กูเกิล

Google เผยชิปควอนตัม Willow แรงกว่าเดิม 1.3 หมื่นเท่า

Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow

กูเกิล (Google) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยถึงความสำเร็จครั้งสำคัญด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งอาจปูทางสู่การประยุกต์ใช้ในอนาคต เช่น การค้นคว้ายาใหม่และวิทยาศาสตร์วัสดุ

กูเกิลระบุว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากชิปควอนตัมรุ่นใหม่ชื่อ “Willow” ซึ่งสามารถประมวลผลอัลกอริทึมแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป ผลงานนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ (Nature) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (22 ต.ค.) โดยเป็นผลงานของทีมปัญญาประดิษฐ์ควอนตัม (Quantum AI) ของกูเกิล

ฮาร์ทมุต เนเวน รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของกูเกิลระบุในบล็อกโพสต์ว่า การใช้งานคอมพิวเตอร์ควอนตัมในเชิงพาณิชย์อาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5 ปี ขณะที่ซุนดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกูเกิลชี้ว่า ความสำเร็จของอัลกอริทึมที่บริษัทเรียกว่า ควอนตัม เอคโค่ (Quantum Echoes) ถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีนี้

กูเกิลระบุว่า ชิป Willow สามารถประมวลผลอัลกอริทึมได้เร็วกว่าอัลกอริทึมทั่วไปถึง 13,000 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลก และสามารถทำซ้ำได้บนคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องอื่นในทางทฤษฎี ความสำเร็จของ Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในอนาคต

พิชัยเปิดเผยผ่านทางเอ็กซ์ว่า ชิป Willow ของกูเกิลได้สร้างความได้เปรียบเชิงควอนตัมที่ตรวจสอบได้เป็นครั้งแรก พร้อมระบุว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญสู่การใช้งานคอมพิวเตอร์ควอนตัมในเชิงพาณิชย์

พิชัยระบุเพิ่มเติมว่า อัลกอริทึมใหม่นี้สามารถอธิบายการทำงานร่วมกันระหว่างอะตอมในโมเลกุลผ่านเทคนิคนิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์ (NMR) ซึ่งอาจปูทางไปสู่การพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ในอนาคต

ทั้งนี้ มิเชล เดโวเรต์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปีนี้ และหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของหน่วยควอนตัม AI ของกูเกิลกล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่การคำนวณเชิงควอนตัมในระดับที่สมบูรณ์”

Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow

ความก้าวหน้าของ Google ในการพัฒนาชิปควอนตัม Willow ไม่เพียงแต่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมอย่างมาก แต่ยังเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนซึ่งเดิมทีเป็นไปไม่ได้สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป ลองนึกภาพศักยภาพในการพัฒนายาใหม่ การออกแบบวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ หรือแม้แต่การทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ความสำเร็จของ Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow แสดงให้เห็นว่าเรากำลังเข้าใกล้ยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถเปลี่ยนแปลงโลกของเราได้อย่างแท้จริง ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจได้เห็นการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมในหลากหลายสาขา ตั้งแต่การแพทย์และการเงิน ไปจนถึงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม

การที่ Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow นี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการผลักดันขีดจำกัดของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องติดตามความคืบหน้าต่อไปอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในอนาคต

ที่มา – Google เผยชิปควอนตัมทรงอานุภาพ Willow ประมวลผลเร็วกว่าซูเปอร์คอมฯ 1.3 หมื่นเท่า

Google ทุ่ม 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ สร้างงาน!

กูเกิล (Google) ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักร มูลค่ากว่า 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มุ่งหวังจะช่วยสร้างงานกว่า 8,000 ตำแหน่งต่อปี การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีการประกาศข้อตกลงและความร่วมมือทางธุรกิจที่สำคัญอีกหลายรายการ

นอกจากการลงทุนในภาพรวมแล้ว กูเกิลยังได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงลอนดอน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน

ศูนย์ข้อมูล Waltham Cross แห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงลอนดอนเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยอากาศที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในการระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ยังสามารถส่งความร้อนที่เกิดจากกระบวนการทำงานไปยังบ้านเรือนหรือธุรกิจที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอีกด้วย

นอกจากนี้ กูเกิลยังได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทเชลล์ (Shell) เพื่อสนับสนุนความมั่นคงของโครงข่ายพลังงานและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของสหราชอาณาจักร โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

