ข้อตกลงหยุดยิง

ทรัมป์หนุนหยุดยิงกาซา แต่ไร้เงาอิสราเอล-ฮามาส

ทรัมป์ลงนามเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซา แต่ไร้เงาอิสราเอล-ฮามาสเข้าร่วม

ผู้นำจาก 4 ชาติผู้ไกล่เกลี่ย ได้ร่วมลงนามในเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ที่มีผลบังคับใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีผู้แทนจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเข้าร่วมก็ตาม

เอกสารดังกล่าวมีการลงนามในวันจันทร์ (13 ต.ค.) โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ, อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ประธานาธิบดีอียิปต์, เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี และเชค ตะมีม บิน ฮะมัด อาล ษานี เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ ในการประชุมสุดยอดสันติภาพ ณ เมืองชาร์มเอลชีค ประเทศอียิปต์ ซึ่งมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอียิปต์เป็นประธานร่วม โดยมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศ ตลอดจนตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรระดับภูมิภาคร่วมเป็นสักขีพยาน

ประธานาธิบดีอียิปต์กล่าวว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนข้อตกลงชาร์มเอลชีคเพื่อยุติสงครามในกาซา ซึ่งได้ข้อสรุปไปเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ผ่านการไกล่เกลี่ยโดยอียิปต์ สหรัฐอเมริกา กาตาร์ และตุรกี

“ผมขอต้อนรับทุกท่านสู่การประชุมสุดยอดสันติภาพชาร์มเอลชีค ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งเช่นนี้ ซึ่งเราทุกคนได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการบรรลุข้อตกลงชาร์มเอลชีคเพื่อยุติสงครามในกาซา” ประธานาธิบดีอียิปต์กล่าว

เขากล่าวเสริมว่า ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็น “แสงแห่งความหวัง” ว่าข้อตกลงนี้จะเป็นการปิดฉากหน้าประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดของมนุษยชาติ และเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งสันติภาพและเสถียรภาพในตะวันออกกลาง เพื่อมอบอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ประชาชนในภูมิภาคที่ต่างเหนื่อยล้าจากความขัดแย้งยาวนาน

ผู้นำอียิปต์ได้เน้นย้ำจุดยืนสนับสนุนการดำเนินการตามแผนหยุดยิงในกาซา โดยย้ำว่าข้อตกลงดังกล่าวจะต้องได้รับการเสริมสร้างให้มั่นคง และดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างครบถ้วน เพื่อมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสองรัฐ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังตอกย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดเตรียมปัจจัยและทรัพยากรที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อให้สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้อย่างสมบูรณ์และต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงในกาซาอย่างถาวร การแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษให้เสร็จสิ้น การถอนกองกำลังอิสราเอลออกจากกาซา รวมถึงการลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซา

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แผนการในระยะแรกประกอบด้วยการถอนทหารอิสราเอลออกจากกาซาซิตี ราฟาห์ ข่านยูนิส และพื้นที่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา รวมถึงการแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษ และการเปิดจุดผ่านแดน 5 จุดเพื่อลำเลียงความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา

ทั้งนี้ ในวันจันทร์ ฮามาสได้ส่งมอบตัวประกันที่ยังมีชีวิตอยู่กลุ่มสุดท้ายจำนวน 20 คนกลับคืนสู่อิสราเอลเป็นที่เรียบร้อย ส่วนทางด้านอิสราเอลได้เริ่มปล่อยตัวนักโทษและผู้ถูกควบคุมตัวชาวปาเลสไตน์ราว 2,000 คน

ข้อตกลงหยุดยิงในกาซา: ก้าวสำคัญที่ยังต้องจับตา

ถึงแม้ว่าการลงนามในเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซาโดยผู้นำจากหลายชาติ จะเป็นสัญญาณบวกที่แสดงถึงความพยายามในการยุติความขัดแย้ง แต่การที่อิสราเอลและฮามาสไม่ได้เข้าร่วมลงนามด้วยตนเอง ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีความซับซ้อน การบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง การผลักดันให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันและเจรจาอย่างจริงจัง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในภูมิภาค

