ชาร์ลี เคิร์ก

ทรัมป์มอบเหรียญฯ “ชาร์ลี เคิร์ก” ประกาศวันรำลึก

ทรัมป์มอบเหรียญเกียรติยศสูงสุดให้ “ชาร์ลี เคิร์ก” ประกาศ 14 ต.ค.เป็นวันรำลึกแห่งชาติ เรื่องราวการเมืองที่กำลังเป็นที่จับตามอง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จัดพิธีมอบเหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี (Presidential Medal of Freedom) ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์พลเรือนขั้นสูงสุดของสหรัฐฯ ให้แก่ ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยมชื่อดังผู้ล่วงลับ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียดอย่างมาก หลังรัฐบาลทรัมป์ประกาศเดินหน้าใช้มาตรการที่เข้มงวดในการกวาดล้างกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นอย่างเป็นทางการที่สวนกุหลาบในทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยทรัมป์ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่แสดงความยกย่องต่อเคิร์ก ว่า “วันนี้เรามารวมตัวกันเพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงนักรบผู้กล้าหาญที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เขาเป็นผู้นำที่เป็นที่รัก และเป็นคนที่สามารถปลุกพลังคนรุ่นใหม่ได้อย่างที่ผมไม่เคยเห็นใครทำได้มาก่อนเลย”

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยบุคคลสำคัญจากพรรครีพับลิกัน และพันธมิตรที่ใกล้ชิดของทรัมป์ อาทิ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดี, มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ, สว. เท็ด ครูซ, ไมค์ ลี, ริก สก็อตต์ และ ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ชาร์ลี เคิร์ก ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Turning Point USA มีบทบาทสำคัญในการระดมเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ให้แก่ทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2567 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เขาถูกยิงเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าเมื่อวันที่ 10 กันยายน ขณะกำลังกล่าวปราศรัยที่มหาวิทยาลัยยูทาห์แวลลีย์ เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ และจุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงทางการเมือง

ทรัมป์ประกาศวันรำลึกถึง “ชาร์ลี เคิร์ก” เป็นวันสำคัญของชาติ

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้ประโยชน์จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้อย่างเต็มที่ เพื่อกระตุ้นฐานเสียงของตนเอง โดยประกาศว่าจะทำการกวาดล้างสิ่งที่เขาเรียกว่า “พวกซ้ายสุดโต่ง” และกล่าวหาว่าคนเหล่านี้เป็นต้นเหตุของความรุนแรง

รัฐบาลทรัมป์ได้สั่งการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง ซึ่งรวมถึง FBI, กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และกรมสรรพากร (IRS) เปิดฉากปฏิบัติการสืบสวนและขัดขวางการดำเนินงานขององค์กรฝ่ายซ้าย ที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนทางการเงินและเป็นผู้จัดฉากความรุนแรงทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับแสดงท่าทีที่ลดทอนความสำคัญของความรุนแรงที่เกิดจากกลุ่มฝ่ายขวา ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งสองฝ่าย และในอดีต การโจมตีส่วนใหญ่มักมีแรงจูงใจมาจากอุดมการณ์ฝ่ายขวา แต่ถึงกระนั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าผู้ต้องสงสัยในคดียิงเคิร์ก มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มใดเป็นพิเศษ

นับตั้งแต่การเสียชีวิตของเคิร์ก ทรัมป์ได้ยกย่องเขาในฐานะ “ผู้พลีชีพเพื่อเสรีภาพของอเมริกา” และได้ประกาศให้วันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 32 ปีของเคิร์ก เป็น “วันรำลึกถึงชาร์ลี เคิร์ก แห่งชาติ” อย่างเป็นทางการ การตัดสินใจนี้สร้างความฮือฮาในวงกว้าง

สำหรับตัวเคิร์กนั้น เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมาก ซึ่งมีทั้งผู้ที่ชื่นชมและผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ ผู้สนับสนุนมองว่าเขาคือผู้พิทักษ์เสรีภาพในการแสดงออก แต่ฝ่ายวิจารณ์ชี้ว่า เขาเป็นผู้ที่ทำให้แนวคิดสุดโต่งกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม ผ่านการโจมตีสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ และสิทธิพลเมืองอยู่บ่อยครั้ง

ทรัมป์มอบเหรียญเกียรติยศสูงสุดให้ “ชาร์ลี เคิร์ก” ประกาศ 14 ต.ค.เป็นวันรำลึกแห่งชาติ

โดยสรุปแล้ว การตัดสินใจของทรัมป์ในการมอบเหรียญเกียรติยศสูงสุดให้แก่ ชาร์ลี เคิร์ก และประกาศให้วันที่ 14 ตุลาคมเป็นวันรำลึกถึงเคิร์ก ถือเป็นการกระทำที่สะท้อนให้เห็นถึงการแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรงในสังคมอเมริกัน การกระทำดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยม แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มเสรีนิยม ซึ่งมองว่าเป็นการส่งเสริมแนวคิดที่สร้างความแตกแยกในสังคม

ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ ชาร์ลี เคิร์ก และการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ สิ่งสำคัญคือการที่เราทุกคนต้องตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง และการเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

ที่มา – ทรัมป์มอบเหรียญเกียรติยศสูงสุดให้ “ชาร์ลี เคิร์ก” ประกาศ 14 ต.ค.เป็นวันรำลึกแห่งชาติ

สหรัฐฯ ถอนวีซ่า! หลังยินดี “ชาร์ลี เคิร์ก” ถูกลอบสังหาร

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศว่าทำการเพิกถอนวีซ่าของชาวต่างชาติ 6 คน หลังจากที่บุคคลเหล่านี้ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนและยินดีต่อการลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวชื่อดังฝ่ายอนุรักษนิยม เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงและความไม่พอใจให้กับหลายฝ่าย ทำให้เกิดคำถามถึงขอบเขตของการแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียและความรับผิดชอบที่ตามมา

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มอบเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดี (Presidential Medal of Freedom) ให้แก่เคิร์กหลังการเสียชีวิต เพื่อเป็นการยกย่องคุณงามความดีของเขา พิธีดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ระลึกถึงวันเกิดครบรอบ 32 ปีของเคิร์ก ยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสูญเสียและความสำคัญของเคิร์กในวงการการเมืองอเมริกัน

“สหรัฐฯ ไม่มีพันธะที่จะต้องต้อนรับชาวต่างชาติที่ปรารถนาให้ชาวอเมริกันต้องตาย” กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์อย่างชัดเจนผ่านแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อการแสดงความคิดเห็นที่สนับสนุนความรุนแรง

บุคคลที่ถูกเพิกถอนวีซ่าทั้ง 6 คน มาจากหลากหลายประเทศ ได้แก่ แอฟริกาใต้, อาร์เจนตินา, เม็กซิโก, บราซิล, เยอรมนี และปารากวัย การที่ผู้ที่แสดงความเห็นในลักษณะนี้มาจากหลากหลายเชื้อชาติแสดงให้เห็นว่าประเด็นนี้มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้าง