กูเกิลคาดการณ์ว่า การดำเนินงานในสหราชอาณาจักรจะสามารถใช้พลังงานสะอาดได้เกือบ 95% ภายในปี 2569 จากโครงการพลังงานสะอาดต่างๆ และความร่วมมือกับบริษัทเชลล์ การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอังกฤษ กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกา กูเกิลยังระบุว่า การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะสร้างงานในธุรกิจของสหราชอาณาจักรได้ถึงปีละ 8,250 ตำแหน่ง

การประกาศลงทุนครั้งใหญ่นี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาลพรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ซึ่งกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาและเพิ่มคะแนนนิยมในผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ

การเยือนสหราชอาณาจักรของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังคาดว่าจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จะมีการประกาศข้อตกลงทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้งสองประเทศ

Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี

การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ Google ต่อศักยภาพของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกไปยังนักลงทุนรายอื่นๆ ให้พิจารณาลงทุนในสหราชอาณาจักรต่อไป

ทำไม Google ถึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในอังกฤษ?

ปัจจัยที่น่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ Google ได้แก่ ความพร้อมของบุคลากรที่มีทักษะ ความแข็งแกร่งของระบบนิเวศด้านเทคโนโลยี และการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ การที่สหราชอาณาจักรเป็นประตูสู่ตลาดยุโรปก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google พิจารณาด้วย

การลงทุนของ Google ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหราชอาณาจักรในระยะยาว

การที่ Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี นั้นเป็นการลงทุนที่สำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างงานเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ Google ต่อศักยภาพของสหราชอาณาจักร

สิ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยี และจะช่วยให้สหราชอาณาจักรกลายเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกได้หรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป

โดยสรุปแล้ว การที่กูเกิล ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี เป็นข่าวดีสำหรับทั้งสหราชอาณาจักรและ Google เอง การลงทุนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ

ที่มา – Google ประกาศลงทุน 6.8 พันล้านดอลล์ในอังกฤษ หวังช่วยสร้างงานกว่า 8 พันตำแหน่งต่อปี

เจ้าของโรลลิงสโตนฟ้องกูเกิล เหตุใช้ AI สรุปข่าว

เพนสกี มีเดีย คอร์ปอเรชัน (Penske Media Corporation) เจ้าของนิตยสารชื่อดังอย่างโรลลิงสโตน (Rolling Stone) และบิลบอร์ด (Billboard) ได้ยื่นฟ้องกูเกิล (Google) ในข้อหาที่ระบบ AI Overviews ของกูเกิล ละเมิดการนำงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ของบริษัทไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต และส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของบริษัท

การฟ้องร้องครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สำนักพิมพ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินคดีทางกฎหมายกับกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบท (Alphabet) โดยประเด็นหลักอยู่ที่การใช้บทสรุปความที่สร้างขึ้นโดย AI ซึ่งปรากฏอยู่บนสุดของหน้าผลการค้นหา

ที่ผ่านมา องค์กรข่าวหลายแห่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของกูเกิล รวมถึงระบบ “AI Overviews” ที่อาจแย่งชิงปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ ทำให้รายได้จากโฆษณาและการบอกรับสมาชิก (subscription) ลดลง

ก่อนหน้านี้ บริษัทด้านการศึกษาออนไลน์อย่างเชกก์ (Chegg) ก็ได้ยื่นฟ้องกูเกิลด้วยข้อหาคล้ายคลึงกัน โดยอ้างว่าบทสรุปความที่สร้างโดย AI ของกูเกิล ทำให้ความต้องการเนื้อหาต้นฉบับลดลง และบั่นทอนศักยภาพในการแข่งขันของผู้ผลิตสื่อ

เพนสกี มีเดีย ซึ่งมีเนื้อหาที่สามารถดึงดูดผู้เข้าชมออนไลน์ได้ถึง 120 ล้านคนต่อเดือน ระบุว่า กูเกิลกำหนดเงื่อนไขว่า การที่เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์จะปรากฏในผลการค้นหาได้นั้น สำนักพิมพ์จะต้องยินยอมให้กูเกิลนำบทความไปใช้ในระบบสรุปความด้วย AI ด้วย