ที่มา – ทรัมป์ลงนามเอกสารสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในกาซา แต่ไร้เงาอิสราเอล-ฮามาสเข้าร่วม

ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสมีผลบังคับใช้แล้ว

สถานการณ์ตึงเครียดในฉนวนกาซาเริ่มคลี่คลาย เมื่อข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส เริ่มมีผลบังคับใช้ตามเวลาที่กำหนด สร้างความหวังให้กับประชาชนในพื้นที่และทั่วโลก หลังจากเผชิญกับความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว

แหล่งข่าวรายงานว่า ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส เริ่มมีผลบังคับใช้ในฉนวนกาซา เมื่อเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย บรรยากาศโดยทั่วไปเป็นไปอย่างสงบภายหลังการประกาศหยุดยิง

กองทัพอิสราเอลได้ออกมายืนยันในแถลงการณ์ว่า การหยุดยิงนั้นมีผลบังคับใช้แล้ว สถานการณ์ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของฉนวนกาซาอยู่ในความสงบ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นกระบวนการตามข้อตกลงนี้ ที่เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยมีอียิปต์และชาติอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย

ความหวังและความท้าทายของข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส

การเริ่มต้นของ ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ไม่ได้หมายความว่าปัญหาและความขัดแย้งทั้งหมดจะหายไปในทันที แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดความรุนแรง และเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนกว่าเดิม ความท้าทายที่สำคัญคือการรักษาข้อตกลงนี้ให้คงอยู่ต่อไป และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งสองฝ่ายว่าการเจรจาและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีเป็นทางออกที่ดีที่สุด

หลายฝ่ายแสดงความหวังว่าการหยุดยิงครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซาได้อย่างเต็มที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหาย และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสนับสนุนจากนานาชาติ การสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การเจรจาอย่างต่อเนื่องและการเคารพในข้อตกลงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

การหยุดยิงครั้งนี้เป็นเพียงก้าวแรกบนเส้นทางที่ยาวไกล การสร้างสันติภาพที่แท้จริงต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความอดทน และความเข้าใจจากทุกฝ่าย เราหวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนสู่ฉนวนกาซา และประชาชนในพื้นที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

ที่มา – ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว

UN ช่วยกาซา! ยกระดับหลังหยุดยิง

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ประกาศความพร้อมของ UN ในการยกระดับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวกาซา หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงครั้งล่าสุด สถานการณ์ในกาซายังคงน่ากังวลและ UN เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

UN พร้อมยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

กูเตอร์เรสกล่าวว่า “สหประชาชาติจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เราและองค์กรพันธมิตรพร้อมปฏิบัติการทันที เรามีความพร้อมทั้งด้านความเชี่ยวชาญ เครือข่ายการกระจายความช่วยเหลือ และความสัมพันธ์ในระดับชุมชน” เขายังเน้นย้ำว่าสิ่งของบรรเทาทุกข์ได้รับการจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว และทีมงานของ UN อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมสำหรับการขยายความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำ เวชภัณฑ์ และที่พักพิงได้ในทันที

อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ UN เน้นย้ำว่าการหยุดยิงเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความก้าวหน้าที่แท้จริงได้ “เราต้องการการเข้าถึงอย่างเต็มรูปแบบ ปลอดภัย และต่อเนื่องสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม การขจัดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนและอุปสรรคต่าง ๆ และการบูรณะโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายยับเยินขึ้นมาใหม่” เขากล่าว นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐสมาชิกของ UN สนับสนุนปฏิบัติการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วยเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการอันมหาศาลของประชาชนในกาซา

กูเตอร์เรสชี้ว่า ข้อตกลงหยุดยิงเปรียบเสมือนประกายแสงแห่งความหวังสำหรับทั้งชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ และเขาหวังว่าประกายแสงนี้จะนำไปสู่รุ่งอรุณแห่งสันติภาพและการสิ้นสุดของความขัดแย้งที่ยาวนาน

