ข่าวต่างประเทศ

PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลง ก.ย. นี้!

วันนี้เรามาอัปเดตข่าวเศรษฐกิจอินเดียกันหน่อยนะครับ กับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการล่าสุด หลายคนอาจจะสงสัยว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. นี่มันหมายความว่ายังไง? แล้วมีผลกระทบอะไรบ้าง? มาดูกันเลย!

ผลสำรวจจาก S&P Global เผยว่าดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 60.9 ในเดือนกันยายน จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 62.9 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปีเลยทีเดียว ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เบื้องต้นที่ 61.6 ด้วยนะครับ

แต่ไม่ต้องตกใจกันไป ดัชนี PMI ที่สูงกว่า 50 นั้นยังคงบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจยังอยู่ในภาวะขยายตัวอยู่ เพียงแต่เป็นการขยายตัวที่ช้าลงเท่านั้นเองครับ ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ถึงจะเรียกว่าอยู่ในภาวะหดตัว

บริษัทต่างๆ รายงานว่าธุรกิจยังคงเติบโตได้เนื่องจากอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่งและการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่ก็มีบางบริษัทที่ยอมรับว่ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นและมาตรการควบคุมต้นทุนอยู่เช่นกัน เรียกได้ว่ามีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยท้าทายที่ต้องรับมือกันไป

สำหรับดัชนีธุรกิจใหม่ แม้จะลดลงจากเดือนสิงหาคม แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งและขยายตัวเร็วที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2567 เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก

อย่างไรก็ตาม ดัชนีอุปสงค์จากต่างประเทศสำหรับภาคบริการของอินเดียอ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม บริษัทต่างๆ ระบุว่าการแข่งขันด้านราคากับผู้ให้บริการต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งยอดขาย งานนี้ต้องทำการบ้านกันหนักหน่อยแล้ว!

ถึงกระนั้น ความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับปีหน้ากลับปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน บริษัทต่างๆ ให้เหตุผลว่าตนมีมุมมองเชิงบวกจากแผนการจัดแคมเปญโฆษณา การคาดการณ์ว่าประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ราคาที่แข่งขันได้ และแนวโน้มการลดหย่อนภาษี มองไปข้างหน้าก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้ลุ้นกันอยู่

แต่ก็มีเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ การจ้างงานยังขยายตัวในระดับที่ไม่สูงนัก โดยมีบริษัทไม่ถึง 5% ที่ตอบแบบสำรวจว่ามีการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจได้ในระยะยาว

ทั้งแรงกดดันด้านต้นทุนและการขึ้นราคาบริการต่างปรับลดลงจากเดือนสิงหาคม การผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคอยู่ในอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคโดยตรงครับ

อัตราเงินเฟ้อของอินเดียในเดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.61% ในเดือนกรกฎาคม ยุติแนวโน้มขาลงที่ดำเนินมาติดต่อกัน 9 เดือน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2-6% ของธนาคารกลางอินเดีย ซึ่งในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ธนาคารกลางได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (repo rate) ไว้ที่ 5.50%

ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดียจาก HSBC ลดลงมาอยู่ที่ 61.0 ในเดือนกันยายน จาก 63.2 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน แต่ยังสะท้อนถึงการขยายตัวโดยรวมที่แข็งแกร่งอยู่

ตัวเลขในดัชนี PMI รวมชี้ให้เห็นว่าทั้งสองภาคส่วนเติบโตช้าลง โดยมีคำสั่งซื้อใหม่และผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงในเดือนกันยายน ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่ว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย.

PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย.

สรุปง่ายๆ ก็คือ PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. จริง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจของอินเดียก็ยังอยู่ในช่วงขยายตัว เพียงแต่ต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ทำไม PMI ภาคบริการอินเดียถึงโตช้าลง?

สาเหตุหลักๆ ก็มาจากอุปสงค์ที่แผ่วลง โดยเฉพาะอุปสงค์จากต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันภายในประเทศและมาตรการควบคุมต้นทุนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเติบโตช้าลง

ถึงแม้ว่า PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังจะแย่ลงนะครับ เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณว่าเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมองหาโอกาสในการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ ที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต

สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนและวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่าลืมติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆ นะครับ

ที่มา – PMI ภาคบริการอินเดียโตช้าลงในเดือนก.ย. หลังดีมานด์แผ่ว

ออสเตรเลีย-ปาปัวฯ เซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก”

ออสเตรเลียและปาปัวนิวกินีได้ลงนามในข้อตกลงด้านกลาโหมฉบับใหม่ร่วมกันเป็นฉบับแรกในรอบกว่า 70 ปี ในชื่อสนธิสัญญา “ปุ๊กปุ๊ก” (Pukpuk) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นหมายถึง “จระเข้” ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ออสเตรเลียพยายามสกัดกั้นการขยายอิทธิพลด้านความมั่นคงของจีนในภูมิภาคแปซิฟิก

