อินเดีย

“แอปเปิ้ล” ยิ้ม! ยอดขายในอินเดียทะลุเป้า

เรียกได้ว่ายิ้มแก้มปริเลยทีเดียวสำหรับ “แอปเปิ้ล” (Apple) ที่ล่าสุดสามารถกวาดยอดขายในประเทศอินเดียไปได้เกือบ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณล่าสุด (นับจนถึงเดือนมีนาคม) ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากยอดขายที่แข็งแกร่งของ iPhone และ MacBook นั่นเอง

การเติบโตแบบก้าวกระโดดครั้งนี้ ถือเป็นแรงผลักดันที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับ “แอปเปิ้ล” ในช่วงเวลาที่ยอดขายอุปกรณ์มือถือโดยรวมเริ่มชะลอตัวลงทั่วโลก แม้ว่าอินเดียจะยังคงเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของธุรกิจโดยรวมของ “แอปเปิ้ล” แต่บริษัทก็กำลังเดินหน้าลงทุนในอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้ตลาดแห่งนี้กลายเป็นตลาดสำคัญในอนาคต

ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงความผันผวนของการบริโภค และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของ “แอปเปิ้ล” แม้ว่ารายได้จากจีนจะเพิ่มขึ้น 4.4% ในไตรมาสเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ก็ถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบสองปีเท่านั้น และยังต้องเผชิญกับการเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่งรายอื่น ๆ อีกด้วย

“แอปเปิ้ล” ยิ้ม! ยอดขายในอินเดียทุบสถิติเกือบ 9 พันล้านดอลลาร์

เพื่อเป็นการขยายตลาดและรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น “แอปเปิ้ล” ได้ทำการเปิดสาขาใหม่ถึง 2 แห่งในประเทศอินเดียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งในบริเวณชานเมืองเดลี และอีก 1 แห่งในเมืองมุมไบในช่วงต้นปีหน้าอีกด้วย

ทำไมยอดขายในอินเดียถึงสำคัญกับ “แอปเปิ้ล”?

การที่ “แอปเปิ้ล” สามารถทำยอดขายในอินเดียได้ดีนั้น มีความสำคัญในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน:

  • ลดการพึ่งพาตลาดจีน: ตลาดจีนมีความผันผวนสูง การมีตลาดอินเดียที่แข็งแกร่งช่วยลดความเสี่ยง
  • การเติบโตในระยะยาว: อินเดียมีประชากรจำนวนมากและกำลังเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
  • ภาพลักษณ์ของแบรนด์: การประสบความสำเร็จในตลาดเกิดใหม่ ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ “แอปเปิ้ล” ในฐานะแบรนด์ระดับโลก

นอกจากนี้ การที่ “แอปเปิ้ล” มียอดขาย “แอปเปิ้ล” ที่เพิ่มขึ้นในอินเดีย สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเทคโนโลยีและสินค้าคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นในประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น

การเติบโตของ “แอปเปิ้ล” ในอินเดียยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานในร้านค้าปลีก การผลิต หรือการพัฒนาแอปพลิเคชัน

โดยสรุปแล้ว ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ “แอปเปิ้ล” ในอินเดีย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงศักยภาพการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตอีกด้วย

ที่มา – “แอปเปิ้ล” ยิ้ม! ยอดขายในอินเดียทุบสถิติเกือบ 9 พันล้านดอลลาร์

อินเดียหั่นภาษี! กระตุ้นตลาดพลังงานสะอาดในประเทศ

อินเดียประกาศลดภาษีอุปกรณ์พลังงานสะอาดลงกว่าครึ่งหนึ่งสำหรับการขายในประเทศ หวังกระตุ้นความต้องการภายในประเทศและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของอินเดียและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

กระทรวงการคลังอินเดียระบุว่า ภาษีสินค้าและบริการ (GST) สำหรับอุปกรณ์พลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ชิ้นส่วนกังหันลม และโรงผลิตก๊าซชีวภาพ ถูกปรับลดลงจาก 12% เหลือเพียง 5% เท่านั้น การลดภาษีครั้งใหญ่นี้จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้บริโภคและเร่งการติดตั้งโครงการพลังงานสะอาดให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ อินเดียหั่นภาษี กลายเป็นมาตรการสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว

การปรับลดภาษีดังกล่าวน่าจะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อินเดียกำลังพยายามติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับปี 2030 และปีต่อๆ ไป การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับประเทศ

ทั้งนี้ อินเดียตั้งเป้าหมายที่จะผลิตพลังงานสะอาดให้ได้ 500 กิกะวัตต์ภายในสิ้นทศวรรษนี้ และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2070 ความมุ่งมั่นนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของอินเดียในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก

นอกจากภาษีอุปกรณ์พลังงาน คณะกรรมการ GST ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีจากทุกรัฐ ยังได้อนุมัติการปรับลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคกว่าร้อยรายการ ตั้งแต่ยาสีฟันและแชมพู ไปจนถึงรถยนต์ขนาดเล็ก มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

อินเดียหั่นภาษี อุปกรณ์พลังงานสะอาดกว่าครึ่ง!

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลางและรัฐบาลแต่ละรัฐคาดว่าจะสูญเสียรายได้รวมประมาณ 4.8 แสนล้านรูปี (ราว 5.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการลดภาษีในครั้งนี้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน หรือตรงกับวันแรกของเทศกาลนวราตรี แม้จะมีการสูญเสียรายได้ แต่รัฐบาลเชื่อว่าผลประโยชน์ระยะยาวจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนในพลังงานสะอาดจะคุ้มค่า

รายงานระบุว่า การลดภาษีครั้งนี้ ประกอบกับการลดภาษีบุคคลที่ประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวเกินคาดถึง 7.8% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจอินเดียและความสามารถในการดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ทำไมอินเดียถึงหั่นภาษีพลังงานสะอาดครั้งใหญ่?

การตัดสินใจของอินเดียหั่นภาษีอุปกรณ์พลังงานสะอาดครั้งใหญ่นี้ เป็นการตอบโต้โดยตรงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา การลดภาษีภายในประเทศจะช่วยลดต้นทุนและทำให้พลังงานสะอาดเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับประชาชนชาวอินเดีย ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและส่งเสริมการผลิตในประเทศ การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอินเดียในการพึ่งพาตนเองและสร้างความยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจของตนเอง

การผลักดันอย่างจริงจังเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมด้วย การลดมลพิษทางอากาศและน้ำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวอินเดีย การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนยังสามารถสร้างงานใหม่และส่งเสริมการพัฒนาในชนบทได้อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว การที่ อินเดียหั่นภาษีอุปกรณ์พลังงานสะอาดถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดภาษีควบคู่ไปกับนโยบายอื่นๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จะช่วยให้อินเดียบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศและสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

การที่อินเดียกล้าตัดสินใจเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดในระดับโลก เราเชื่อว่ามาตรการนี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประเทศอื่นๆ หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

ที่มา – อินเดียสู้ศึกทรัมป์ หั่นภาษีอุปกรณ์พลังงานสะอาดกว่าครึ่งหนึ่ง กระตุ้นตลาดในประเทศ

จับตา! ส่องไฮไลต์ประชุม SCO ขั้วอำนาจใหม่

การประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO Summit ประจำปี 2568 ที่นครเทียนจิน ประเทศจีน ได้เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศเข้าร่วม การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคยูเรเชีย แต่ยังเกิดขึ้นในบริบทของความผันผวนจากนโยบายต่างประเทศและการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นที่จับตามองของทั่วโลก เนื่องจากเป็นโอกาสให้มหาอำนาจอย่างจีน อินเดีย และรัสเซีย ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวคิดในการสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ท้าทายการครอบงำของสหรัฐฯ อีกด้วย