UN เรียกร้องทุกฝ่ายใช้โอกาสสร้างสันติภาพ

กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้โอกาสนี้ในการสร้างเส้นทางทางการเมืองที่น่าเชื่อถือไปสู่การยุติการยึดครอง การรับรองสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวปาเลสไตน์ และการบรรลุทางออกแบบสองรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพที่ยุติธรรมและยั่งยืนระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ตลอดจนสันติภาพและความมั่นคงในวงกว้างยิ่งขึ้นในตะวันออกกลาง

เขายังแสดงความยินดีกับการประกาศข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาและการปล่อยตัวประกัน พร้อมทั้งชื่นชมความพยายามทางการทูตของสหรัฐฯ กาตาร์ อียิปต์ และตุรกี ในการเป็นตัวกลางในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าครั้งนี้

กูเตอร์เรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และเปิดรับโอกาสต่างๆ ที่มาพร้อมกับข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ UN สามารถยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนในพื้นที่

สถานการณ์ในกาซายังคงเปราะบางและต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากนานาชาติ การที่ UN ยืนยันถึงความพร้อมในการ ยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

ในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงและการสร้างอนาคตที่มั่นคงสำหรับชาวกาซาต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามร่วมกันในระยะยาวจากทุกภาคส่วน

ที่มา – UN ยืนยัน พร้อมยกระดับการช่วยเหลือในกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

ทรัมป์-ปูติน ประชุมสุดยอด ส่อยูเครนสละดินแดน

ทั่วโลกกำลังจับตาความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่อาจนำไปสู่การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีครึ่ง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เตรียมประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ณ เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ หลังจากที่การเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนสามรอบก่อนหน้านี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในการบรรลุสันติภาพ

จับตา “ทรัมป์-ปูติน” ประชุมสุดยอด 15 ส.ค.

อะแลสกามีนัยสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากจักรวรรดิรัสเซียเคยครอบครองอะแลสกามาก่อน จนกระทั่งพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ขายอะแลสกาให้สหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2410 และกลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในปี 2502 โดยนักวิเคราะห์มองว่า การเลือกอะแลสกาเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ราวกับต้องการบอกเป็นนัยว่าดินแดนสามารถซื้อขายได้ และ “พรมแดนของประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงได้”

อย่างไรก็ตาม ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซีย ให้เหตุผลเพียงว่า รัสเซียและสหรัฐฯ เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีเพียงช่องแคบแบริงกั้นกลางระหว่างกันเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่คณะผู้แทนของรัสเซียจะบินข้ามช่องแคบแบริงเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งสำคัญระหว่างผู้นำทั้งสองที่อะแลสกา

การเดินทางไปยังอะแลสกาครั้งนี้จะถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำของรัสเซียเยือนอะแลสกา แม้ว่าจักรวรรดิรัสเซียเคยครอบครองอะแลสกามานานก็ตาม นอกจากนี้ การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ จะถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีสำหรับปูติน โดยครั้งหลังสุดเขาได้เดินทางเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2558 เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นิวยอร์ก

ทรัมป์ยืนยันว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน จะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในวันศุกร์นี้ อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวเปิดเผยในภายหลังว่า ทรัมป์และเซเลนสกีจะประชุมออนไลน์ร่วมกันก่อนในวันพุธนี้ (13 ส.ค.) โดยมีผู้นำยุโรปหลายคนร่วมหารือด้วย ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยืนยันว่าเซเลนสกีจะเป็นคนแรกที่เขาโทรหาหลังเสร็จสิ้นการประชุมกับปูติน

ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวระบุว่าทรัมป์ยินดีจัดการประชุมไตรภาคีระหว่างทรัมป์ ปูติน และเซเลนสกี อย่างไรก็ตาม ทางรัสเซียคัดค้านการพบกันระหว่างปูตินกับเซเลนสกี อย่างน้อยก็จนกว่ารัสเซียและยูเครนจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพและพร้อมที่จะลงนามในข้อตกลงดังกล่าว โดยปูตินกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาไม่ได้ต่อต้านการพบกับเซเลนสกี แต่ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขบางประการก่อน ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน

ส่วนทางด้านเซเลนสกีรีบดักคอก่อนที่ทรัมป์จะพบกับปูติน โดยย้ำว่า “ข้อตกลงใดที่เกิดขึ้นโดยไม่มียูเครน ก็เท่ากับเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อสันติภาพ” และเป็น “ข้อตกลงที่ไม่มีผล”

จับตา “ทรัมป์-ปูติน” ประชุมสุดยอด 15 ส.ค. ส่อบีบยูเครนสละดินแดนแลกหยุดยิง

แม้ว่ารัสเซียและยูเครนต่างแสดงจุดยืนว่าต้องการยุติสงคราม แต่ต่างฝ่ายต่างก็แสดงความต้องการในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่สามารถยอมรับได้ โดยสิ่งที่รัสเซียต้องการคือ ยูเครนต้องสละดินแดนที่รัสเซียเข้ายึดครอง ยูเครนต้องไม่พยายามเข้าร่วมนาโต และยูเครนต้องจำกัดขนาดของกองทัพ เนื่องจากรัสเซียมีความกังวลอย่างมากว่านาโตอาจใช้ยูเครนเป็นฐานเพื่อนำกองกำลังเข้ามาประจำการใกล้ชายแดนรัสเซีย ส่วนทางด้านยูเครนก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่ยอมยกดินแดนใด ๆ ให้รัสเซีย รวมถึงไม่ยอมรับการที่รัสเซียเข้าครอบครองดินแดนไครเมียก่อนหน้านี้ด้วย

สหรัฐฯ ได้เสนอแนวทางแก้ไขความขัดแย้ง โดยทรัมป์กล่าวว่าจะพยายามเจรจากับปูติน เพื่อนำดินแดนที่รัสเซียยึดครองกลับมาคืนให้กับยูเครนบางส่วน แต่ยูเครนอาจต้องยอมสละดินแดนบางส่วนเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยมีรายงานว่า ข้อเสนอระบุว่า รัสเซียจะได้ครอบครองดินแดนไครเมียที่ยึดไปตั้งแต่ปี 2557 พร้อมกับครอบครองภูมิภาคดอนบาส (ประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์) ทางตะวันออกของยูเครน แต่รัสเซียต้องถอนกำลังทหารออกจากแคว้นเคอร์ซอนและซาโปริซเซีย

ยูเครนและชาติพันธมิตรในยุโรปกังวลว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะเปิดทางให้รัสเซียสามารถใช้กำลังทางทหารเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนของยูเครนใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น การประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่มียูเครนเข้าร่วม อาจทำให้ปูตินสามารถโน้มน้าวทรัมป์และบีบให้ยูเครนต้องยอมจำนนในที่สุด ขณะที่คายา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายการต่างประเทศของสหภาพยุโรป (EU) เตือนว่า “การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนต้องไม่ให้รางวัลแก่ผู้รุกราน”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) ต่อประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของรัสเซีย โดยมาตรการภาษีดังกล่าวจะทำให้ผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสูงถึง 100% เมื่อส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นแรงกดดันทางเศรษฐกิจขั้นรุนแรงเพื่อบีบให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน ตลาดพลังงานจึงจับตาการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินในวันศุกร์นี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากการประชุมนำไปสู่การหยุดยิง หรือทำให้ข้อตกลงสันติภาพเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ทรัมป์ก็อาจระงับมาตรการภาษีทุติยภูมิที่ประกาศเรียกเก็บจากอินเดียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจะมีผลบังคับใช้ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่ออุปทานน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง ขณะเดียวกัน ความหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน ยังส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ซึ่งกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงตามไปด้วย