สหรัฐฯ ถอนวีซ่าชาวต่างชาติ 6 คน หลังโพสต์คอมเมนต์ยินดี “ชาร์ลี เคิร์ก” ถูกลอบสังหาร

กระทรวงฯ ได้ยกตัวอย่างความเห็นที่นำไปสู่การเพิกถอนวีซ่า เช่น โพสต์ของชาวอาร์เจนตินาที่กล่าวหาว่าเคิร์กเป็นผู้ “เผยแพร่วาทกรรมเหยียดเชื้อชาติ เกลียดชังชาวต่างชาติ และเกลียดชังผู้หญิง” และอีกรายโพสต์เป็นภาษาเยอรมัน มีใจความว่า “เมื่อพวกฟาสซิสต์ตาย เหล่านักประชาธิปไตยก็ไม่บ่นกันหรอก” ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งทางความคิดและความรุนแรงทางวาจาที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์

การตรวจสอบเพิ่มเติมและมาตรการที่เข้มงวด

กระทรวงฯ ยังระบุอีกว่า กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อระบุตัวตนผู้ถือวีซ่ารายอื่น ๆ ที่แสดงความเห็นในเชิงสะใจต่อเหตุลอบสังหารเคิร์ก ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างร่วมงานกิจกรรมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐยูทาห์เมื่อเดือนที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะจัดการกับผู้ที่แสดงความเห็นสนับสนุนความรุนแรง

ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐฯ เคยประกาศเตือนว่าจะดำเนินการกับชาวต่างชาติที่ “ยกย่อง หาเหตุผลสนับสนุน หรือล้อเลียน” การเสียชีวิตของเคิร์ก เป็นการส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่าการแสดงความเห็นในลักษณะนี้จะไม่ได้รับการยอมรับ

การเพิกถอนวีซ่าครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายปราบปรามการเข้าเมืองอย่างเข้มงวดของรัฐบาลทรัมป์ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนม.ค. ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการตรวจสอบโซเชียลมีเดีย การเพิกถอนวีซ่านักเรียนหลายพันฉบับ และความพยายามที่จะจำกัดระยะเวลาของวีซ่าประเภทอื่นให้รัดกุมขึ้น แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวต่างชาติจำนวนมาก

นโยบายดังกล่าวรวมถึง:

  • การเพิ่มการตรวจสอบโซเชียลมีเดีย
  • การเพิกถอนวีซ่านักเรียนจำนวนมาก
  • ความพยายามจำกัดระยะเวลาวีซ่า

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่สนับสนุนความรุนแรงหรือสร้างความเกลียดชังอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อตนเองและสังคมโดยรวม การที่สหรัฐฯ ดำเนินการอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วโลก

ความเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนของสหรัฐฯ ต่อการแสดงความเห็นที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและศีลธรรมของประเทศ การเพิกถอนวีซ่าของชาวต่างชาติที่แสดงความยินดีต่อการลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก เป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลก ว่าการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และการกระทำใดๆ ที่สนับสนุนความรุนแรง จะต้องได้รับการตอบโต้อย่างเหมาะสม เรื่องราวของ สหรัฐฯ ถอนวีซ่าชาวต่างชาติ 6 คน หลังโพสต์คอมเมนต์ยินดี “ชาร์ลี เคิร์ก” ถูกลอบสังหาร กลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มา – สหรัฐฯ ถอนวีซ่าชาวต่างชาติ 6 คน หลังโพสต์คอมเมนต์ยินดี “ชาร์ลี เคิร์ก” ถูกลอบสังหาร

จิมมี คิมเมล คืนจออังคารนี้ หลังพักงานเซ่นปมการเมือง

ดิสนีย์ให้ “จิมมี คิมเมล” คืนจออังคารนี้ หลังพักงาน 6 วัน เซ่นปมวิจารณ์การเมือง! เกิดอะไรขึ้น? มาอัปเดตเรื่องราวดราม่าล่าสุดของพิธีกรชื่อดังกัน

จิมมี คิมเมล

ดิสนีย์ให้ “จิมมี คิมเมล” คืนจออังคารนี้ หลังพักงาน 6 วัน เซ่นปมวิจารณ์การเมือง

บริษัทดิสนีย์ (Disney) ประกาศว่าจะให้ จิมมี คิมเมล กลับมาจัดรายการทอล์กโชว์ช่วงดึก “Jimmy Kimmel Live” ได้อีกครั้งในวันอังคาร หลังจากสั่งพักงานคิมเมลเป็นเวลา 6 วัน กรณีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลอบสังหาร ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยม การกลับมาของ “จิมมี คิมเมล” คืนจออังคารนี้ หลังพักงาน 6 วัน เซ่นปมวิจารณ์การเมือง ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการบันเทิง

แต่เดิม ดิสนีย์ได้ระงับการผลิตรายการของคิมเมลอย่างไม่มีกำหนด หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับการลอบสังหาร ชาร์ลี เคิร์ก ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ดิสนีย์ได้เปลี่ยนท่าทีและประกาศให้คิมเมลกลับมาทำงาน โดยให้เหตุผลว่าการระงับรายการในตอนแรกนั้น “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วบานปลาย”

ดิสนีย์ยอมรับว่าความเห็นของคิมเมล “ไม่ถูกกาลเทศะและขาดความละเอียดอ่อน” แต่ก็ไม่ได้กล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการ แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า บ็อบ ไอเกอร์ ซีอีโอ และ ดานา วอลเดน ประธานร่วมของดิสนีย์ ได้พูดคุยกับคิมเมลในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะตัดสินใจให้เขากลับมาในวันจันทร์ โดยยืนยันว่าการตัดสินใจนี้คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลัก

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากกลุ่มผู้สนับสนุนคิมเมลที่รณรงค์ให้คนยกเลิกบริการสตรีมมิง Disney+ เพื่อประท้วง ข้อมูลจาก Google Trends ชี้ว่า ยอดการค้นหา “วิธียกเลิก Disney+” พุ่งสูงสุดในรอบ 12 เดือน การตัดสินใจให้ “จิมมี คิมเมล” คืนจออังคารนี้ หลังพักงาน 6 วัน เซ่นปมวิจารณ์การเมือง จึงอาจเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันนี้ด้วย

สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการกลับมาของจิมมี คิมเมล

คาดว่าคิมเมลจะพูดถึงประเด็นร้อนนี้ในรายการวันอังคาร แต่ยังไม่มีข้อมูลว่า เขาจะกล่าวขอโทษ หรือถูกจำกัดเนื้อหาในการแสดงความคิดเห็นหรือไม่ สถานีโทรทัศน์ในเครือรายใหญ่อย่างเน็กซ์สตาร์ มีเดีย กรุ๊ป (NextStar Media Group) และซินแคลร์ (Sinclair) ยังคงมีท่าทีไม่แน่นอน โดยซินแคลร์ประกาศว่าจะยังคงนำรายการข่าวมาออกอากาศแทนช่วงเวลาของคิมเมลต่อไปก่อน เพื่อประเมินสถานการณ์

