การรถไฟ

รฟท.ฟ้องเพิกถอนเขากระโดง 15 แปลง

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เดินหน้ายื่นฟ้องเพิกถอนผู้ครอบครองที่ดินบริเวณเขากระโดงเพิ่มเติมอีก 15 แปลง โดยระบุว่าเป็นกลุ่มผู้ถือครองที่ดินจำนวนมาก และยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ภายหลังจากที่ รฟท. ได้ดำเนินการฟ้องร้องเพิกถอน หรือฟ้องขับไล่ ผู้ที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 บริเวณแยกเขากระโดง ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ล่าสุดได้มีการยื่นฟ้องเพิ่มเติมต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์อีกครั้ง

การฟ้องร้องเพิ่มเติมนี้เกี่ยวข้องกับบริษัทนิติบุคคลและผู้ครอบครองที่ดินแปลงใหญ่ ซึ่งนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ได้แก่ ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 3477, 24091, 3476, 3742, 3743, 115572, 9160, 3285 และ 30222 โดยได้ยื่นฟ้องไปเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568

และในวันที่ 24 ตุลาคม 2568 นี้เอง รฟท. ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์เพิ่มเติมอีกจำนวน 15 แปลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ที่ครอบครองที่ดินไว้เป็นจำนวนมาก ประกอบด้วย ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 600, 601, 602, 1095, 1096, 2767, 2869, 3188, 3195, 3863, 8626, 8662, 8811, 9235 และ 25091

รายงานข่าวจาก รฟท. ยังระบุถึงกรณีที่ศาลฎีกาที่ 842-876/2560 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษายืนตามศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของชาวบ้านจำนวน 35 ราย ในเขตพื้นที่ ต.เสม็ด และ ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ว่า

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รฟท. ได้ร่วมกับสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทำการไกล่เกลี่ยคดีกับชาวบ้านทั้ง 35 ราย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ รฟท. กำลังดำเนินการทำสัญญาให้เช่าที่ดินกับชาวบ้านกลุ่มดังกล่าว

รฟท. ขอยืนยันหนักแน่นว่า พื้นที่พิพาทกรณีเขากระโดง เป็นพื้นที่ของการรถไฟฯ เพื่อให้ข้อพิพาทและความสับสนที่เกิดขึ้นในสังคมยุติลง รฟท. จึงจำเป็นต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์สิทธิ และเชื่อมั่นว่าศาลยุติธรรมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การดำเนินการฟ้องร้องในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อรักษาทรัพย์สินของทางราชการ และเพื่อประโยชน์สูงสุดของ รฟท. เอง

รฟท.ฟ้องเพิกถอนเขากระโดง 15 แปลง

การดำเนินการทางกฎหมายของ รฟท. ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสิทธิในที่ดินของตนเอง และแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมานาน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาที่ดินบริเวณเขากระโดงนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วย

ทำไม รฟท. ต้องฟ้องเพิกถอนเขากระโดง 15 แปลง เพิ่มเติม?

เหตุผลหลักที่ รฟท. ต้องดำเนินการฟ้องร้องเพิ่มเติม คือ เพื่อยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดิน และป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ นอกจากนี้ การฟ้องร้องยังเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปอย่างถูกต้อง และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

  • การรักษาทรัพย์สินของรัฐ: รฟท. มีหน้าที่ในการดูแลและรักษาทรัพย์สินของรัฐ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
  • การแก้ไขปัญหาข้อพิพาท: การฟ้องร้องเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ช่วยแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินอย่างเป็นธรรม
  • การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน: การจัดการที่ดินอย่างถูกต้อง จะนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนในระยะยาว

การแก้ไขปัญหาที่ดินบริเวณเขากระโดง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการใดๆ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อทุกฝ่าย และหาทางออกที่ยั่งยืนร่วมกัน

การฟ้องร้อง รฟท.ฟ้องเพิกถอนเขากระโดง 15 แปลง ครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ดินที่ซับซ้อนและยาวนาน การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ที่มา – รฟท.ยื่นฟ้องเพิกถอน เขากระโดง เพิ่มอีก 15แปลง ชี้เป็นกลุ่มถือครองที่ดินจำนวนมาก

รฟท. ย้ำ! ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของการรถไฟ

การรถไฟแห่งประเทศไทย ย้ำคำพิพากษาศาลปกครอง วินิจฉัยตามเอกสารการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง พ.ศ. 2462 – 2465 ถือเป็นที่สุด

วันที่ 21 ส.ค. 68 การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีข้อพิพาทบริเวณ “ที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง” จ.บุรีรัมย์ โดยอ้างอิงคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ซึ่งวินิจฉัยยืนยันอย่างชัดเจนว่าที่ดินทั้งหมดในบริเวณดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อันเป็นที่ดินของรัฐ

1. เอกสารการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง ประกอบด้วย

  • 1.1 พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวง ต่อจาก นครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ประกาศ ณ วันที่ 8 พ.ย.2462 ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2462 (รัชกาลที่ 6)
  • 1.2 พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ประกาศ ณ ลงวันที่ 7 พ.ย.2464 ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 พ.ย.2464 (รัชกาลที่ 6)
  • 1.3 พระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464
  • 1.4 แผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ อนึ่ง ทางสายหลัก จะเป็นแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ ตอนที่ 2 ตั้งแต่ ต.ท่าช้าง จ.นครราชสีมา ถึง จ.สุรินทร์

2. การแจ้งการครอบครองที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง

ในปี พ.ศ.2497 มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 บัญญัติให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ การรถไฟฯ จึงดำเนินการแจ้งการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิการครอบครองที่ดินตามที่ปรากฏในแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ อันเป็นที่มาของใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (สค.1) เลขที่ 1180 เนื้อที่ 5,083 ไร่ 80 ตารางวา