ในคำฟ้องระบุว่า หากไม่มีอำนาจต่อรองดังกล่าว กูเกิลจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่สำนักพิมพ์ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการนำผลงานไปเผยแพร่ต่อ หรือนำไปใช้เพื่อฝึกฝนระบบ AI ของตน คำฟ้องยังเสริมว่า ที่กูเกิลสามารถกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ได้ ก็เนื่องมาจากสถานะผู้ครอบงำตลาดการค้นหา โดยอ้างอิงถึงคำวินิจฉัยของศาลสหพันธรัฐเมื่อปีก่อน ซึ่งชี้ว่ากูเกิลครองส่วนแบ่งตลาดการค้นหาในสหรัฐฯ เกือบ 90%

“เรามีภาระหน้าที่ในการต่อสู้อย่างแข็งขันเพื่ออนาคตของสื่อดิจิทัลและรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องสมบูรณ์ของมัน ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังถูกคุกคามจากการกระทำของกูเกิลในปัจจุบัน” ตัวแทนของเพนสกีกล่าว

เพนสกีกล่าวหาว่า ประมาณ 20% ของผลการค้นหาในกูเกิลที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของบริษัท แสดงผลแบบ AI Overviews และคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากเครือข่ายพันธมิตรของบริษัทลดลงกว่าหนึ่งในสาม เมื่อเทียบกับช่วงที่เคยขึ้นไปสูงสุดภายในสิ้นปี 2567 เนื่องจากปริมาณการเข้าชมผ่านการค้นหาที่ลดลง

กูเกิลตอบโต้คดีความของเพนสกี โดยระบุว่าระบบ AI Overviews มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ใช้งาน และช่วยให้ผู้คนไปยังเว็บไซต์ที่หลากหลายมากขึ้น

“ด้วย AI Overviews ผู้คนจะพบว่า Search นั้นมีประโยชน์ยิ่งขึ้นและใช้งานบ่อยขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่การค้นพบเนื้อหา เราจะต่อสู้กับข้อกล่าวอ้างอันปราศจากมูลความจริงเหล่านี้” โฆษกของกูเกิลกล่าว

เจ้าของโรลลิงสโตนฟ้องกูเกิล เหตุใช้ AI สรุปข่าว

เจ้าของโรลลิงสโตนฟ้องกูเกิล เหตุใช้ AI สรุปข่าว ถือเป็นประเด็นที่น่าจับตามองในวงการสื่อและเทคโนโลยี เพราะสะท้อนถึงความท้าทายที่องค์กรสื่อต้องเผชิญในการปรับตัวเข้าสู่ยุค AI

การที่ระบบ AI สามารถสรุปเนื้อหาข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกที่จะอ่านบทสรุปแทนที่จะคลิกเข้าไปอ่านบทความฉบับเต็ม ส่งผลให้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของสำนักข่าวลดลง และกระทบต่อรายได้จากโฆษณาและการบอกรับสมาชิก

ทำไมเจ้าของโรลลิงสโตนถึงฟ้องกูเกิล?

สาเหตุหลักของการฟ้องร้องครั้งนี้ คือ เพนสกี มีเดีย มองว่ากูเกิลใช้ระบบ AI Overviews ในการนำเนื้อหาข่าวของตนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทเชื่อว่า กูเกิลมีอำนาจเหนือตลาดการค้นหา และกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมต่อสำนักข่าว

นอกจากนี้ เพนสกี ยังกังวลว่าการที่กูเกิลนำเนื้อหาข่าวไปใช้ในการฝึกฝนระบบ AI ของตน จะทำให้กูเกิลได้ประโยชน์จากผลงานของสำนักข่าว โดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

การฟ้องร้องครั้งนี้จึงเป็นความพยายามของเพนสกีในการปกป้องอนาคตของสื่อดิจิทัล และรักษาความถูกต้องสมบูรณ์ของเนื้อหาข่าวสาร

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

หากเพนสกี มีเดีย ชนะคดี อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อรูปแบบการทำงานของระบบ AI ในการสรุปเนื้อหาข่าวสาร และอาจนำไปสู่การเจรจาข้อตกลงใหม่ระหว่างบริษัทเทคโนโลยีและสำนักข่าว เกี่ยวกับการใช้เนื้อหาข่าวในการฝึกฝน AI

ในทางกลับกัน หากกูเกิลชนะคดี อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า บริษัทเทคโนโลยีมีสิทธิ์ที่จะใช้เนื้อหาข่าวสารในการฝึกฝน AI ได้อย่างเสรี โดยที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับสำนักข่าว

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญที่กำหนดอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างสื่อและเทคโนโลยี

คดีนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า องค์กรสื่อต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และหาทางสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ๆ นอกเหนือจากการโฆษณาและการบอกรับสมาชิกเพียงอย่างเดียว การสร้างความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี และการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและนำเสนอเนื้อหา อาจเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่า

ที่มา – เจ้าของนิตยสารโรลลิงสโตน-บิลบอร์ด ยื่นฟ้องกูเกิล เหตุใช้ AI Overviews ย่อยข่าวโดยพลการ

Meta ทุ่มทุน! ใช้คลาวด์ Google พัฒนา AI

มีรายงานว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้ทำข้อตกลงมูลค่ามหาศาลกับ Google เพื่อใช้บริการคลาวด์ในการพัฒนา AI ข้อตกลงนี้มีมูลค่าสูงถึงหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนครั้งใหญ่ของ Meta เพื่อเร่งพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้ทันคู่แข่งในตลาด

Meta ทำข้อตกลงหมื่นล้านดอลลาร์ใช้บริการคลาวด์ของ Google เพื่อพัฒนา AI

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า Meta จะจ่ายเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 6 ปี เพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของ Google Cloud ข้อตกลงนี้มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก Meta กำลังแข่งขันอย่างหนักเพื่อนำเสนอเครื่องมือ AI ที่ล้ำสมัยให้กับผู้ใช้งาน

ข้อตกลงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการร่วมมือด้านคลาวด์คอมพิวติ้งระหว่าง Meta และ Google โดย Google เป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อันดับสามของโลก รองจาก AWS ของ Amazon และ Azure ของ Microsoft การที่ Meta เลือกใช้บริการของ Google แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถของ Google Cloud ในการรองรับการพัฒนา AI ที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่

ทำไม Meta ถึงต้องพึ่งพา Google Cloud เพื่อพัฒนา AI?

แม้ว่า Meta จะมีศูนย์ข้อมูลเป็นของตัวเองอยู่แล้วกว่า 20 แห่ง และกำลังสร้างเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ในรัฐลุยเซียนา แต่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ต้องการที่จะเร่งการพัฒนา AI ให้เร็วยิ่งขึ้น การสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องใช้เวลาหลายปี การใช้บริการคลาวด์ของ Google จึงเป็นทางเลือกที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า

ซักเคอร์เบิร์กตั้งเป้าที่จะมอบกำลังการประมวลผลให้มากที่สุดต่อนักวิจัย AI หนึ่งคน การเข้าถึงทรัพยากรคลาวด์ขนาดใหญ่ของ Google ช่วยให้ Meta สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้นักวิจัยของ Meta สามารถทดลองและพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร

แหล่งข่าวเพิ่มเติมว่า ข้อตกลงระหว่าง Meta และ Google จะเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เป็นหลัก ในรายงานผลประกอบการล่าสุด Meta คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายรวมสำหรับปี 2568 จะอยู่ในช่วง 1.14-1.18 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการลงทุนอย่างมหาศาลของ Meta ในการพัฒนา AI นอกจากนี้ Meta ยังลงทุนจำนวนมากในโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรด้าน AI เพื่อสร้างโมเดล Llama และเพิ่มขีดความสามารถของ AI ในบริการทั้งหมดของ Meta

การที่ Meta ทำข้อตกลงหมื่นล้านดอลลาร์ใช้บริการคลาวด์ของ Google เพื่อพัฒนา AI สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Meta ในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Meta ยังคงเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก

Meta ทำข้อตกลงหมื่นล้านดอลลาร์ใช้บริการคลาวด์ของ Google เพื่อพัฒนา AI แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด AI และความสำคัญของการเข้าถึงทรัพยากรการประมวลผลขนาดใหญ่ การที่ Meta เลือก Google Cloud เป็นพันธมิตรในการพัฒนา AI เป็นการตัดสินใจที่น่าสนใจ และน่าติดตามว่าความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในวงการ AI อย่างไร

โดยสรุปแล้ว การที่ Meta ทำข้อตกลงหมื่นล้านดอลลาร์ใช้บริการคลาวด์ของ Google เพื่อพัฒนา AI เป็นการลงทุนที่สำคัญและมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การตัดสินใจนี้จะช่วยให้ Meta สามารถเร่งการพัฒนา AI และนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ล้ำสมัยให้กับผู้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต

ที่มา – สื่อเผย Meta ทำข้อตกลงหมื่นล้านดอลลาร์ใช้บริการคลาวด์ของ Google เพื่อพัฒนา AI