อินเดีย

ปูติน พบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกพลังงาน


ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน ที่จีน! ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เตรียมหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่ประเทศจีน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระชับความร่วมมือด้านพลังงาน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน 17 ตุลาคม 2566 (ภาพ: thaigov.go.th)

ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียต้องการรักษาและขยายตลาดพลังงานของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยุโรปลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียลงอย่างมาก

สำหรับอินเดีย ปูตินต้องการสร้างความมั่นใจว่าโมดีจะยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในปริมาณมหาศาลต่อไป แม้ว่าอินเดียจะเผชิญกับแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาให้ลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียก็ตาม

ในส่วนของจีน ปูตินหวังว่าจีนจะแสดงบทบาทในการสนับสนุนรัสเซียอย่างแข็งขัน รวมถึงการเปิดใช้งานท่อส่งก๊าซที่ถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลานาน เพื่อช่วยชดเชยการสูญเสียตลาดพลังงานในยุโรป

มีรายงานว่า การพบปะกันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของผู้นำทั้งสามนับตั้งแต่การประชุมสุดยอดในรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว โดยผู้นำจากชาติมหาอำนาจเหล่านี้จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ซึ่งจะเริ่มในวันอาทิตย์นี้

ความสำคัญของความร่วมมือด้านพลังงาน

นับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน ความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างรัสเซีย อินเดีย และจีน มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น รายงานจากศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาด (CREA) ระบุว่า อินเดียและจีนซื้อพลังงานจากรัสเซียรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณที่รัสเซียส่งออกทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2566

อเล็กซานเดอร์ กาบูเอฟ ผู้อำนวยการศูนย์คาร์เนกีรัสเซียยูเรเชีย กล่าวว่า ความสัมพันธ์กับจีนและอินเดียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรัสเซีย เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ และจีนและอินเดียยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของรัสเซียต่อไป

นอกเหนือจากผู้นำรัสเซียและอินเดียแล้ว การประชุม SCO ยังมีผู้นำจากประเทศอื่นๆ เข้าร่วมด้วย อาทิ ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ผู้นำเบลารุส, ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ผู้นำอิหร่าน, ชาห์บาซ ชารีฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน, ประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ผู้นำตุรกี, ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย, ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา, อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม

การหารือในครั้งนี้จึงเป็นที่จับตาว่า ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน ครั้งนี้จะนำไปสู่ข้อตกลงที่สำคัญอย่างไร และจะมีผลกระทบต่อตลาดพลังงานโลกอย่างไรบ้าง

ที่มา – ปูติน เตรียมพบ โมดี-สี สุดสัปดาห์นี้ ถกความร่วมมือพลังงาน

อินเดียต่อเวลายกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปี

รัฐบาลอินเดียได้ประกาศขยายเวลาการยกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปี เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอภายในประเทศที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งทออินเดียในตลาดโลก

อินเดียต่อเวลายกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปี

อินเดียเป็นผู้ผลิตฝ้ายรายใหญ่อันดับสองของโลก และการยกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปีนี้ ถือเป็นมาตรการต่อเนื่องจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลดภาษีนำเข้าฝ้ายจาก 11% ลงเหลือ 0% โดยการขยายเวลาครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ผลิตสิ่งทอสามารถเข้าถึงวัตถุดิบในราคาที่แข่งขันได้

การตัดสินใจของอินเดียเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้เริ่มใช้มาตรการภาษีใหม่ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดียเป็นสองเท่า สูงสุดถึง 50% สำหรับสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อผู้ส่งออกอินเดีย

อตุล คณาทรา ประธานสมาคมฝ้ายอินเดีย กล่าวว่า การยกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปี จะช่วยให้บริษัทสิ่งทอสามารถนำเข้าฝ้ายได้ในราคาที่ถูกลง และยังช่วยลดแรงกดดันจากความต้องการในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอีกด้วย