ซูซาน แคมป์เบลล์ ศาสตราจารย์ด้านสื่อสารมวลชนศึกษา มหาวิทยาลัยนิวเฮเวน ให้ความเห็นว่า ดิสนีย์น่าจะตัดสินใจจากเหตุผลทางธุรกิจมากกว่าการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก “เมื่อผู้บริโภคใช้สิทธิ์ของตนเองด้วยการยกเลิกบริการสตรีมมิง บริษัทก็ต้องรับฟัง” เธอกล่าว

ขณะที่ แอนดรูว์ โคลเวต โฆษกของ Turning Point USA ซึ่งเป็นองค์กรเยาวชนฝ่ายอนุรักษนิยมของเคิร์ก โพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ กล่าวหาดิสนีย์และ ABC ว่า “ยอมจำนนต่อกระแสสังคม” ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาแสดงความยินดีกับการพักงานของคิมเมล และเข้าใจผิดว่าเป็นการยุติรายการถาวร ส่วนมือปืนผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นนักศึกษาวัย 22 ปี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมแล้ว แต่ยังไม่ทราบแรงจูงใจที่แน่ชัด

การกลับมาของจิมมี คิมเมลครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อเรตติ้งและความนิยมของรายการหรือไม่? ต้องติดตามดูกันต่อไป!

ที่มา – ดิสนีย์ให้ “จิมมี คิมเมล” คืนจออังคารนี้ หลังพักงาน 6 วัน เซ่นปมวิจารณ์การเมือง

ทรัมป์ปลุกมวลชนต้านซ้ายในงานรำลึก “ชาร์ลี เคิร์ก”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ใช้เวทีรำลึก ชาร์ลี เคิร์ก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 ก.ย.) ประกาศยกย่องนักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยมผู้ล่วงลับว่าเป็น “ผู้พลีชีพเพื่อเสรีภาพอเมริกัน” พร้อมให้คำมั่นว่าจะสานต่องานของเขาให้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็กล่าวโทษ “กลุ่มซ้ายสุดโต่ง” อย่างเผ็ดร้อนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหาร

“ความรุนแรงส่วนใหญ่มาจากฝ่ายซ้าย” ทรัมป์กล่าวโดยปราศจากหลักฐาน ทั้งนี้ แม้กระทั่งก่อนที่ผู้ต้องสงสัยจะถูกจับกุม ทรัมป์ก็ได้กล่าวโทษฝ่ายซ้ายว่าเป็นต้นเหตุมาโดยตลอด

พิธีรำลึกครั้งนี้จัดโดย Turning Point USA องค์กรเคลื่อนไหวเยาวชนที่เคิร์กก่อตั้งขึ้น มีผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง ขาว และน้ำเงิน หลั่งไหลมาร่วมงานจนเต็มความจุของสเตทฟาร์มสเตเดียมในเมืองเกลนเดล รัฐแอริโซนา บรรยากาศภายในงานจึงมีลักษณะผสมผสานระหว่างการฟื้นฟูความเชื่อทางศาสนา และการเป็นเวทีปราศรัย “Make America Great Again” ไปในเวลาเดียวกัน

มีช่วงหนึ่งที่ทรัมป์เปรียบเทียบแนวทางของเคิร์กที่ชอบเปิดเวทีให้ถกเถียง กับแนวทางการเมืองแบบล้างผลาญของทรัมป์เอง โดยกล่าวว่า เคิร์ก “ไม่ได้เกลียดฝ่ายตรงข้ามของเขา… นี่คือจุดที่ผมไม่เห็นด้วยกับชาร์ลี เพราะผมเกลียดฝ่ายตรงข้ามของผม”

หลังจากทรัมป์กล่าวจบ เอริกา เคิร์ก ภรรยาผู้เข้ารับตำแหน่งผู้นำ Turning Point USA ต่อจากสามี ได้ขึ้นกล่าวสดุดีว่า ชาร์ลี เคิร์ก “จากโลกนี้ไปโดยไม่มีอะไรค้างคาใจ” นอกจากนี้ เธอยังกล่าวให้อภัยชายวัย 22 ปีที่ถูกตั้งข้อหาในคดีฆาตกรรมเคิร์ก โดยอ้างอิงคำสอนในพระคัมภีร์ที่พระเยซูทรงให้อภัยผู้ที่ทรมานพระองค์บนไม้กางเขน

ขณะเดียวกัน งานนี้ยังมีบุคคลสำคัญในรัฐบาลเข้าร่วมคับคั่ง อาทิ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดี, มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม รวมไปถึง สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาทำเนียบขาว ซึ่งได้กล่าวปราศรัยอย่างดุดันว่า “พวกคุณไม่รู้หรอกว่าได้ปลุกมังกรตัวไหนให้ตื่นขึ้น พวกคุณไม่มีทางรู้ว่าเราจะมุ่งมั่นแค่ไหนที่จะปกป้องอารยธรรมนี้ ปกป้องโลกตะวันตก และปกป้องสาธารณรัฐแห่งนี้”

ทั้งนี้ ชาร์ลี เคิร์ก วัย 31 ปี ถูกยิงเสียชีวิตด้วยกระสุนนัดเดียวขณะตอบคำถามในงานกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐยูทาห์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาฆาตกรรมนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควัย 22 ปี แต่ยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวนหาแรงจูงใจที่แน่ชัด โดยกำลังตรวจสอบข้อความในโทรศัพท์และข้อความที่สลักบนปลอกกระสุน 4 ปลอก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา

ที่ผ่านมา กลุ่มสิทธิพลเมืองเคยวิพากษ์วิจารณ์วาทกรรมของเคิร์กว่ามีเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติ ต่อต้านผู้อพยพ เกลียดคนข้ามเพศ และดูถูกผู้หญิง ขณะที่ผู้สนับสนุนมองว่าเขาคือผู้ปกป้องค่านิยมของฝ่ายอนุรักษนิยมและเป็นนักสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออก

การเสียชีวิตของเคิร์กทำให้เกิดความกังวลว่าความรุนแรงทางการเมืองในสหรัฐฯ กำลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในทุกขั้วอุดมการณ์ และยิ่งทำให้ความแตกแยกทางการเมืองร้าวลึกลงไปอีก

