจะเอาชนะใครก็ได้ทั้งนั้น”

ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร

คดี ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร นับว่าเป็นประเด็นร้อนแรงที่สะเทือนวงการการเมืองโลกอย่างมาก การที่อดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงฐานสมคบคิดก่อการรัฐประหารนั้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยในบราซิลและทั่วโลก

ผลกระทบจากคำตัดสิน ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร

การที่ ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร จะนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในบราซิลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พันธมิตรของโบลโซนารูอาจออกมาตอบโต้และสร้างความวุ่นวาย ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอาจใช้โอกาสนี้เสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเอง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างบราซิลและสหรัฐฯ อาจตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงให้การสนับสนุนโบลโซนารูอย่างเหนียวแน่น

อนาคตของบราซิลภายใต้สถานการณ์นี้ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝังรากลึกและการแทรกแซงจากต่างชาติ อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในระยะยาว

โดยรวมแล้ว คดี ศาลบราซิลสั่งจำคุก “โบลโซนารู” 27 ปี ฐานก่อรัฐประหาร เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยและความสำคัญของการรักษาสถาบันทางกฎหมาย ความยุติธรรม และความโปร่งใส หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ สังคมก็อาจตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียเสรีภาพและประชาธิปไตยที่สั่งสมมา

ที่มา – ศาลบราซิลสั่งจำคุกอดีตปธน. “ฌาอีร์ โบลโซนารู” 27 ปี ฐานสมคบคิดก่อรัฐประหาร