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การขยายเวลาการยกเว้นภาษีฝ้ายในครั้งนี้ อาจส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าฝ้ายของอินเดียพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.2 ล้านมัดภายในปีนี้ และคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า โดยปีการตลาดฝ้ายรอบใหม่ของอินเดียจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ไปจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอจากการยกเว้นภาษีนำเข้าฝ้าย

การยกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปี ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอของอินเดียในหลายด้าน ดังนี้:

  • ลดต้นทุนการผลิต: การนำเข้าฝ้ายโดยไม่มีภาษี ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของโรงงานทอผ้าลดลง ส่งผลให้สินค้าสิ่งทอมีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้นในตลาดโลก
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: เมื่อต้นทุนลดลง ผู้ผลิตสามารถนำเงินส่วนต่างไปลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์
  • รักษาตลาดส่งออก: การที่สินค้ามีราคาที่แข่งขันได้ จะช่วยให้ผู้ส่งออกอินเดียสามารถรักษาตลาดเดิม และขยายตลาดใหม่ได้ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ
  • ส่งเสริมการจ้างงาน: เมื่ออุตสาหกรรมสิ่งทอเติบโต ย่อมส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกฝ้าย ไปจนถึงพนักงานในโรงงานผลิตเสื้อผ้า

อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเสี่ยงหากเกิดปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น อินเดียควรส่งเสริมการผลิตฝ้ายภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอในระยะยาว

โดยรวมแล้ว การตัดสินใจของรัฐบาลอินเดียในการขยายเวลาการยกเว้นภาษีนำเข้าฝ้าย ถือเป็นการช่วยเหลือที่ตรงจุดและทันท่วงที ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมสิ่งทอของอินเดียสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ และรักษาการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ที่มา – อินเดียต่อเวลายกเว้นภาษีนำเข้าฝ้ายถึงสิ้นปี รับมือแรงกดดันจากภาษีทรัมป์

อินเดียอ่วม! มาตรการภาษีทรัมป์สูง 50% มีผลแล้ว

มาตรการภาษีทรัมป์สูง 50% ที่เรียกเก็บจากสินค้าของอินเดีย เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ (27 ส.ค.) สร้างความกังวลถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรง มาตรการนี้ถูกนำมาใช้โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อตอบโต้ที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นการสนับสนุนทางการเงินแก่รัสเซียในสงครามยูเครน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อสามสัปดาห์ก่อน เพื่อเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรเป็นสองเท่า จากเดิม 25% เป็น 50% ทำให้อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ต้องเผชิญกับอัตราภาษีการค้าสูงสุดของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับบราซิล การตัดสินใจนี้สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาล นเรนทรา โมดี เป็นอย่างมาก

มาตรการภาษีทรัมป์สูง 50% กระทบเศรษฐกิจอินเดีย?

อัตราภาษี 50% ที่รัฐบาลอินเดียวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ยุติธรรมนั้น จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของอินเดีย ตลอดจนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าจะทำให้ราคาสินค้าอินเดียในสหรัฐฯ สูงขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และปริมาณการส่งออกอาจลดลงอย่างมาก ภาคธุรกิจของอินเดียต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการจ้างงานและการลงทุน

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียด้วย ความบาดหมางที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียอาจทำให้ความร่วมมือในกลุ่ม Quad ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ต้องหยุดชะงัก กลุ่ม Quad ถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียสั่นคลอน อาจทำให้ความพยายามในการคานอำนาจจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

ผลกระทบอื่นๆ นอกเหนือจากเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีทรัมป์สูง 50%

นอกจากประเด็นเรื่องน้ำมันแล้ว ทรัมป์ยังได้ตำหนิอินเดียในเรื่องการซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารจากรัสเซีย แม้ว่าที่ผ่านมา ทรัมป์จะมองว่าอินเดียเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการคานอำนาจจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกก็ตาม การที่อินเดียยังคงซื้ออาวุธจากรัสเซีย ทำให้สหรัฐฯ มองว่าอินเดียไม่ได้ให้ความสำคัญกับการลดการพึ่งพารัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก

อย่างไรก็ดี ทรัมป์กลับลดท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจีนจะเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของรัสเซียก็ตาม การเปลี่ยนแปลงท่าทีของทรัมป์ ทำให้เกิดคำถามถึงความสอดคล้องของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และอาจสร้างความสับสนให้กับพันธมิตรในภูมิภาค

ในช่วงกลางเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา นายนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย เป็นผู้นำเอเชียคนที่สองรองจากนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ผู้นำญี่ปุ่น ที่ได้เข้าพบกับทรัมป์แบบตัวต่อตัว นับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งวาระสองในทำเนียบขาว การพบปะกันครั้งนั้นถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่มาตรการภาษีทรัมป์สูง 50% นี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยราบรื่นต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์ทางการทูต การที่อินเดียต้องเผชิญกับมาตรการภาษีที่สูงขึ้น อาจทำให้ต้องพิจารณาทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ๆ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และรักษาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจต่างๆ

ที่มา – อินเดียอ่วม มาตรการภาษีทรัมป์สูง 50% มีผลแล้ววันนี้ คาดกระทบศก.รุนแรง

ญี่ปุ่นจ่อลงทุน AI-ชิปในอินเดีย 6.8 หมื่นล้าน

ญี่ปุ่นเตรียมลงทุนครั้งใหญ่ในอินเดีย! ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า โดยเน้นหนักไปที่เทคโนโลยี AI และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง 8 สาขาสำคัญ ได้แก่ คมนาคม สิ่งแวดล้อม และการแพทย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ เตรียมประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 10 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการประชุมสุดยอดกับ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งจะจัดขึ้นในวันศุกร์นี้ การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซมิคอนดักเตอร์ สามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดอินเดียได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ แผนการดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้แรงงานผู้เชี่ยวชาญชาวอินเดียได้เข้าทำงานในบริษัทญี่ปุ่นมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจอินเดียผ่านความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ

นายกฯ โมดีมีกำหนดเดินทางถึงญี่ปุ่นในวันศุกร์นี้ โดยผู้นำทั้งสองตั้งใจที่จะปรับปรุง ‘การประกาศร่วมด้านความมั่นคง’ ระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือในทุกมิติ

ญี่ปุ่นจ่อลงทุน 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในอินเดียระยะ 10 ปี เน้นด้าน AI-ชิป

การหารือในครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการแลกเปลี่ยนผู้วิจัยรุ่นใหม่ในด้าน AI ภายใต้ข้อตกลง AI Cooperation Initiative รวมถึงแผนการใช้แอปพลิเคชัน AI เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมต่างๆ ที่อินเดียกำลังเผชิญอยู่

ทำไมอินเดียถึงให้ความสำคัญกับญี่ปุ่นในด้าน AI และชิป?

อินเดียเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของญี่ปุ่นในด้านวัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยนายกฯ อิชิบะและนายกฯ โมดีจะเยี่ยมชมโรงงานผลิตอุปกรณ์ชิปของบริษัทโตเกียว อิเล็กตรอน (Tokyo Electron) ในจังหวัดมิยากิ เพื่อให้ญี่ปุ่นได้แสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีของตน

การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

  • โอกาสสำหรับบริษัทญี่ปุ่นในการขยายตลาดไปยังอินเดีย
  • การสร้างงานและพัฒนาทักษะสำหรับแรงงานชาวอินเดีย
  • การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ
  • การแก้ไขปัญหาสังคมด้วยเทคโนโลยี AI

ญี่ปุ่นจ่อลงทุน 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในอินเดียระยะ 10 ปี เน้นด้าน AI-ชิป ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ การลงทุนครั้งนี้จะช่วยผลักดันให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ ในขณะเดียวกันก็เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอีกด้วย

อนาคตของเทคโนโลยี AI และชิปในอินเดียดูสดใสอย่างยิ่ง ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากญี่ปุ่น คาดว่าจะมีการพัฒนาและนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ที่มา – ญี่ปุ่นจ่อลงทุน 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในอินเดียระยะ 10 ปี เน้นด้าน AI-ชิป