ทรัมป์ใช้เวทีรำลึก “ชาร์ลี เคิร์ก” ปลุกมวลชนต่อต้านฝ่ายซ้าย

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการต่อต้านกลุ่มฝ่ายซ้ายในการปราศรัยล่าสุดของเขา การปรากฏตัวของเขาในงานรำลึกถึง ชาร์ลี เคิร์ก กลายเป็นเวทีสำหรับการปลุกระดมมวลชนและการกล่าวหาที่รุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ท่าทีของทรัมป์ในการใช้เหตุการณ์ที่น่าเศร้าเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความสามัคคีในชาติ

ทำไมทรัมป์ถึงเลือกเวทีรำลึก “ชาร์ลี เคิร์ก”

การที่ทรัมป์เลือกใช้เวทีรำลึกถึง “ชาร์ลี เคิร์ก” เพื่อปลุกมวลชนต่อต้านฝ่ายซ้ายนั้น แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการดึงดูดฐานเสียงของตนเองและสร้างความชอบธรรมให้กับการต่อต้านทางการเมือง การเน้นย้ำถึงประเด็นความขัดแย้งและการสร้างภาพลักษณ์ของศัตรูทางการเมืองอาจเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งหวังผลทางการเมืองในระยะสั้น แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อบรรยากาศทางการเมืองในระยะยาว

การกล่าวโทษฝ่ายซ้ายโดยไม่มีหลักฐานของทรัมป์สร้างความแตกแยกและกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชัง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งในสังคมที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองและความขัดแย้งทางอุดมการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น การส่งเสริมความเข้าใจและการเจรจาอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างสังคมที่เปิดกว้างและครอบคลุมสำหรับทุกคน

การรำลึกถึง “ชาร์ลี เคิร์ก” ควรเป็นโอกาสในการยกย่องคุณงามความดีและการอุทิศตนเพื่อสังคม แต่การที่ทรัมป์ใช้เวทีนี้เพื่อปลุกมวลชนต่อต้านฝ่ายซ้ายเป็นการลดทอนความสำคัญของเหตุการณ์และความทรงจำของเคิร์ก การสร้างความสามัคคีและความเข้าใจควรเป็นเป้าหมายหลักในการรำลึกถึงบุคคลสำคัญและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์

การปราศรัยของทรัมป์ในงานรำลึกถึง “ชาร์ลี เคิร์ก” เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการใช้คำพูดด้วยความรับผิดชอบและการหลีกเลี่ยงการสร้างความแตกแยกทางสังคม การส่งเสริมความเข้าใจและการเจรจาเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

ที่มา – ทรัมป์ใช้เวทีรำลึก “ชาร์ลี เคิร์ก” ปลุกมวลชนต่อต้านฝ่ายซ้าย

ทรัมป์จ่อขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเตรียมใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย หลังเกิดเหตุลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายขวา โดยพุ่งเป้าขึ้นบัญชีดำขบวนการแอนติฟา (antifa) ให้เป็น “องค์กรก่อการร้าย”

ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านทรูธโซเชียล (Truth Social) เมื่อวันพุธ (17 ก.ย.) ว่า ตนกำลังขึ้นบัญชีแอนติฟาเป็นองค์กรก่อการร้าย “และผมจะขอแนะนำอย่างยิ่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ให้เงินทุนสนับสนุนแอนติฟาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติทางกฎหมายสูงสุด”

ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ทรัมป์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้กล่าวโทษกลุ่มฝ่ายซ้ายหลายครั้งว่าเป็นผู้สร้างบรรยากาศของความเป็นปรปักษ์ต่อกลุ่มอนุรักษนิยมก่อนเกิดเหตุลอบสังหารเคิร์ก

ด้านเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ โดยกล่าวโทษว่า เหตุลอบสังหารมีต้นตอจากแนวคิดสุดโต่งทางการเมืองของฝ่ายซ้าย พร้อมระบุว่าทำเนียบขาวกำลังผลักดันให้ “เครือข่ายเงินทุนสำหรับความรุนแรงของฝ่ายซ้าย” ถูกจัดการในระดับเดียวกับองค์กรก่อการร้าย

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า รัฐบาลทรัมป์เตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อควบคุมความรุนแรงทางการเมืองและวาทะสร้างความเกลียดชัง

อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการประกาศของทรัมป์จะมีผลทางกฎหมายเพียงใด เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แอนติฟาเป็นเพียงขบวนการทางอุดมการณ์ที่ไม่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ไม่มีผู้นำหรือโครงสร้างที่ชัดเจน ท่าทีดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทรัมป์กำลังใช้โศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

สำหรับคดีลอบสังหารเคิร์ก อัยการรัฐยูทาห์ได้ตั้งข้อหาต่อไทเลอร์ โรบินสัน วัย 22 ปี แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าเขามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มแอนติฟาหรือกลุ่มภายนอกอื่น ๆ และยังไม่ทราบแรงจูงใจที่แน่ชัด

ทั้งนี้ ทรัมป์เคยเสนอแนวคิดที่จะขึ้นบัญชีดำแอนติฟามาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2563 ในช่วงที่เกิดการประท้วงรุนแรงทั่วประเทศหลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ซึ่งในครั้งนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมองว่าเป็นการกระทำที่ขาดพื้นฐานทางกฎหมายและอาจขัดต่อหลักเสรีภาพในการแสดงออก

สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา และความพยายามของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในการจัดการกับกลุ่มเคลื่อนไหวที่เขาเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ การที่ทรัมป์จ่อขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้ายนั้น จุดประกายการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของรัฐบาลในการกำหนดลักษณะขององค์กรทางการเมือง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเสรีภาพในการแสดงออกและการประท้วง

ทรัมป์จ่อขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย

การตัดสินใจที่อาจเกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของความแตกแยกทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น และคำถามที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับบทบาทของความรุนแรงทางการเมืองในการสร้างแบบอย่างสำหรับการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นที่ว่าแอนติฟาถือเป็นองค์กรที่กำหนดไว้อย่างดีหรือไม่นั้น ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการโต้แย้ง โดยนักวิจารณ์แย้งว่าการขาดโครงสร้างที่ชัดเจนทำให้ยากต่อการกำหนดเป้าหมายทั้งกลุ่มได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย

หากมีการดำเนินการ การขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย อาจมีผลกระทบอย่างมาก ตัวอย่างเช่น อาจปูทางไปสู่การสอบสวนและการดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางแพ่งและสิทธิในการประท้วง นอกจากนี้ ยังอาจนำไปสู่การตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นขององค์กรและบุคคลที่สนับสนุนกิจกรรมต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและการต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนไหวเหล่านี้เย็นชาลง

นอกจากนี้ การตัดสินใจของทรัมป์ที่จะขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย ยังก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญของการเคลื่อนไหวดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหลายคนได้แสดงความสงสัยว่าการกำหนดกลุ่มที่ไม่มีโครงสร้างลำดับชั้นที่ชัดเจนเป็นองค์กรก่อการร้ายจะสามารถยืนหยัดต่อการตรวจสอบทางกฎหมายได้อย่างไร เนื่องจากอาจละเมิดการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งแรกที่รับประกันเสรีภาพในการแสดงออกและการสมาคม