สนธิสัญญาปุ๊กปุ๊กมีสาระสำคัญคือทั้งสองประเทศจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันหากถูกโจมตี และยังเปิดทางให้ชาวปาปัวนิวกินีถึง 10,000 คน สามารถเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพออสเตรเลียตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย กล่าวกับสื่อมวลชนในกรุงแคนเบอร์ราว่า “นี่คือข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์” และเสริมว่า “การที่เราเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาค ก็เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศเราเอง”

อัลบาเนซีกล่าวด้วยว่า ทั้งสองชาติตกลง “จะไม่ทำสิ่งใด หรือทำข้อตกลงใด ๆ กับใคร ที่จะกระทบต่อการเดินหน้าสนธิสัญญาฉบับนี้”

ด้านนายกรัฐมนตรีเจมส์ มาราเป ของปาปัวนิวกินี กล่าวว่า “สนธิสัญญานี้ไม่ได้เกิดจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์หรือเหตุผลอื่น แต่มาจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความจริงที่ว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกันมาตลอด”

อย่างไรก็ตาม มาราเปย้ำว่า “เรายังคงรักษาความสัมพันธ์กับจีนและชาติอื่น ๆ เช่นเดิม”

ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก”

การลงนามในสนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคแปซิฟิก การที่ปาปัวนิวกินียืนยันว่าจะยังคงรักษาความสัมพันธ์กับจีนและชาติอื่นๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและต้องติดตามต่อไปว่าความสัมพันธ์เหล่านี้จะดำเนินไปในทิศทางใด

ความสำคัญของสนธิสัญญา “ปุ๊กปุ๊ก”

สนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองประเทศและต่อภูมิภาคโดยรวม สนธิสัญญานี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน แต่ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ

สำหรับออสเตรเลีย สนธิสัญญา “ปุ๊กปุ๊ก” เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาอิทธิพลในภูมิภาคแปซิฟิกและการตอบโต้กับการขยายอิทธิพลของจีน สำหรับปาปัวนิวกินี สนธิสัญญานี้เป็นการรับประกันความมั่นคงและความปลอดภัยในระยะยาว และเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการฝึกฝนและพัฒนาทักษะในกองทัพออสเตรเลีย

นอกจากนี้ สนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและการสร้างเครือข่ายความมั่นคงที่แข็งแกร่งในแปซิฟิกใต้ การที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคร่วมมือกันจะช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ การก่อการร้าย หรืออาชญากรรมข้ามชาติ

ในอนาคต เราอาจได้เห็นการลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงในลักษณะเดียวกันระหว่างออสเตรเลียกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก การสร้างเครือข่ายความมั่นคงที่ครอบคลุมจะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคโดยรวม

โดยสรุป สนธิสัญญา ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและความร่วมมือในภูมิภาคแปซิฟิก การติดตามพัฒนาการของสนธิสัญญานี้และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ที่มา – ออสเตรเลีย-ปาปัวนิวกินี จับมือเซ็นสนธิสัญญาความมั่นคง “ปุ๊กปุ๊ก” ครั้งประวัติศาสตร์

ฟรีพอร์ตฯ เผย! คนงานดับเพิ่มจากเหตุโคลนถล่มเหมือง

บริษัทฟรีพอร์ต-แมคโมแรน (Freeport-McMoRan) ได้ออกมาเปิดเผยข่าวเศร้าว่า มีคนงานเหมืองเสียชีวิตเพิ่มอีก 5 รายจากเหตุการณ์โคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg) ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลให้การผลิตในเหมืองต้องหยุดชะงักลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้พบร่างของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดรวมของผู้เสียชีวิตจากเหตุโคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก เพิ่มขึ้นเป็น 7 ราย เศร้าสลดใจหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ใช้ความพยายามในการค้นหาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์เต็ม

การหยุดชะงักของการผลิตในเหมืองกราสเบิร์ก ซึ่งเป็นเหมืองทองแดงที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกนั้น ถือเป็นสถานการณ์ล่าสุดที่ส่งผลกระทบต่ออุปทานทองแดงในตลาดโลก ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นในเหมืองทองแดงขนาดใหญ่อื่นๆ ทั่วโลกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สถานการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้ความกังวลเกี่ยวกับปริมาณทองแดงในตลาดเพิ่มสูงขึ้น

ราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองแดงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เหตุการณ์ปิดเหมืองกราสเบิร์กเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงนี้ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกและความต้องการในการใช้ทองแดงให้เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฟรีพอร์ต-แมคโมแรน ได้ประกาศภาวะสุดวิสัย (Force Majeure) กับการขนส่งสินค้าในอินโดนีเซีย และได้ทำการลดการคาดการณ์การผลิตสำหรับปีนี้และปีหน้าลง บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดโคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ภาวะสุดวิสัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ข้อพิพาทด้านแรงงาน, การประท้วง, การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

โคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก: เหตุการณ์เศร้าสลดและความผันผวนของตลาดทองแดง

สถานการณ์โคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก ไม่ได้เป็นเพียงแค่โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดทองแดงทั่วโลก การหยุดชะงักของการผลิต และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความผันผวนของราคา และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาการใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบสำคัญ

ผลกระทบต่อราคาและอุปทานทองแดง

การที่เหมืองกราสเบิร์กต้องหยุดการผลิตลงชั่วคราว ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปทานทองแดงในตลาดโลก เนื่องจากเหมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก การขาดแคลนอุปทานที่อาจเกิดขึ้น ส่งผลให้ราคาทองแดงปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบ

นอกจากนี้ เหตุการณ์โคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ และความจำเป็นในการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคนงานและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในเทคโนโลยีและมาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัย จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

ในระยะยาว เหตุการณ์นี้อาจกระตุ้นให้เกิดการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยในการทำเหมืองทั่วโลก และผลักดันให้บริษัทเหมืองแร่ต่างๆ ลงทุนในมาตรการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างอุตสาหกรรมเหมืองแร่, เศรษฐกิจโลก, และความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคนงาน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในระยะยาว

ที่มา – “ฟรีพอร์ต-แมคโมแรน” เผยมีคนงานเสียชีวิตเพิ่ม 5 รายจากเหตุโคลนถล่มเหมืองกราสเบิร์ก

รู้จัก “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ว่าที่นายกฯ ญี่ปุ่น

ซานาเอะ ทาคาอิจิ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (4 ต.ค.) โดยหลังจากใช้ความพยายามถึง 3 ครั้ง ในที่สุดเธอก็ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค LDP แทนชิเงรุ อิชิบะ และเป็นการปูทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น

ชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP ของทาคาอิจิเป็นปัจจัยหนุนดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และฉุดเงินเยนอ่อนค่าลงในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงผู้นี้มีจุดยืนสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินและใช้มาตรการกระตุ้นด้านการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจุดยืนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

เปิดประวัติว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกแห่งแดนอาทิตย์อุทัย: ทำความรู้จัก “ซานาเอะ ทาคาอิจิ”

เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นให้ข้อมูลว่า ซานาเอะ ทาคาอิจิ เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2504 ที่จังหวัดนารา ปัจจุบันอายุ 64 ปี สำเร็จการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยโกเบ ในปี 2527

ทาคาอิจิเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และอาจารย์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว โดยชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2536

สำหรับเส้นทางอาชีพการเมือง เธอเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วหลายสมัย และเคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวงในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และอดีตนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ

ในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีคิชิดะนั้น ทาคาอิจิดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีฝ่ายยุทธศาสตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่น รัฐมนตรีฝ่ายยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา รัฐมนตรีฝ่ายนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีฝ่ายนโยบายอวกาศ

ส่วนในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ทาคาอิจิได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร รัฐมนตรีฝ่ายกิจการความเท่าเทียมทางเพศ และรัฐมนตรีฝ่ายกิจการสังคมและความปลอดภัยด้านอาหาร

ทาคาอิจิเป็นที่รู้จักในฐานะนักอนุรักษนิยมที่เคร่งครัด มีมุมมองด้านความมั่นคงที่แข็งกร้าวเช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะผู้ล่วงลับ การที่เธอเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิในกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเชื่อมโยงกับสงครามโลก อยู่บ่อยครั้งนั้น ทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน และ เกาหลี เนื่องจากประเทศเหล่านี้มองว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุนเหล่าอดีตทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก ขณะที่สื่อจีนเรียกเธอว่า นักชาตินิยม

ทาคาอิจิมีผู้ติดตามจำนวนมากในโลกออนไลน์ และเธอเคยหยิบยกประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงทางอินเทอร์เน็ตมากล่าวปราศรัยในระหว่างการหาเสียง เช่น ข้อกล่าวอ้างที่ว่าชาวต่างชาติเตะกวางตัวหนึ่งในสวนสาธารณะของจังหวัดนารา ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม

นอกจากนี้ ทาคาอิจิยกย่องมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้ล่วงลับให้เป็นไอดอลของเธอ และเธอยังแฟนเพลงเฮฟวีเมทัล และเป็นแฟนทีมเบสบอล Hanshin Tigers ด้วย

ทำไมการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ถึงสำคัญ

ดัชนีนิกเกอิทะยานขึ้น 1,914.38 จุด หรือ 4.18% แตะระดับ 47,683.88 จุดหลังตลาดเปิดทำการวันนี้ได้เพียง 15 นาที และเงินเยนดิ่งลงแตะกรอบ 147.39-147.49 เยนต่อดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากทาคาอิจิได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP และเตรียมขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น

นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ คาดการณ์ว่า ชัยชนะของทาคาอิจิจะเป็นปัจจัยหนุนดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียว เนื่องจากทาคาอิจิมีจุดยืนสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น นอกจากนี้ การที่เธอสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง อาจลดโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลงของ BOJ จะส่งผลให้สกุลเงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกในตลาดหุ้นญี่ปุ่น แต่แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงจะสร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่วนหุ้นที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศและหุ้นบริษัทขนาดเล็กคาดว่าจะได้รับแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนจะให้การตอบรับทุกสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย “อาเบะโนมิกซ์” (Abenomics) ที่ริเริ่มโดยอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ

อาเบะโนมิกซ์ คือนโยบายที่มีเป้าหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซามายาวนานและต่อสู้กับภาวะเงินฝืด โดยนโยบายประกอบด้วย “ลูกศร 3 ดอก” (Three Arrows) ซึ่งได้แก่การดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงรุก การใช้จ่ายด้านการคลังมูลค่ามหาศาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน

ชัยชนะของทาคาอิจิซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ได้กระตุ้นให้เกิดมุมมองที่ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของเธอจะนำพาญี่ปุ่นกลับไปสู่ยุคอาเบะโนมิกซ์อีกครั้ง โดยที่ผ่านมานั้น เธอผลักดันให้มีการแจกเงินสดและส่วนลดภาษีให้กับประชาชน เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่ประสบปัญหา

กูรูมั่นใจชาวญี่ปุ่นพร้อมรับนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์: โอกาสของ “ซานาเอะ ทาคาอิจิ”

ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา การประกาศลาออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ได้ทำให้การแข่งขันชิงเก้าอี้ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นเปิดกว้างขึ้น โดยหลายคนคาดไม่ถึงว่า ซานาเอะ ทาคาอิจิ จะลงสู้ศึกครั้งนี้อีก เนื่องจากเธอเคยลงแข่งขันกับอิชิบะในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP เมื่อปีที่แล้ว และมีคะแนนนำในรอบแรก ก่อนที่จะพ่ายแพ้แก่อิชิบะในรอบตัดสิน หลังจากนั้น เธอก็ได้ปลีกตัวออกห่างจากรัฐบาลของอิชิบะ โดยไม่รับตำแหน่งใด ๆ ในคณะรัฐมนตรี และปฏิเสธข้อเสนอให้เป็นประธานสภาทั่วไปของพรรค LDP

ก่อนการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP จะเปิดฉากขึ้น หนังสือพิมพ์นิกเกอิได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทาคาอิจิมีคะแนนนิยม 23% แซงหน้าคู่แข่งคนสำคัญอย่าง ชินจิโระ โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตร และบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ ซึ่งมีคะแนน 22%

ไม่เพียงแค่ผลสำรวจเท่านั้น แม้แต่โทโมฮิโกะ ทานิงูจิ อดีตที่ปรึกษาพิเศษของคณะรัฐมนตรีในสมัยของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้ล่วงลับ ยังแสดงความเห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในญี่ปุ่นมีความพร้อมสำหรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นหญิง โดยเขาเปิดเผยในรายการ “Squawk Box Asia” ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ถึงเวลาแล้วที่ญี่ปุ่นจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา โดยเขาอ้างถึงข้อมูลล่าสุดขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งระบุว่า ประมาณ 85% ของผู้หญิงชาวญี่ปุ่นที่มีอายุระหว่าง 25-54 ปี ยังคงทำงาน โดยเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับระดับ 78% ในสหรัฐอเมริกา

โดยรวมแล้ว การก้าวขึ้นมาของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับวงการการเมืองญี่ปุ่น และน่าจับตามองว่าเธอจะสามารถนำพาประเทศไปในทิศทางใด

ที่มา – รู้จัก “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น

ไทยเนื้อหอม! เศรษฐีเวียดนามแห่ซื้ออสังหาฯ หรู

ไทยเนื้อหอม! ดึงดูดเศรษฐีเวียดนามแห่ซื้ออสังหาฯ หรู ส่งลูกเรียนอินเตอร์

ประเทศไทยกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของเหล่าเศรษฐีชาวเวียดนามที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน สถานการณ์ในเวียดนามเองค่อนข้างน่าเป็นห่วงเนื่องจากมีเศรษฐีจำนวนมากตัดสินใจย้ายออก ผู้เชี่ยวชาญบางท่านมองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีสาเหตุมาจากการที่รัฐบาลเวียดนามได้ทำการจับกุมบุคคลร่ำรวยที่มีชื่อเสียงหลายรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคงเกี่ยวกับอนาคตและทรัพย์สินของตนเอง จึงมองหาทางเลือกอื่น

จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการย้ายถิ่นฐาน Henley & Partners และบริษัทวิเคราะห์ความมั่งคั่ง New World Wealth พบว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงถึง 300 คนที่ย้ายออกจากเวียดนาม ตัวเลขนี้สูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีเพียง 100 คน และปี 2566 ที่ 150 คน

หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ New World Wealth กล่าวว่า เศรษฐีชาวเวียดนามจำนวนมากกำลังย้ายมายังประเทศไทย เนื่องจากมีปัจจัยดึงดูดใจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำระดับโลก ภาคบริการทางการเงินที่กำลังเติบโต และอสังหาริมทรัพย์สุดหรู ทำให้ไทยกลายเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจ นอกเหนือจากจุดหมายปลายทางดั้งเดิมอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย

ทำไมเศรษฐีเวียดนามถึงเลือก “ไทยเนื้อหอม! ดึงดูดเศรษฐีเวียดนามแห่ซื้ออสังหาฯ หรู ส่งลูกเรียนอินเตอร์”

  • การศึกษา: โรงเรียนนานาชาติที่มีหลักสูตรคุณภาพสูงเป็นปัจจัยสำคัญ
  • การลงทุน: โอกาสในการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ
  • คุณภาพชีวิต: ประเทศไทยมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีและค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล
  • ความปลอดภัย: ความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

เพื่อรับมือกับสถานการณ์สมองไหล รัฐบาลเวียดนามกำลังพยายามดึงดูดชาวเวียดนามโพ้นทะเลให้กลับประเทศ โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่เงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญและความสามารถ ผ่านการออกกฎหมายที่เอื้ออำนวย เช่น การให้สิทธิ์การเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มที่แก่ชาวเวียดนามโพ้นทะเลเช่นเดียวกับพลเมืองในประเทศ การผ่อนปรนกฎการถือสองสัญชาติสำหรับผู้เชี่ยวชาญในบางสาขา และการเสนอเงินเดือนที่เทียบเท่ากับอัตราตลาด

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ชาวเวียดนามที่ตัดสินใจกลับบ้านเกิดหลังจากประสบความสำเร็จในต่างประเทศ มักเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น วัฒนธรรมองค์กรแบบ Top-Down ที่จำกัดการแบ่งปันความรู้และอิทธิพล ปัญหาเรื่องวีซ่าที่ทำให้การย้ายครอบครัวเป็นเรื่องยุ่งยาก กฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกันในแต่ละท้องถิ่น และภาษีเงินได้ที่ไม่สมดุลกับสวัสดิการ ดังนั้น เวียดนามจึงต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดึงดูดคนเก่ง

การที่ ไทยเนื้อหอม! ดึงดูดเศรษฐีเวียดนามแห่ซื้ออสังหาฯ หรู ส่งลูกเรียนอินเตอร์ เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนและผู้มีความสามารถจากต่างประเทศ การพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

คุณคิดว่าประเทศไทยควรมีนโยบายอะไรเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนและอยู่อาศัยในประเทศมากขึ้น?

ที่มา – ไทยเนื้อหอม! ดึงดูดเศรษฐีเวียดนามแห่ซื้ออสังหาฯ หรู ส่งลูกเรียนอินเตอร์

แคลิฟอร์เนียจ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติ!

สถานการณ์การเมืองในสหรัฐอเมริกายังคงร้อนระอุ เมื่อ กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศเตรียมยื่นฟ้องรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากกรณีที่สั่งเคลื่อนย้ายกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ของรัฐแคลิฟอร์เนียไปยังเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ประเด็นนี้กลายเป็นข้อพิพาทสำคัญที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นอย่างหนักหน่วง

นิวซัมกล่าวหาว่า ทรัมป์ “กำลังใช้กองทัพสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือทางการเมืองเล่นงานพลเมืองอเมริกัน” ซึ่งเป็นการกระทำที่เกินเลยอำนาจและขัดต่อหลักการประชาธิปไตย เขาเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งให้ส่งกำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์ชาติแคลิฟอร์เนียถึง 300 นายไปประจำการที่พอร์ตแลนด์ หลังจากที่ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับชั่วคราว ไม่ให้ทรัมป์ใช้สิทธิ์ดึงกองกำลังพิทักษ์ชาติของรัฐออริกอนเองมาอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลาง

“ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางไปที่นั่นแล้ว … นี่คือการละเมิดกฎหมายและอำนาจอย่างน่าตกใจ รัฐบาลทรัมป์กำลังโจมตีหลักนิติธรรมอย่างไม่ละอายและทำตามคำพูดที่อันตรายของตัวเอง นั่นคือการเพิกเฉยต่อคำสั่งศาล และมองผู้พิพากษา แม้กระทั่งคนที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งเองก็ตาม ว่าเป็นคู่แข่งทางการเมือง” นิวซัมกล่าวอย่างเดือดดาล