Fitch คงอันดับเครดิตอินเดีย “BBB-” ชี้เศรษฐกิจแกร่ง

ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของอินเดียไว้ที่ระดับ “BBB-” ในวันนี้ (25 ส.ค.) โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพด้านการเงินระหว่างประเทศ แม้ว่าการขยายตัวจะชะลอลงบ้างในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ตาม

Fitch คงอันดับเครดิตอินเดียที่ “BBB-” ชี้เศรษฐกิจยังโตแกร่ง

ในแถลงการณ์ของฟิทช์ระบุว่า “แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มเดียวกัน” พร้อมคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของอินเดียสำหรับปีงบประมาณ 2569 (สิ้นสุดเดือนมี.ค. 2569) จะขยายตัวที่ 6.5% เท่ากับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ “BBB” ซึ่งอยู่ที่ 2.5% อย่างมาก

การประกาศของฟิทช์มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่สถาบันจัดอันดับ เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P Global Ratings) ได้ประกาศปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี โดยอ้างถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเช่นกัน ซึ่งในขณะนั้น อนุรธา ฐากุร ปลัดกระทรวงกิจการเศรษฐกิจของอินเดีย ได้แสดงความคาดหวังว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งอื่น ๆ จะพิจารณาปัจจัยดังกล่าวและเดินรอยตาม S&P

ฟิทช์ระบุว่า อุปสงค์ภายในประเทศจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องของภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชนที่มั่นคง อย่างไรก็ดี ฟิทช์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการลงทุนภาคเอกชนอาจขยายตัวไม่มากนัก เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ขู่ว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าจากอินเดียอีกเท่าตัวเป็น 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่สหรัฐฯ ใช้กับคู่ค้า เพื่อตอบโต้ที่อินเดียสั่งซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยภาษีศุลกากร 50% จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 ส.ค.นี้

“มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญระดับปานกลางต่อการคาดการณ์ของเรา” ฟิทช์กล่าว พร้อมเสริมว่า มาตรการดังกล่าวจะทำให้อินเดียเสียโอกาสในการรับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน หากการเจรจาลดภาษีไม่เป็นผลสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แผนการปฏิรูปภาษีสินค้าและบริการ (GST) ตามที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้ให้คำมั่นไว้เมื่อต้นเดือน หากมีผลบังคับใช้ ก็จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและบรรเทาความเสี่ยงต่อการเติบโตดังกล่าวได้บางส่วน

จากการที่ Fitch คงอันดับเครดิตอินเดียที่ “BBB-” ชี้เศรษฐกิจยังโตแกร่ง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว แต่ก็ต้องติดตามความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกอย่างใกล้ชิด

ทำไม Fitch ถึงคงอันดับเครดิตอินเดียที่ “BBB-”?

เหตุผลหลักที่ Fitch คงอันดับเครดิตของอินเดียไว้ที่ “BBB-” คือการที่เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ แม้ว่าในระยะหลังจะมีการชะลอตัวลงบ้างก็ตาม นอกจากนี้ Fitch ยังมองว่าการลงทุนของภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชนที่มั่นคง จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจอินเดียในอนาคต

การที่ Fitch คงอันดับเครดิตของอินเดียไว้ที่ระดับเดิม ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักลงทุน เพราะสะท้อนให้เห็นว่า Fitch ยังคงมีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ควรพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดียด้วย เช่น มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

โดยสรุปแล้ว การที่ Fitch คงอันดับเครดิตอินเดียที่ “BBB-” ชี้เศรษฐกิจยังโตแกร่ง เป็นข่าวดีที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอินเดีย แต่ก็ต้องไม่ประมาทและติดตามความเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา – Fitch คงอันดับเครดิตอินเดียที่ “BBB-” ชี้เศรษฐกิจยังโตแกร่ง

สหรัฐฯ ยกเลิกเยือนอินเดีย ส่อแววภาษี 50%

อินเดียยืนยันสิทธิ์ในการตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ท่ามกลางการเจรจาทางการค้าที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกับสหรัฐฯ แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการภาษีใหม่ที่จ่อคิวเข้ามา