ในขณะที่ผลที่ตามมาของการทำเครื่องหมายแอนติฟาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายยังคงไม่แน่นอน การพัฒนาครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อโต้แย้งอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการก่อการร้าย ความสุดโต่งทางการเมือง และความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างความมั่นคงของชาติและเสรีภาพทางแพ่ง ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางการเมืองที่มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น การตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับกลุ่มและการเคลื่อนไหวที่ถกเถียงกันมากเช่นนี้ จะต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างรอบคอบและการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าเสรีภาพและสิทธิของพลเมืองทุกคนได้รับการคุ้มครอง

สุดท้ายแล้ว การพิจารณาว่าการที่ทรัมป์จ่อขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองในสหรัฐฯ อย่างไรนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ที่มา – ทรัมป์จ่อขึ้นบัญชีดำ “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย

ABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” เซ่นปมวิจารณ์

เอบีซี (ABC) ในเครือวอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney) ประกาศถอดรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง “Jimmy Kimmel Live” ออกจากผังอย่างไม่มีกำหนด โดยมีผลทันทีเมื่อวันพุธ (17 ก.ย.) ซึ่งชนวนเหตุมาจากคำวิจารณ์ของจิมมี คิมเมล พิธีกรรายการ เกี่ยวกับการลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยมคนดัง การตัดสินใจของ ABC ในครั้งนี้ส่งผลสะเทือนต่อวงการสื่อเป็นอย่างมาก

ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งพยายามกดดันสื่อให้แบนเนื้อหาที่เขาไม่พอใจมาโดยตลอด ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความยินดีในทันที ขณะที่สส. พรรคเดโมแครตหลายคนออกมาประณามการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออก

เหตุการณ์นี้มีต้นตอจากรายการเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ก.ย.) ซึ่งคิมเมลได้กล่าวถึงกรณีการลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก เมื่อวันที่ 10 ก.ย.

“สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นความตกต่ำครั้งใหม่ เมื่อแก๊ง MAGA พยายามอย่างยิ่งที่จะตีความว่า เด็กที่สังหารชาร์ลี เคิร์ก ไม่ใช่พวกเดียวกับตน และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองจากเรื่องนี้” คิมเมลกล่าว

นอกจากนี้ คิมเมลยังได้วิจารณ์ท่าทีของทรัมป์ที่ออกมาไว้อาลัยต่อเคิร์ก โดยเปรียบเทียบว่า “นี่คือท่าทีของเด็ก 4 ขวบที่กำลังไว้อาลัยให้ปลาทอง”

ทั้งนี้ เคิร์กเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Turning Point USA เมื่ออายุ 18 ปี ซึ่งเป็นองค์กรเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษนิยมในหมู่วัยรุ่นและนักศึกษา และทรัมป์มักให้เครดิตเคิร์กเสมอว่าเป็นผู้ที่ช่วยให้เขาชนะใจโหวตเตอร์รุ่นใหม่และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ไม่ใช่คนผิวขาวในการเลือกตั้งปี 2567 ที่เขาได้รับชัยชนะ

หลังจากมีข่าวการABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” พ้นจอ เซ่นปมวิจารณ์ ปธน.ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนทรูธโซเชียล (Truth Social) ว่า “ขอแสดงความยินดีกับ ABC ซึ่งในที่สุดก็มีความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ต้องทำ”

ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้เอ็นบีซี (NBC) ซึ่งเป็นของคอมคาสต์ (Comcast) ไล่ จิมมี แฟลลอน และเซท เมเยอร์ส สองพิธีกรรายการตลกช่วงดึกที่มักจะวิจารณ์เขาเป็นประจำออกจากตำแหน่งด้วย

ทั้งนี้ การตัดสินใจของ ABC เกิดขึ้น หลังจากที่ เบรนแดน คาร์ ประธานคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (FCC) ของสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นหยุดออกอากาศรายการ “Jimmy Kimmel Live” ของคิมเมล พร้อมส่งสัญญาณว่า FCC อาจเปิดการสอบสวน และสถานีต่าง ๆ อาจถูกปรับหรือถึงขั้นถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากยังคงปล่อยให้มีการแสดงความเห็นที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง

แรงกดดันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ เน็กซ์สตาร์ มีเดีย กรุ๊ป (Nexstar Media Group) ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีเครือข่าย ABC ถึง 32 แห่ง ประกาศว่า จะระงับการออกอากาศรายการดังกล่าว โดยแอนดรูว์ อัลฟอร์ด ประธานฝ่ายแพร่ภาพและกระจายเสียงของเน็กซ์สตาร์ ให้เหตุผลว่า “ความเห็นของคุณคิมเมลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคุณเคิร์กนั้นไม่เหมาะสมและขาดความเห็นอกเห็นใจ ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของวาทกรรมทางการเมืองของประเทศ”

ในการให้สัมภาษณ์พอดแคสต์กับ เบนนี จอห์นสัน นักจัดรายการฝ่ายอนุรักษนิยมซึ่งออกอากาศเมื่อวันพุธนั้น คาร์ได้กล่าวอย่างดุดันว่า “นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับดิสนีย์ในตอนนี้ เราจะเล่นไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ได้”

“ดิสนีย์ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ที่สำคัญกว่าคือบรรดาสถานีท้องถิ่นที่รับเนื้อหาไปออกอากาศ ถึงเวลาแล้วที่ต้องลุกขึ้นมาปฏิเสธคอนเทนต์ขยะแบบนี้ในอนาคต โดยบอกว่ามันไม่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนของเรา”

คาร์ยังได้กล่าวชื่นชมเน็กซ์สตาร์ว่า “แม้ว่านี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เป็นเรื่องสำคัญที่สถานีต่าง ๆ จะต้องต่อต้านรายการของดิสนีย์ที่พวกเขาพิจารณาแล้วว่าไม่สอดคล้องกับค่านิยมของชุมชน”

ปัจจุบัน ยอดผู้ชมรายการช่วงดึกกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับรายการโทรทัศน์แบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ เนื่องจากผู้ชมหันไปใช้บริการสตรีมมิงและโซเชียลมีเดียมากขึ้น ข้อมูลจากนีลเส็น (Nielsen) ระบุว่า “Jimmy Kimmel Live” มีผู้ชมเฉลี่ย 1.57 ล้านคนต่อตอนในฤดูกาลออกอากาศที่สิ้นสุดในเดือนพ.ค.

ABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” พ้นจอ เซ่นปมวิจารณ์

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างวงการบันเทิง การเมือง และสิทธิในการแสดงออก การที่ ABC ตัดสินใจABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” พ้นจอ เซ่นปมวิจารณ์ สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก และเป็นที่จับตามองว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อวงการสื่ออย่างไรต่อไป

ผลกระทบต่อวงการสื่อจากการ ABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” พ้นจอ เซ่นปมวิจารณ์

เหตุการณ์นี้อาจนำไปสู่การตรวจสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ออกอากาศ และอาจส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกของพิธีกรและนักแสดงตลก นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่สถานีโทรทัศน์จัดการกับเนื้อหาที่เป็นที่ถกเถียง

การ ABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” พ้นจอ เซ่นปมวิจารณ์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนให้เห็นถึงภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปและความท้าทายที่องค์กรสื่อต้องเผชิญในการรักษาความสมดุลระหว่างเสรีภาพในการแสดงออกและความรับผิดชอบต่อสังคม

ที่มา – ABC สั่งถอด “Jimmy Kimmel Live” พ้นจอ เซ่นปมวิจารณ์คดี “ชาร์ลี เคิร์ก”

ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบ

ความคืบหน้าคดีสะเทือนขวัญ ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบ โดย สเปนเซอร์ ค็อกซ์ ผู้ว่าการรัฐยูทาห์ เปิดเผยว่า ไทเลอร์ โรบินสัน ผู้ต้องหาในคดีลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายขวา ยังคงไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ทำให้การสืบสวนหาแรงจูงใจเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ทีมสืบสวนกำลังเร่งสอบปากคำบรรดาเพื่อนและคนในครอบครัวของผู้ต้องหาอย่างเข้มข้น โรบินสันจะถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการในวันอังคารนี้ และยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในรัฐยูทาห์

เจ้าหน้าที่ยังคงพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้โรบินสันตัดสินใจปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารของมหาวิทยาลัยยูทาห์ แวลลีย์ และใช้ปืนไรเฟิลยิงเคิร์กเข้าที่ลำคอจากระยะไกล ระหว่างการจัดกิจกรรมกลางแจ้งเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา

เคิร์กเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มนักศึกษาแนวอนุรักษนิยม “Turning Point USA” การเสียชีวิตของเขาด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว ท่ามกลางผู้เข้าร่วมกิจกรรมในเมืองโอเรมราว 3,000 คน สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนจำนวนมาก เมืองโอเรมอยู่ห่างจากซอลต์เลกซิตีไปทางใต้ประมาณ 65 กิโลเมตร

ผู้ว่าฯ ค็อกซ์ให้สัมภาษณ์ว่า โรบินสันยังไม่ยอมรับสารภาพใดๆ

ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบสนิท แต่คนรอบข้างเขาทุกคนให้ความร่วมมือดีมาก ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง” ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกันกล่าว

หนึ่งในผู้ที่ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่คือ รูมเมทซึ่งเป็นคนรักของโรบินสันด้วย ค็อกซ์อ้างข้อมูลจากเอฟบีไอว่า เพื่อนร่วมห้องคนดังกล่าวเป็น “ชายที่กำลังอยู่ในช่วงข้ามเพศไปเป็นหญิง” และ “ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี” ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าอัตลักษณ์ทางเพศของคู่รักมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้หรือไม่

เมื่อถูกถามว่า อัตลักษณ์ทางเพศของรูมเมทเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ ผู้ว่าฯ ค็อกซ์ตอบว่า “นั่นคือสิ่งที่เรากำลังพยายามหาคำตอบอยู่… ประเด็นนี้อาจทำให้คนด่วนสรุปได้ง่าย เราจึงต้องรอผลตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่กำลังทยอยเข้ามา เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบกันให้เป็นภาพที่สมบูรณ์”

ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบ

เป็นที่ทราบกันดีว่า เคิร์กมักใช้โวหารที่เผ็ดร้อน มีเนื้อหาที่ต่อต้านกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศและผู้อพยพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายเสรีนิยมและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างฐานผู้สนับสนุนในกลุ่มอนุรักษนิยมอย่างเหนียวแน่น

จากการตรวจสอบพยานวัตถุ เจ้าหน้าที่สืบสวนได้พบข้อความสลักไว้บนปลอกกระสุนสี่ปลอก มีเนื้อหาพาดพิงถึงข้อความล้อเลียนและมีมที่รู้กันในหมู่นักเล่นวิดีโอเกม คำให้การในสำนวนคดีระบุว่า ปลอกหนึ่งมีข้อความว่า “ใครอ่านเป็นเกย์ 555” ส่วนอีกปลอกหนึ่งสลักข้อความว่า “ถึงเจ้าฟาสซิสต์! รับไป!” ตามด้วยสัญลักษณ์ลูกศรชี้ทิศทาง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการอ้างถึงลำดับการกดปุ่มเพื่อทิ้งระเบิดในเกมคอมพิวเตอร์ยอดนิยมเกมหนึ่ง

โรบินสันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ในหลักสูตรฝึกหัดวิชาช่างไฟฟ้าของวิทยาลัยเทคนิคดิกซี เขาถูกควบคุมตัว ณ บ้านพักของพ่อแม่ ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 420 กิโลเมตร

ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าฯ ค็อกซ์เคยเปิดเผยว่า ญาติและเพื่อนสนิทของครอบครัวเป็นผู้แจ้งเบาะแสให้ทางการ หลังจากโรบินสันพูดเป็นนัยว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

แม้ว่าโรบินสันจะเติบโตมาในครอบครัวเคร่งศาสนาและอยู่ในภูมิภาคที่มีความอนุรักษนิยมสูงของรัฐ แต่ผู้ว่าฯ ค็อกซ์กล่าวว่า “แนวคิดของเขาแตกต่างจากครอบครัวอย่างสิ้นเชิง” แต่ไม่ได้ขยายความเพิ่มเติม

ข้อมูลทะเบียนราษฎรชี้ว่า โรบินสันมีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด ญาติคนหนึ่งให้การว่า ในช่วงหลายปีมานี้ โรบินสันหมกมุ่นกับเรื่องการเมืองมากขึ้น และเคยปรารภกับคนในครอบครัวถึงความไม่พอใจต่อเคิร์กและทัศนะทางการเมืองของเขา

ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบ แต่ญาติให้ข้อมูลว่า โรบินสัน “ไม่ชอบหน้า” เคิร์ก

คดีนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการสืบสวน และเจ้าหน้าที่กำลังเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายปมแรงจูงใจที่แท้จริงเบื้องหลังการก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ การที่ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบ ทำให้การสืบสวนต้องอาศัยพยานหลักฐานแวดล้อมและคำให้การจากบุคคลใกล้ชิดเป็นหลัก

ที่มา – ผู้ว่าฯยูทาห์เผย มือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ปิดปากเงียบ จนท.มุ่งสอบคนใกล้ชิดหาแรงจูงใจ

ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง ป้องการปะทะผู้ประท้วง

สถานการณ์ตึงเครียดในลอนดอนเมื่อตำรวจลอนดอนส่งกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 1,600 นายในวันนี้ (13 ก.ย.) เพื่อควบคุมความปลอดภัยในการชุมนุมของสองกลุ่มผู้ประท้วงที่มีความเห็นต่างกันอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ประท้วงฝ่ายขวาและต่อต้านผู้อพยพ ในขณะที่อีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ การเผชิญหน้ากันของทั้งสองกลุ่มนี้สร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ขบวนประท้วง “Unite the Kingdom” ซึ่งจัดโดยสตีเฟน แยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมมี่ โรบินสัน มีกำหนดการเริ่มต้นจากสะพานวอเตอร์ลู และจะเคลื่อนขบวนไปยังไวท์ฮอลล์ ในขณะเดียวกัน กลุ่ม “Stand Up To Racism” ซึ่งเป็นการประท้วงตอบโต้ จะรวมตัวกันที่ปลายอีกด้านของไวท์ฮอลล์ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป็นที่คาดการณ์ว่าขบวน Unite the Kingdom จะใช้โอกาสนี้ในการไว้อาลัยให้กับ ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวอเมริกัน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกยิงเมื่อวันพุธ การรวมตัวของผู้สนับสนุนเพื่อไว้อาลัยให้กับเคิร์กอาจดึงดูดผู้คนจำนวนมาก และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรง

เพื่อป้องกันการปะทะกันของทั้งสองกลุ่ม ตำรวจลอนดอนส่งกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมาก พร้อมทั้งวางรั้วเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างผู้ประท้วงทั้งสองฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 นายที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเดินขบวนโดยตรง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ประเด็นเรื่องผู้อพยพได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญในสหราชอาณาจักร เนื่องจากจำนวนผู้ยื่นขอลี้ภัยและผู้อพยพที่เดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษได้สูงเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์นี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลในการหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว

เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสาธารณชน นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ได้แต่งตั้ง ชาบานา มาห์มูด ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ของอังกฤษ โดยมีเป้าหมายหลักในการรับมือกับปัญหาการอพยพที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ตำรวจลอนดอนส่งกำลังรับมือการประท้วง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลอนดอนสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ที่ฝังรากลึกในสังคม การชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าประเด็นเรื่องผู้อพยพและการเหยียดเชื้อชาติยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ในสังคม

ความท้าทายในการควบคุมการประท้วง: ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง

การจัดการกับการชุมนุมประท้วงที่มีความขัดแย้งสูงเช่นนี้เป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากการรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ยังต้องคำนึงถึงสิทธิในการแสดงออกและความคิดเห็นของผู้ประท้วงทุกคน การใช้กำลังจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังและสมเหตุสมผล เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน

  • การวางแผนและการเตรียมพร้อม: เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
  • การสื่อสารและการเจรจา: การสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมากับผู้ประท้วงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง
  • การใช้เทคโนโลยี: การใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิดและระบบวิเคราะห์ข้อมูล สามารถช่วยในการติดตามสถานการณ์และป้องกันเหตุร้าย
  • การทำงานร่วมกับชุมชน: การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับความร่วมมือและข้อมูลที่เป็นประโยชน์

การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง และเคารพซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความขัดแย้งและความรุนแรง

สถานการณ์ที่ลอนดอนเป็นเครื่องเตือนใจว่าความท้าทายในการจัดการความขัดแย้งทางสังคมเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การตำรวจลอนดอนส่งกำลังเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการควบคุมสถานการณ์ แต่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ในระยะยาว

ที่มา – ตำรวจลอนดอนส่งกำลัง 1,600 นาย ป้องกันการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงสองฝ่าย

FBI เผยภาพมือสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ตั้งรางวัลนำจับ

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ตรวจพบปืนไรเฟิลที่คาดว่าจะเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้สังหารชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวทางการเมืองในงานอีเวนต์ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ แวลลีย์ (UVU) พร้อมกับเผยแพร่ภาพถ่ายของผู้ต้องสงสัย โดยขณะนี้ FBI ยังคงเดินหน้าไล่ล่ามือปืนเป็นวันที่สอง และเสนอเงินรางวัลสูงถึง 1 แสนดอลลาร์สำหรับผู้ที่ให้เบาะแสเกี่ยวกับคนร้ายรายนี้

หน่วยงานภาคสนามของ FBI ในเมืองซอลต์เลกซิตีได้โพสต์ข้อความบน X ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) ว่า FBI ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด 2 ภาพ ซึ่งเป็นภาพบุคคลที่สวมแว่นกันแดดและหมวกแก๊ป และขอความช่วยเหลือจากประชาชนในการระบุตัวตนของบุคคลในภาพ

โรเบิร์ต โบห์ลส์ เจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยงานภาคสนามในซอลต์เลกซิตี กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เจ้าหน้าที่พบปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อน (bolt-action rifle) ประสิทธิภาพสูงยี่ห้อ Mauser ที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูในพื้นที่ป่าใกล้กับมหาวิทยาลัย UVU ซึ่งเป็นสถานที่ที่มือปืนใช้ก่อเหตุก่อนหลบหนีไป โดยปืนยังคงมีปลอกกระสุนที่ใช้แล้วจากการยิงเพียงนัดเดียว และกระสุนที่ยังไม่ได้ยิงอีก 3 นัดในแม็กกาซีน ซึ่งปืนกระบอกนี้ได้ถูกส่งไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการของ FBI พร้อมกับหลักฐานอื่น ๆ รวมถึงรอยรองเท้าและรอยฝ่ามือที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุ เพื่อวิเคราะห์ดีเอ็นเอและลายนิ้วมือ

แม้มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า พบข้อความที่สะท้อนถึงอุดมการณ์สลักอยู่บนปลอกกระสุน แต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายยืนยันว่ายังไม่มีการเผยแพร่ภาพใด ๆ ของปืน และไม่สามารถยืนยันข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะได้

เจ้าหน้าที่คาดว่า มือปืนน่าจะเป็นนักศึกษาและสามารถกลมกลืนไปกับบรรยากาศในมหาวิทยาลัยได้ก่อนที่จะปีนขึ้นไปยังจุดยิงบนหลังคา โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนได้แกะรอยความเคลื่อนไหวของเขาผ่านภาพจากกล้องวงจรปิดขณะที่เขาเข้าไปช่องทางบันได ข้ามหลังคา และกระโดดลงจากอาคารเพื่อหลบหนีเข้าไปในย่านใกล้เคียง

เคิร์ก วัย 31 ปี ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Turning Point USA และเป็นพันธมิตรคนสนิทของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกยิงเมื่อเวลาประมาณ 12.20 น. ของวันพุธ (10 ก.ย.) ขณะที่เขากำลังกล่าวแสดงความคิดเห็นในงานอีเวนต์กลางแจ้งที่ชื่อว่า “Prove Me Wrong” ซึ่งรูปแบบของงานคือการเชิญผู้เข้าร่วมงานขึ้นเวทีเพื่อโต้วาทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง โดยในเวลานั้นมีนักศึกษาเข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน

ภาพจากวิดีโอแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลาที่เคิร์กถูกมือปืนปลิดชีพนั้น เขากำลังตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุกราดยิงหมู่ และหลังจากถูกกระสุนเจาะเข้าที่คอ เขาได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ก่อนที่จะมีการประกาศในเวลาต่อมาว่าเขาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

ปธน.ทรัมป์ได้สั่งให้มีการลดธงชาติสหรัฐฯ ทุกผืนทั่วประเทศลงครึ่งเสาจนถึงเย็นวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ย. เวลา 18.00 น. เพื่อเป็นเกียรติแก่เคิร์ก และประกาศว่าจะมอบเหรียญ Presidential Medal of Freedom ให้กับเขา

FBI แพร่ภาพผู้ต้องสงสัยสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” เสนอรางวัลนำจับ 1 แสนดอลลาร์

ความคืบหน้าล่าสุดในคดีFBI แพร่ภาพผู้ต้องสงสัยสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” เสนอรางวัลนำจับ 1 แสนดอลลาร์ สร้างความสนใจให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง การที่ FBI ออกมาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของคดีและการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชน

ทำไม FBI ถึงให้ความสำคัญกับคดี “ชาร์ลี เคิร์ก”

การสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” ไม่ได้เป็นเพียงคดีฆาตกรรมธรรมดา แต่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลทางการเมือง การที่เคิร์กเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Turning Point USA และเป็นพันธมิตรคนสนิทของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้คดีนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การสังหารเกิดขึ้นในงานอีเวนต์ที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของประชาชน

การที่ FBI แพร่ภาพผู้ต้องสงสัยสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” เสนอรางวัลนำจับ 1 แสนดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด

คดีนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการสืบสวน และ FBI กำลังเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อจับกุมผู้ต้องสงสัย หากใครมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดี FBI แพร่ภาพผู้ต้องสงสัยสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” เสนอรางวัลนำจับ 1 แสนดอลลาร์ โปรดติดต่อ FBI ทันที

ที่มา – FBI แพร่ภาพผู้ต้องสงสัยสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” เสนอรางวัลนำจับ 1 แสนดอลลาร์

FBI ล่ามือปืนสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก”

FBI ยังคงเดินหน้าไล่ล่ามือปืนสังหาร ชาร์ลี เคิร์ก พันธมิตรคนสำคัญของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่เขาถูกยิงเสียชีวิตขณะร่วมงานที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ แวลลีย์ (UVU) ในเมืองโอเรม รัฐยูทาห์ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนจำนวนมาก และทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการจัดกิจกรรมทางการเมือง

แคช พาเทล ผู้อำนวยการ FBI กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยคนแรกได้รับการปล่อยตัวหลังจากถูกสอบปากคำ แต่การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น FBI ให้คำมั่นว่าจะเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อความโปร่งใสในการสืบสวนคดี FBI ล่ามือปืนสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” นี้ อย่างไรก็ดี ผู้อำนวยการ FBI ไม่ได้ระบุตัวตนของผู้ต้องสงสัยรายนี้

FBI ล่ามือปืนสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก”

เกิดอะไรขึ้นกับชาร์ลี เคิร์ก?

เหตุการณ์สลดเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันพุธที่ผ่านมา เมื่อเคิร์กเดินทางไปที่มหาวิทยาลัย UVU เพื่อร่วมงาน “Prove Me Wrong” ซึ่งเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเปิดเผย

ทางมหาวิทยาลัย UVU รายงานว่า ขณะที่เคิร์กกำลังพูดคุยกับผู้เข้าร่วมงานบนเวที มือปืนได้ทำการยิงเขาจากอาคารที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 200 หลา กระสุนถูกยิงเข้าที่คอของเขา เคิร์กถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศข่าวร้ายว่าเคิร์กได้เสียชีวิตแล้ว

หลังเกิดเหตุ มหาวิทยาลัย UVU ได้ประกาศยกเลิกชั้นเรียนทั้งหมด และแจ้งให้ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหาที่หลบภัยจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถเคลียร์พื้นที่ได้อย่างปลอดภัย

ภาพวิดีโอจากสถานีโทรทัศน์ KSL TV 5 แสดงให้เห็นช่วงเวลาที่เคิร์กถูกยิงที่คอ ขณะที่เขากำลังกล่าวสุนทรพจน์ ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากที่พากันวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้น

ชาร์ลี เคิร์ก คือใคร?

ชาร์ลี เคิร์ก ในวัย 31 ปี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Turning Point USA ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการสนับสนุนกลุ่มอนุรักษนิยมรุ่นใหม่ องค์กรนี้และองค์กรการเมืองอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถระดมทุนได้จำนวนมหาศาล และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีถึงสองครั้ง

นอกจากนี้ เคิร์กยังมีความสนิทสนมกับสมาชิกในครอบครัวทรัมป์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ในรัฐบาล

เคิร์กแต่งงานกับเอริกา และมีลูกด้วยกัน 2 คน

ทรัมป์สั่งลดธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัย

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศ เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเคิร์ก ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญของเขา ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า “เพื่อเป็นเกียรติแก่ ชาร์ลี เคิร์ก ชาวอเมริกันผู้รักชาติอย่างแท้จริง ผมขอสั่งลดธงชาติสหรัฐฯ ทุกผืนทั่วประเทศลงครึ่งเสาจนถึงเย็นวันอาทิตย์ เวลา 18.00 น.”

“ชาร์ลี เคิร์ก ผู้ยิ่งใหญ่และเป็นตำนาน ได้จากพวกเราไปแล้ว ไม่มีใครเข้าใจหรือเข้าถึงหัวใจของเยาวชนอเมริกันได้ดีไปกว่าชาร์ลี เขาเป็นที่รักและชื่นชมจากทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผมเอง ผมและเมลาเนียขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเอริกา ภรรยาผู้เป็นที่รัก และครอบครัวของเขา … ชาร์ลี พวกเรารักคุณ!”

เอริกา ภรรยาของเคิร์ก ได้โพสต์ข้อความจากพระธรรมสดุดีในคัมภีร์ไบเบิลบทที่ 46 ข้อที่ 1 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเราทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก”

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดเห็นที่รุนแรงในสังคม และความสำคัญของการสร้างความเข้าใจและการเคารพซึ่งกันและกัน แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันก็ตาม การใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก และการแก้ไขปัญหาควรเริ่มต้นจากการพูดคุยและรับฟังอย่างเปิดใจ

ที่มา – FBI เดินหน้าไล่ล่ามือปืนสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” พันธมิตรคนสำคัญของ “ทรัมป์”