3. ขอบเขตที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง

การกำหนดขอบเขตที่ดินเริ่มจากการที่ข้าหลวงพิเศษและกรมรถไฟแผ่นดิน เห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้หิน ดิน และวัสดุอื่นๆ สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟและการเดินรถ จึงสำรวจและวางแนวทางรถไฟแยกออกจากเส้นทางรถไฟสายนครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี (เส้นทางสายหลัก) บริเวณกิโลเมตรที่ 375+650 ออกไปเพื่อทำทางรถไฟเข้าไปขนหินย่อยที่เขากระโดงและบ้านตะโก เป็นระยะทางรวม 8 กิโลเมตร โดยจากผลการสำรวจปรากฏว่ามีผู้ครอบครองที่ดินบริเวณตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 18 ราย ซึ่งอยู่ช่วง กม. 0 ถึง กม.4+450 แต่ช่วงระยะทางจาก กม. 4+450 ถึง กม. 8+000 มีความกว้างจากกึ่งกลางแนวกรุยทางรถไฟข้างละ 1,000 เมตร

ในขณะนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่า มีสภาพเป็นป่าไม้และเป็นที่เนินเขา ไม่มีเจ้าของ กรมรถไฟจึงจ่ายค่าทำขวัญแก่ผู้ครอบครองที่ดิน จำนวน 18 ราย ตามหนังสือกรมรถไฟแผ่นดิน เลขที่ ค.อ. 508/67 ลงวันที่ 24 พ.ย.2467 และเข้าครอบครองกำหนดให้เป็นที่ดินรถไฟ เพื่อประโยชน์แก่กิจการรถไฟสำหรับลำเลียงหิน ระเบิดหินและย่อยหินบริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง เพื่อใช้ในการก่อสร้างและเดินรถไฟ

การที่มีผู้กล่าวอ้างว่า ที่ดินรถไฟเขากระโดงควรมีระยะห่างออกไปข้างละ 40 เมตร นั้น เป็นกรณีที่ระบุแนวเขตที่ดินรถไฟสำหรับทางรถไฟสายระหว่างย่านสถานีเท่านั้น ไม่รวมย่านสถานี หรือย่านเก็บกองสินค้า หรือบริเวณที่เป็นแหล่งวัสดุในการสร้างทางรถไฟ แต่อย่างใด

4. การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ดินว่างเปล่า พ.ศ.2478

ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ นั้น เป็นที่ดินที่จัดหามาเพื่อใช้ในกิจการรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คือ ห้ามไม่ให้ยกกำหนดอายุความขึ้นต่อสู้สิทธิของแผ่นดินเหนือที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นของรถไฟ และห้ามมิให้เอกชนหรือบริษัทใดๆ หวงห้ามหรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น การได้มาซึ่งที่ดินบริเวณดังกล่าวจึงได้มาก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอันเป็นที่ดินว่างเปล่า พ.ศ.2478

การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 และรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นเจ้าของถือกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ การที่ราษฎรอ้างว่าจับจองที่ดินบริเวณดังกล่าวก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงเป็นการขัดต่อกฎหมาย ไม่ทำให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่กล่าวอ้างได้

5. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 เลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า ที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และที่ดินที่บริเวณที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ คำพิพากษาดังกล่าวจึงใช้ยันบุคคลภายนอกได้ มิได้มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี ตามมาตรา 145 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เท่านั้น ทั้งนี้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 หมายเลขแดงที่ 582/2566

การรถไฟแห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินของรัฐ อันเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ การรถไฟฯ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิที่ทับซ้อนกับที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ มาโดยตลอด เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของรัฐและเป็นการป้องกันมิให้เกิดผลเสียหายต่อประชาชน ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงกระบวนการบริหารจัดการของรัฐ โดยได้เตรียมมาตรการรองรับสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนเอกสารสิทธิของกรมที่ดินด้วย

คำพิพากษาศาลปกครองกลางเป็นที่สุด และมีผลผูกพันทุกฝ่าย โดยที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดงตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ อยู่ในท้องที่ ต.อิสาณ และ ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ซึ่งทุกภาคส่วนควรเคารพต่อคำพิพากษาอันเป็นบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย

การรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ถือเป็นที่สุด และมีผลผูกพันทุกฝ่าย ว่าที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ บริเวณ ต.อิสาณ ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย อันเป็นที่ดินของรัฐ การออกเอกสารสิทธิในที่ดินทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทุกภาคส่วนควรเคารพต่อคำพิพากษาอันเป็นบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย โดยการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายในการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าว เพื่อนำที่ดินมาเป็นของรัฐต่อไป

การรถไฟ ย้ำคำพิพากษาศาลปกครอง ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของ รฟท.

ทำไมเรื่องที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ถึงสำคัญ?

เรื่องที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของการรถไฟนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการยืนยันสิทธิ์ในที่ดินของรัฐ และเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม การรถไฟฯ มีหน้าที่ในการบริหารจัดการที่ดินดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ การที่ศาลปกครองมีคำพิพากษายืนยันสิทธิ์ของการรถไฟฯ จึงเป็นการสร้างความชัดเจน และเป็นบรรทัดฐานในการจัดการที่ดินของรัฐต่อไป

การดำเนินการเพื่อรักษาสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของการรถไฟจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจ และติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม

ดังนั้น การที่การรถไฟฯ ออกมาย้ำคำพิพากษาในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะปกป้องรักษาสิทธิ์ในที่ดินของรัฐ และพร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของการรถไฟอย่างถูกต้องต่อไป

ที่มา – การรถไฟ ย้ำคำพิพากษาศาลปกครอง ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของ รฟท.