ภาษีที่กำลังจะถูกบังคับใช้เป็นผลมาจากการที่อินเดียเพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่งผลให้สินค้าจากอินเดียถูกเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึง 50% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยกำหนด โดยปัจจุบันมีการเรียกเก็บไปแล้ว 25% และอีก 25% ที่เหลือจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้

การยกเลิกการเดินทางเยือนกรุงนิวเดลีของคณะผู้แทนการค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเดิมทีมีกำหนดระหว่างวันที่ 25-29 สิงหาคม ส่งผลให้โอกาสในการเจรจาเพื่อลดหย่อนหรือเลื่อนการจัดเก็บภาษี 50% ดังกล่าวแทบจะเป็นศูนย์

สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย กล่าวย้ำในเวที Economic Times ที่กรุงนิวเดลีว่า อินเดียมีเส้นแดงหรือข้อจำกัดที่ไม่สามารถยอมอ่อนข้อหรือประนีประนอมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย

ก่อนหน้านี้ การหารือทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศต้องหยุดชะงักไปเมื่อต้นปี เนื่องจากอินเดียปฏิเสธที่จะเปิดตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมขนาดใหญ่ให้แก่สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการค้ารวมระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 และอันดับ 1 ของโลกตามลำดับ ยังคงมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

จนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50%

การที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50% สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว

ผลกระทบจากการที่ จนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50%

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่จนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50% นั้นมีหลายด้านด้วยกัน:

  • ด้านเศรษฐกิจ: สินค้าอินเดียอาจมีราคาสูงขึ้นเนื่องจากภาษี ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
  • ด้านการค้า: ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ อาจตึงเครียดมากขึ้น
  • ด้านการลงทุน: นักลงทุนอาจลังเลที่จะลงทุนในอินเดียเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้า

อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงยืนยันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

การที่จนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50% นับเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับทั้งสองประเทศ แต่ก็เป็นโอกาสที่จะทบทวนและปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

สิ่งที่น่าจับตามองต่อไปคือท่าทีของทั้งสองฝ่ายว่าจะมีการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาจนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50% นี้อย่างไร และจะมีมาตรการใดออกมาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว

การที่ จนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50% อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศในวงกว้าง ดังนั้น การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา – จนท.สหรัฐฯ ยกเลิกการเยือนอินเดีย ทำลายความหวังเลื่อนภาษี 50%

OpenAI เตรียมเปิดสำนักงานในอินเดีย: อัปเดตล่าสุด

ข่าวใหญ่มาแล้ว! OpenAI เตรียมเปิดสำนักงานแห่งแรกในอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี ภายในปีนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดสู่ประเทศที่มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล และมีความต้องการ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มาดูกันว่าการเคลื่อนไหวนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาด AI ในอินเดียอย่างไรบ้าง

OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในอินเดียเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการสรรหาบุคลากรท้องถิ่นเพื่อเข้าร่วมทีม การลงทุนในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OpenAI ที่จะสร้างสรรค์ AI ที่เข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในอินเดียโดยเฉพาะ

OpenAI เตรียมเปิดสำนักงานแห่งแรกในอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี

อินเดียเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับ ChatGPT ด้วยจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกือบพันล้านคน OpenAI จึงได้เปิดตัวแพ็กเกจบริการรายเดือนราคาพิเศษเพียง 399 รูปี (ประมาณ 149 บาท) เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น OpenAI ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายในอินเดียเช่นกัน

บรรดาสำนักข่าวและสำนักพิมพ์ในอินเดียได้กล่าวหาว่า OpenAI นำเนื้อหาของตนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตในการฝึกฝน ChatGPT ซึ่งทาง OpenAI ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และยืนยันว่าจะดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น

ทำไม OpenAI ถึงให้ความสำคัญกับตลาดอินเดีย?

เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ OpenAI ตัดสินใจขยายธุรกิจสู่ตลาดอินเดีย มีดังนี้:

  • จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมหาศาล: อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และมีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเกือบหนึ่งพันล้านคน
  • ความต้องการ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว: ความสนใจใน AI ในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และผู้ประกอบการ
  • โอกาสในการสร้างสรรค์ AI สำหรับอินเดีย: OpenAI ต้องการที่จะพัฒนา AI ที่ตอบโจทย์ความต้องการและบริบทของอินเดียโดยเฉพาะ

แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า “การเปิดสำนักงานแห่งแรกและสร้างทีมงานในท้องถิ่นนี้ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในพันธกิจของเรา ที่จะทำให้ AI ขั้นสูงสามารถเข้าถึงได้ทั่วทั้งประเทศ ตลอดจนเพื่อสร้างสรรค์ AI สำหรับอินเดีย ด้วยความร่วมมือกับอินเดีย”

อย่างไรก็ตาม OpenAI จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งอย่าง Gemini ของ Google และ Perplexity ซึ่งทั้งสองรายต่างก็มีบริการ AI ที่น่าสนใจและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ใช้งานในอินเดีย

ข้อมูลล่าสุดจาก OpenAI ระบุว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งาน ChatGPT ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษามากที่สุด และจำนวนผู้ใช้งานรายสัปดาห์ในประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่าตัวในปีที่ผ่านมา ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดอินเดียและโอกาสในการเติบโตของ OpenAI

OpenAI เตรียมเปิดสำนักงานแห่งแรกในอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง การเข้ามาของ OpenAI จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและนำ AI ไปใช้อย่างแพร่หลายในอินเดียมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย การแข่งขัน และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน

การขยายตลาดของ OpenAI ในครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป? คงต้องติดตามดูกันต่อไปครับ

ที่มา – OpenAI เตรียมเปิดสำนักงานแห่งแรกในอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี ภายในปีนี้

เครื่องสำอางระดับโลก แห่ลงทุนอินเดีย ตลาดโต 5 เท่า!

บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดียกันยกใหญ่! ตั้งแต่ Shiseido จากญี่ปุ่น ไปจนถึง L’Oreal จากฝรั่งเศส ต่างเล็งเห็นโอกาสในตลาดอินเดีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และมีศักยภาพการเติบโตของตลาดสินค้าระดับพรีเมียมที่สูงมาก สวนทางกับยอดขายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เริ่มชะลอตัว

Kearney บริษัทที่ปรึกษา และ LUXASIA ผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอางหรู คาดการณ์ว่าตลาดผลิตภัณฑ์ความงามระดับหรูของอินเดียจะเติบโตถึง 5 เท่า จาก 800 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2578 ปัจจัยหลักมาจากกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อย มีฐานะดี และเชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดีย กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมจ่ายมากขึ้นเพื่อผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า

แม้ว่าปัจจุบัน ตลาดความงามระดับหรูในอินเดียจะมีสัดส่วนเพียง 4% ของตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลทั้งหมด (มูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์) แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (8-24%) หรือตลาดพัฒนาแล้วอย่างจีนและสหรัฐฯ (25-48%) จะเห็นได้ว่าอินเดียยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เรียกได้ว่า บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดีย ก็เพราะเห็นช่องทางนี้แหละ!

L’Oreal ประกาศว่ากำลังลงทุนเพิ่มในอินเดีย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความงามที่เพิ่มขึ้นของผู้หญิงอินเดียรุ่นใหม่ ที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้า

Estee Lauder บริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เจ้าของแบรนด์ Clinique และ MAC มองว่าอินเดียเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว สวนทางกับยอดขายในอเมริกาและเอเชีย-แปซิฟิกที่เริ่มซบเซา ผู้จัดการทั่วไปของ Estee Lauder ประจำอินเดียกล่าวว่า อินเดียถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญที่สุดของบริษัท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Estee Lauder ตั้งเป้าไปที่ผู้หญิงอินเดียจำนวนมากถึง 60 ล้านคน

Amorepacific จากเกาหลีใต้ เจ้าของแบรนด์ Innisfree และ Etude พยายามใช้กระแสความคลั่งไคล้ K-Beauty ในอินเดีย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาด รวมถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง คลีนเซอร์ เซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด

Shiseido จากญี่ปุ่น ได้นำแบรนด์ NARS เข้าสู่เว็บไซต์ของร้านค้าปลีกความงาม Nykaa ในอินเดียแล้ว และวางแผนที่จะเร่งการเติบโตของแบรนด์ในประเทศ

บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดีย

ทำไมบริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดีย? เพราะอินเดียกำลังกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งใหม่ของตลาดความงามระดับโลก ด้วยจำนวนประชากรที่มหาศาล กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และความนิยมในผลิตภัณฑ์ความงามที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมบริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดีย?