ทรัมป์ประกาศตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นหนึ่งในนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ และหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สองเมื่อเดือนมกราคม ทรัมป์ก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจามาตลอด และการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินในวันศุกร์นี้อาจเป็นตัวตัดสินว่าทรัมป์จะไปต่อหรือพอแค่นี้ โดยมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต เชื่อว่า ทรัมป์ต้องการสร้างความมั่นใจว่าปูตินจริงจังหรือไม่ในการสร้างสันติภาพ ถ้าปูตินไม่จริงจัง ทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ แต่ถ้าปูตินจริงจัง นับตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไป การเจรจาจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยยูเครนและยุโรปจะถูกดึงเข้าร่วมการเจรจาด้วย เพื่อนำไปสู่การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในท้ายที่สุด

การประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินครั้งนี้ มีหลายฝ่ายกังวลว่าอาจนำไปสู่ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมต่อยูเครน แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการหาทางออกให้กับวิกฤตที่ยืดเยื้อ หากทรัมป์และปูตินสามารถหาจุดร่วมกันได้ สันติภาพอาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ที่มา – In Focus: จับตา “ทรัมป์-ปูติน” ประชุมสุดยอด 15 ส.ค. ส่อบีบยูเครนสละดินแดนแลกหยุดยิง

ยูเครน-EU จี้! มีส่วนร่วมข้อตกลงหยุดยิง

สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกจับตามอง ล่าสุด คาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า ยูเครน-EU จี้ เรื่องนี้จะต้องมีส่วนร่วมในข้อตกลงใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการหยุดยิงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ท่ามกลางความพยายามในการเจรจาเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤตที่เกิดขึ้น

EU ย้ำชัด ยูเครนต้องมีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิง

คัลลาสกล่าวว่า “ข้อตกลงใด ๆ ก็ตามระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะต้องให้ยูเครนและ EU เข้าร่วมด้วย ในประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของยูเครนและทั้งยุโรป” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ EU ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความต้องการที่จะมีบทบาทในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาค

เธอยังเปิดเผยอีกว่า จะมีการจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ EU ออนไลน์ในวันจันทร์ (11 ส.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการขั้นถัดไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการหาทางออกร่วมกัน

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย มีกำหนดการพบปะกันในวันที่ 15 ส.ค. ที่รัฐอลาสกาของสหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับการหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นในยูเครน ซึ่งถือเป็นการเจรจาครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสองนับตั้งแต่ปี 2564 การเจรจานี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการหาทางออกให้กับความขัดแย้ง แต่ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมได้หรือไม่

ยูเครน-EU จี้ ต้องมีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิง

การที่ยูเครน-EU จี้ ให้ตัวเองมีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิงนั้น มีเหตุผลที่สมควรอยู่หลายประการ ประการแรก ยูเครนคือประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้ง ดังนั้นการตัดสินใจใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยุติสงครามจึงควรต้องได้รับความเห็นชอบจากยูเครนด้วย ประการที่สอง EU เป็นพันธมิตรที่สำคัญของยูเครน และมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใกล้ชิด การที่ EU เข้ามามีส่วนร่วมจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นเป็นไปอย่างยุติธรรมและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของยูเครน-EU จี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังรัสเซียว่า ประชาคมระหว่างประเทศกำลังจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซงหากจำเป็น ซึ่งอาจช่วยยับยั้งการกระทำที่อาจนำไปสู่การขยายตัวของความขัดแย้ง

สถานการณ์ในยูเครนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่ความพยายามในการเจรจาเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีนั้นเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนอย่างยิ่ง การที่ยูเครนและ EU เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การตัดสินใจของสหรัฐฯ และรัสเซียที่จะหารือกันนั้นเป็นสัญญาณที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำให้แน่ใจว่ายูเครนและ EU จะมีบทบาทสำคัญในการเจรจา การกีดกันพวกเขาออกไปอาจนำไปสู่ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ยั่งยืน ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก

ท้ายที่สุดแล้ว การแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การที่ยูเครน-EU จี้ ให้มีการรวมพวกเขาไว้ในกระบวนการเจรจาเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องและจำเป็นต่อการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

การจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการสนับสนุนกระบวนการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายควรให้ความร่วมมือ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ายูเครนและยุโรปจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายนี้ไปได้อย่างสันติ

ที่มา – ยูเครน-EU จี้ ต้องได้มีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียด้วย