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์อ้างว่า การส่งกำลังทหารที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐบาลกลางเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเมืองพอร์ตแลนด์กำลังถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐออริกอนและเมืองพอร์ตแลนด์มองว่า การประท้วงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความรุนแรงถึงขั้นที่จะต้องใช้กองกำลังพิทักษ์ชาติ

แล้วทำไมแคลิฟอร์เนียถึงจ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปเมืองพอร์ตแลนด์? นั่นเป็นเพราะว่า นิวซัมเชื่อว่าการกระทำของทรัมป์เป็นการละเมิดอำนาจและขัดต่อหลักการปกครอง รัฐบาลแคลิฟอร์เนียจึงตัดสินใจที่จะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของรัฐและประชาชน

“เราจะเอาเรื่องนี้ไปสู้ในชั้นศาล แต่ประชาชนก็ไม่อาจนิ่งเฉยต่อการกระทำที่บุ่มบ่ามและเผด็จการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นนี้ได้” นิวซัมกล่าว

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยออกคำสั่งเมื่อวันที่ 27 กันยายน ให้ส่งกำลังพลที่จำเป็นทั้งหมดไปยังพอร์ตแลนด์ โดยให้อำนาจควบคุมสมาชิกกองกำลังพิทักษ์ชาติออริกอน 200 นายอยู่ภายใต้การบัญชาการของ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างไรก็ดี รัฐออริกอนและเมืองพอร์ตแลนด์ได้ยื่นฟ้องเพื่อตอบโต้คำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กันยายน โดยคาริน อิมเมอร์กัต ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางประจำรัฐออริกอน ได้วินิจฉัยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า การประท้วงที่นั่น “ไม่ได้มีความรุนแรงหรือสร้างความปั่นป่วนอย่างมีนัยสำคัญ” ที่จะนำมาเป็นข้ออ้างให้ทรัมป์ใช้กองกำลังพิทักษ์ชาติของรัฐออริกอนได้

ต่อมารัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขต 9 ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศาลที่เคยคืนอำนาจให้ทรัมป์สามารถเรียกกองกำลังพิทักษ์ชาติในลอสแอนเจลิสได้เมื่อเดือนมิถุนายน หลังจากที่ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางในซานฟรานซิสโกสั่งให้ระงับไปก่อนหน้านั้น

แคลิฟอร์เนียจ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปเมืองพอร์ตแลนด์

การที่รัฐแคลิฟอร์เนีย จ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปเมืองพอร์ตแลนด์ ได้สร้างความตึงเครียดทางการเมืองในสหรัฐอเมริกามากขึ้นไปอีก หลายฝ่ายมองว่าการกระทำของทรัมป์เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐ ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่าเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

ผลกระทบจากการที่แคลิฟอร์เนียจ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปเมืองพอร์ตแลนด์

การที่แคลิฟอร์เนีย จ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปเมืองพอร์ตแลนด์ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเมืองในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น การกระตุ้นให้เกิดการประท้วงและการต่อต้านรัฐบาล หรือการทำให้ประเด็นเรื่องสิทธิของรัฐและการใช้อำนาจของรัฐบาลกลางกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดและการเมืองที่รุนแรงในสังคมอเมริกัน ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้นำและประชาชนในการแสวงหาทางออกร่วมกันเพื่อสร้างความปรองดองและความสามัคคีในชาติ

ในขณะที่การต่อสู้ทางกฎหมายกำลังดำเนินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ประชาชนต้องตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน

ที่มา – แคลิฟอร์เนียจ่อฟ้องทรัมป์ ฐานส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปเมืองพอร์ตแลนด์

รัฐสภาอิหร่านอนุมัติ ตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียล

รัฐสภาอิหร่านไฟเขียว! ตัดเลขศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียล หวังกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความยุ่งยากในการทำธุรกรรมทางการเงิน การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูปสกุลเงินของประเทศ

รัฐสภาอิหร่านไฟเขียว ตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียล

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สำนักข่าว IRNA ของทางการอิหร่านรายงานว่า ที่ประชุมรัฐสภาอิหร่านมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายให้ตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียลอิหร่าน ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 144 เสียง ไม่เห็นชอบ 108 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้สกุลเงินมีความเสถียรมากขึ้นและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการค้า

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม คณะรัฐมนตรีอิหร่านก็ได้อนุมัติแผนการดังกล่าว ขั้นตอนต่อไปคือ ร่างกฎหมายนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากสภาผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ได้จริง การพิจารณาอย่างรอบคอบนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายการเงินที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพ

IRNA ระบุว่า การปรับค่าเงินในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินคล่องตัวขึ้น สกุลเงินของประเทศจะยังคงใช้ชื่อเดิมคือ “เรียล” (rial) แต่จะมีหน่วยย่อยใหม่เรียกว่า “เกรัน” (gheran) การเปลี่ยนชื่อหน่วยย่อยนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในสกุลเงิน

รายละเอียดการเปลี่ยนแปลง: ตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียล

หลังจากการเปลี่ยนแปลง 1 เรียลใหม่จะมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 เรียลในปัจจุบัน และจะแบ่งย่อยได้เป็น 100 เกรัน การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการอย่างไร และประชาชนจะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ที่ผ่านมา สกุลเงินของอิหร่านอ่อนค่าลงอย่างหนัก นับตั้งแต่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 และกลับมาดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกครั้ง สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก และการตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียลก็เป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหา

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอิหร่านกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน การคว่ำบาตรจากนานาชาติส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนจากต่างชาติ การปรับปรุงเสถียรภาพของสกุลเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

การตัดสินใจตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียลของอิหร่านเป็นเรื่องที่น่าสนใจและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ แต่ก็อาจเป็นโอกาสในการสร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในอนาคต

ผลกระทบที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงนี้จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาลอิหร่าน การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและการส่งเสริมการค้าภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การปฏิรูปสกุลเงินประสบความสำเร็จ

ที่มา – รัฐสภาอิหร่านไฟเขียว ตัดศูนย์ 4 ตัวออกจากเงินเรียล

สื่อตปท. คาดนายกฯหญิงญี่ปุ่นชะลอขึ้นดอกเบี้ย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ซานาเอะ ทาเคอิจิ กำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น พร้อมขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจแบบขยายตัว ดังนั้นโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะหลีกเลี่ยงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมนั้น มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการหยุดพักขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะไม่กินเวลานานหากส่งผลกระทบต่อค่าเงินเยน

การที่สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนั้น เกิดจากนโยบายของนางทาเคอิจิที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก

ทาเคอิจิ ซึ่งจะขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของญี่ปุ่นในสัปดาห์หน้า หลังจากชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแอลดีพีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เธอมีความโดดเด่นในการแข่งขันในฐานะผู้สนับสนุนคนเดียวที่เสนอนโยบายการใช้จ่ายขนาดใหญ่และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

รัฐสภาญี่ปุ่นคาดว่าจะลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้าพรรคแอลดีพีคนใหม่ที่มีจุดยืนชาตินิยมอนุรักษ์นิยมเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ตุลาคม เนื่องจากพรรคแอลดีพีของเธอเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา แม้ว่าจะยังไม่แน่นอน เพราะพันธมิตรของพรรคแอลดีพีสูญเสียเสียงข้างมากในสภาทั้งสองสภาภายใต้การนำของชิเงรุ อิชิบะ ผู

หลังจากชนะการเลือกตั้ง ทาเคอิจิได้แสดงความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบายการคลังและการเงิน และลำดับความสำคัญของเธอคือการกระตุ้นอุปสงค์และเศรษฐกิจโดยรวม

ทาเคอิจิอธิบายว่าการขึ้นราคาในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และเตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงชัยชนะเหนือภาวะเงินฝืด เนื่องจากบริษัทต่างๆ เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

นโยบายของทาเคอิจิส่งผลให้สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเธอให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อในระยะสั้น

สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก และนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของนายกฯหญิงต่อการเงินญี่ปุ่น

หากสื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย เป็นจริง จะส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น

นอกจากนี้ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับรัฐบาลญี่ปุ่นในการควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

โดยรวมแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดการเงินโลก นักลงทุนและผู้สังเกตการณ์ควรติดตามความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ดังนั้น การขึ้นเป็นนายกฯ หญิงของญี่ปุ่นและการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา – สื่อตปท.คาดว่าที่นายกฯหญิงญี่ปุ่นอาจทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

สหรัฐฯ หวังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังได้ผู้นำใหม่

สหรัฐอเมริกาแสดงความคาดหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ทำการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ สหรัฐฯ หวังว่าจะได้สานต่อความร่วมมืออันดีกับญี่ปุ่นต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลญี่ปุ่นได้เลือก ซานาเอะ ทาคาอิจิ ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคคนใหม่

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกับญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ร่วมกันของเราทั้งสองประเทศ” พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า พันธมิตรทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นนั้น “เป็นรากฐานที่สำคัญของสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และทั่วโลก ซึ่งความสัมพันธ์ของเราไม่เคยแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน”

จอร์จ กลาส เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศญี่ปุ่น ได้แสดงความยินดีกับนางทาคาอิจิ ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของพรรคเสรีประชาธิปไตย โดยได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ว่า “ผมตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกับเธออย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างและขยายความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในทุก ๆ ด้าน”

นางทาคาอิจิ วัย 64 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น แทนที่นายชิเครุ อิชิบะ ภายหลังจากการลงคะแนนเสียงในรัฐสภาที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

การได้รับเลือกของนางทาคาอิจิ เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเอเชีย ซึ่งจะเป็นการเดินทางเยือนครั้งแรกของนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคม

สหรัฐหวังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่

การแสดงความหวังของสหรัฐฯ ในการ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่สหรัฐฯ ให้กับพันธมิตรกับญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น

ความสำคัญของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองประเทศและต่อเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ และทั้งสองประเทศมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเมือง การที่สหรัฐฯ ออกมาแสดงความหวังที่จะ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ จึงเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต่อไป

การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ของญี่ปุ่นเป็นโอกาสอันดีที่สหรัฐฯ จะได้สานสัมพันธ์กับผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่น และร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองในอนาคต การที่สหรัฐฯ แสดงความยินดีและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับนางทาคาอิจิ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นต่อไป ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น การขยายอิทธิพลของจีน การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งสองประเทศสามารถทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้และส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

โดยสรุปแล้ว การที่สหรัฐฯ หวังที่จะ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นต่อไป ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างทั้งสองประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ และส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและต่อโลกโดยรวม

ที่มา – สหรัฐหวังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังพรรครัฐบาลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่

จีนสั่งอพยพหนีภัย พายุไต้ฝุ่นแมตโม

พายุไต้ฝุ่นแมตโม ซึ่งเป็นพายุลูกที่ 21 ในฤดูพายุไต้ฝุ่นแปซิฟิกปีนี้ ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ส่งผลให้ทางการจีนต้องสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อความปลอดภัย นี่คือสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ จีนสั่งอพยพประชาชนออกจากพ.ท.ชายฝั่งภาคใต้หลบภัยพายุไต้ฝุ่นแมตโม

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การให้บริการเรือโดยสารทั้งหมดในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงได้ถูกระงับชั่วคราว เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพายุ จีนสั่งอพยพประชาชนออกจากพ.ท.ชายฝั่งภาคใต้หลบภัยพายุไต้ฝุ่นแมตโม ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวประมาณ 26,000 คนบนเกาะเหวยโจว ซึ่งได้รับการอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว โครงการชายฝั่งและท่าเรือต่างๆ ก็หยุดดำเนินการชั่วคราว และมีการเคลื่อนย้ายบุคลากรจำนวน 4,024 คนออกจากเรือและแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเล

หน่วยงานทางทะเลกว่างซีได้ยกระดับมาตรการตอบสนองฉุกเฉินขึ้นสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่ช่วงเช้า โดยได้นำเรือจำนวน 168 ลำไปยังน่านน้ำที่ปลอดภัยและสั่งให้เรืออีก 889 ลำจอดเทียบท่าเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย

ทางด้านมณฑลไหหลำ ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ของจีน ได้ทำการอพยพประชาชนกว่า 197,000 คนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยสูงภายในช่วงเที่ยงวัน และยังคงมีการประกาศเตือนภัยพายุไต้ฝุ่นระดับสีแดงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์

ส่วนมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ จีนสั่งอพยพประชาชนออกจากพ.ท.ชายฝั่งภาคใต้หลบภัยพายุไต้ฝุ่นแมตโม ได้ยกระดับการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นสู่ระดับสูงสุดเช่นกัน โดยมีการอพยพประชาชนมากกว่า 150,000 คนเพื่อความปลอดภัย

พายุไต้ฝุ่นแมตโมได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นระดับรุนแรง โดยมีความเร็วลมสูงสุดถึง 45 เมตรต่อวินาที ซึ่งเป็นระดับที่สร้างความเสียหายอย่างมากได้ ทีมฉุกเฉินต่างๆ ได้ถูกส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยเพื่อเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้าและการสื่อสารที่อาจถูกตัดขาดจากพายุ

จีนสั่งอพยพประชาชนออกจากพ.ท.ชายฝั่งภาคใต้หลบภัยพายุไต้ฝุ่นแมตโม

สถานการณ์ จีนสั่งอพยพประชาชนออกจากพ.ท.ชายฝั่งภาคใต้หลบภัยพายุไต้ฝุ่นแมตโม แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ และความจำเป็นที่รัฐบาลท้องถิ่นจะต้องมีแผนอพยพที่มีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการขนส่ง

นอกเหนือจากการอพยพประชาชนแล้ว พายุไต้ฝุ่นแมตโมยังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการขนส่งในพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของจีน การระงับการให้บริการเรือโดยสารและการหยุดดำเนินการของท่าเรือต่างๆ ทำให้การขนส่งสินค้าและผู้โดยสารเป็นไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและระบบไฟฟ้า อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ กระตุ้นเตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ

แม้ว่าการอพยพอาจสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับประชาชน แต่มาตรการนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการปกป้องชีวิตและความปลอดภัย การตัดสินใจที่รวดเร็วและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

ที่มา – จีนสั่งอพยพประชาชนออกจากพ.ท.ชายฝั่งภาคใต้หลบภัยพายุไต้ฝุ่นแมตโม