  • ประชากรมหาศาล: อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ทำให้มีผู้บริโภคจำนวนมาก
  • กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น: เศรษฐกิจอินเดียกำลังเติบโต ทำให้ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น
  • ความนิยมในผลิตภัณฑ์ความงาม: ชาวอินเดียให้ความสำคัญกับความงามและดูแลตัวเองมากขึ้น
  • อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย: โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และความต้องการในผลิตภัณฑ์ความงาม

สรุป: บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดีย เพราะเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตที่มหาศาลในตลาดแห่งนี้ การลงทุนในอินเดียจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบริษัทเหล่านี้ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในระยะยาว

การที่บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกต่างมุ่งหน้าลงทุนในอินเดีย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดเกิดใหม่ และการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมความงามทั่วโลกอย่างแน่นอน

ที่มา – บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่เพิ่มลงทุนในอินเดีย คาดตลาดมีโอกาสโต 5 เท่า

อินเดีย-รัสเซีย ดันการค้าทะลุแสนล้าน ลดพึ่งพา?

สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย กล่าวระหว่างการเยือนรัสเซียว่า อินเดียและรัสเซียกำลังพิจารณาเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีต่อปีราว 50% ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า สู่ระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าทั้งสองประเทศต้องลดภาษีศุลกากรและลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว การผลักดันให้อินเดีย-รัสเซีย ดันการค้าทะลุแสนล้านนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

รมว.ต่างประเทศอินเดียมีกำหนดเยือนมอสโกเป็นเวลาสามวัน เพื่อเข้าร่วมการเจรจาทวิภาคีประจำปี ซึ่งคาดว่าจะเป็นการปูทางให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เดินทางเยือนอินเดียในช่วงปลายปีนี้

ชัยศังกระกล่าวระหว่างการประชุมธุรกิจอินเดีย-รัสเซียว่า “เราทุกคนตระหนักดีว่า เรากำลังประชุมกันท่ามกลางสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน ผู้นำของเรายังคงปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ”

นอกจากนี้ ชัยศังกระยังเสนอให้อินเดียและรัสเซียร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อกระจายการค้า ส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างบริษัทของทั้งสองประเทศ และพบปะหารือกันให้บ่อยขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ได้กล่าวยกย่องปธน.ปูตินว่าเป็น “มิตร” หลังสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำรัสเซียในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน อินเดียกำลังเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับจีน โดยนายกฯ อินเดียมีกำหนดเดินทางเยือนจีนในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปี เพื่อพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน

อินเดียกำลังพยายามยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS อันประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรและการคุกคามทางการค้าจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ

ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์อินเดียที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าวช่วยให้ปูตินมีเงินทุนทำสงครามกับยูเครน โดยทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตรา 25% และขู่ว่าจะเพิ่มเป็น 50% ในวันที่ 27 ส.ค.นี้

ด้านอินเดียโต้ว่าอัตราภาษีนำเข้าดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล พร้อมประกาศจุดยืนปกป้องสิทธิของตนเองในการซื้อน้ำมันจากแหล่งที่ถูกที่สุด โดยอินเดียสามารถซื้อน้ำมันจากรัสเซียได้ในราคาลดพิเศษ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมเงินเฟ้อภายในประเทศ

อินเดีย-รัสเซีย ดันการค้าทะลุแสนล้าน

ความพยายามในการอินเดีย-รัสเซีย ดันการค้าทะลุแสนล้านนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและลดการพึ่งพาจากชาติตะวันตก การเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับธุรกิจ

เป้าหมายการค้าที่ท้าทาย

แม้ว่าเป้าหมายการอินเดีย-รัสเซีย ดันการค้าทะลุแสนล้านดอลลาร์จะเป็นความท้าทาย แต่ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ การลดอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมการลงทุนร่วมกันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของการค้าระหว่างอินเดียและรัสเซีย

การที่อินเดียและรัสเซียเร่งกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า แสดงให้เห็นถึงทิศทางใหม่ในการสร้างสมดุลทางอำนาจในเวทีโลก ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น การร่วมมือกันของประเทศที่มีบทบาทสำคัญเช่นอินเดียและรัสเซีย อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา – อินเดีย-รัสเซีย เร่งดันการค้าทะลุแสนล้านดอลล์ หวังลดพึ่งพาสหรัฐฯ

รัสเซียส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุดด้วยกลไกพิเศษ

รัสเซียยืนยันว่ามีกลไกพิเศษที่จะทำให้การส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุด แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก เจ้าหน้าที่สถานทูตรัสเซียประจำอินเดียเปิดเผยว่า รัสเซียจะยังคงเดินหน้าส่งออกน้ำมันดิบให้อินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการส่งออกจะยังคงอยู่ในระดับเดิม

โรมัน บาบูชกิน อุปทูตรัสเซียประจำอินเดีย แถลงต่อสื่อมวลชนว่า รัสเซียได้พัฒนากลไกพิเศษเพื่อรับประกันการส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุด และมั่นใจว่าอินเดียจะยังคงนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียในปริมาณเท่าเดิมที่เคยนำเข้า

รัสเซียส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุดด้วยกลไกพิเศษ

การยืนยันดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่ามาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกอาจส่งผลกระทบต่อการค้าพลังงานระหว่างรัสเซียและอินเดีย อย่างไรก็ตาม รัสเซียแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาระดับการส่งออกน้ำมันดิบไปยังอินเดียได้

นอกจากนี้ รองผู้แทนการค้ารัสเซียประจำอินเดียคาดการณ์ว่า มูลค่าการค้าระหว่างรัสเซียและอินเดียจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โลกในปัจจุบัน โดยประเมินว่าการค้าทวิภาคีจะเติบโตประมาณ 10% ต่อปี

รายละเอียดเกี่ยวกับกลไกพิเศษส่งน้ำมันให้อินเดีย

ถึงแม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลไกพิเศษที่รัสเซียใช้ในการส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุด แต่คาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชำระค่าสินค้า หรือการใช้ช่องทางการขนส่งทางเลือกอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตร

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ เตรียมที่จะบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มขึ้น โดยอ้างว่าอินเดียยังคงเพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย แม้ว่าชาติตะวันตกจะพยายามคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซียก็ตาม อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ไม่ได้ใช้มาตรการเดียวกันนี้กับจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียรายใหญ่อีกรายหนึ่ง

การที่รัสเซียยังคงสามารถส่งออกน้ำมันดิบไปยังอินเดียได้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศ และความมุ่งมั่นของรัสเซียที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาดพลังงานในเอเชีย

การค้าระหว่างรัสเซียและอินเดียมีความสำคัญต่อทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่รัสเซียกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก อินเดียเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับสินค้าส่งออกของรัสเซีย และรัสเซียก็เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญสำหรับอินเดีย

การที่รัสเซียยืนยันว่าจะส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุด ถือเป็นข่าวดีสำหรับอินเดีย ซึ่งกำลังมองหาแหล่งพลังงานที่มั่นคงและราคาไม่แพง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามดูว่ามาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกจะมีผลกระทบต่อการค้าพลังงานระหว่างรัสเซียและอินเดียในระยะยาวหรือไม่

ถึงแม้ว่าสถานการณ์โลกจะยังคงมีความไม่แน่นอน แต่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและอินเดียยังคงแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต

ที่มา – รัสเซียอ้างมีกลไกพิเศษส่งน้ำมันให้อินเดียไม่สะดุด ยันส่งให้ตามปริมาณเดิม