ส่องไฮไลต์ประชุม SCO ผนึกกำลังสร้างระเบียบโลกใหม่

องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Cooperation Organization ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือความร่วมมือด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้ายในระดับภูมิภาค ต่อมา SCO ได้ขยายบทบาทไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทหาร โดยมีจีนและรัสเซียเป็นแกนหลักสำคัญ ทำให้ SCO มักถูกมองว่าเป็นการรวมกลุ่มเพื่อต่อต้านตะวันตก หรือเพื่อสร้างสมดุลกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ปัจจุบัน สมาชิก SCO ประกอบด้วย จีน รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน และเบลารุส

ในการประชุมปีนี้ จีนในฐานะเจ้าภาพได้เชิญชาติสมาชิกถาวรอีก 9 ประเทศ พร้อมด้วยประเทศผู้สังเกตการณ์และคู่เจรจาอีก 16 ประเทศ เข้าร่วมการประชุมระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน เพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งในหมู่ประเทศ “โลกใต้” (Global South) ท่ามกลางความผันผวนจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งทำให้หลายประเทศหันมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น

เจเรมี ชาน นักวิเคราะห์อาวุโสจากยูเรเชีย กรุ๊ป กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของจีนในฐานะ “พันธมิตรทางเลือก” นอกเหนือจากกลุ่มอำนาจตะวันตกที่เป็นผู้กำหนดระเบียบโลกในปัจจุบัน โดยนโยบายของทรัมป์กลับกลายเป็นตัวเร่งความสำคัญของ SCO และเปิดโอกาสให้จีนนำเสนอแนวทางการทูตที่น่าเชื่อถือมากกว่าสหรัฐฯ

ซุน หยุน นักวิชาการอาวุโสและผู้อำนวยการโครงการจีนที่สถาบันสติมสัน กล่าวเสริมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความพยายามของจีนในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มประเทศโลกใต้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าสหรัฐฯ จะเข้าร่วมด้วยหรือไม่

จีน-อินเดีย: ก้าวข้ามความขัดแย้งชายแดน

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการประชุมคือการพบปะกันระหว่างนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบ 7 ปี สะท้อนถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจแห่งเอเชีย

ผู้นำทั้งสองย้ำถึงวิสัยทัศน์ในการร่วมมือกันในฐานะหุ้นส่วน ไม่ใช่คู่แข่ง พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะยกระดับความร่วมมือและแก้ไขปัญหาชายแดนที่ยืดเยื้อมานาน โมดีย้ำว่าอินเดียมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความไว้วางใจและเคารพซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งกล่าวว่าผู้แทนพิเศษของทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการบริหารจัดการชายแดน ซึ่งเคยเป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงหลังจากการปะทะกันในปี 2563

สี จิ้นผิง ตอบรับโดยกล่าวว่า ตราบใดที่ทั้งสองประเทศยังคงยึดมั่นในทิศทางนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติก็จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมทั้งระบุว่าจีนและอินเดียควรเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน และเป็นหุ้นส่วนที่ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยไม่ควรปล่อยให้ปัญหาชายแดนมาเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์

การปรับความสัมพันธ์ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เวนดี้ คัตเลอร์ รองประธานอาวุโสของสถาบันนโยบายเอเชียกล่าวว่า โมดีและสีใช้ทุกถ้อยคำทางการทูตเพื่อส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาษีของสหรัฐฯ

นอกจากการพบปะกับสี จิ้นผิงแล้ว โมดียังได้หารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย นอกรอบการประชุม SCO ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเป็นสองเท่า เพื่อเป็นการลงโทษที่อินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง แม้อินเดียจะยืนกรานว่าไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งก็ตาม

ปูตินยกย่องโมดีว่าเป็น “มิตรแท้” เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษและไว้วางใจกันมานานหลายทศวรรษ และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคต

โมดีย้ำว่าอินเดียและรัสเซียจะยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมอ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ความร่วมมืออันใกล้ชิดนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ยังมีความสำคัญต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก

แม้จะถูกกดดันจากมาตรการภาษีของทรัมป์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าอินเดียจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยปัจจุบันอินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยอาศัยส่วนลดที่รัสเซียเสนอให้หลังจากที่ยุโรปและสหรัฐฯ เลิกซื้อน้ำมันรัสเซีย และออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การบุกยูเครนเมื่อปี 2565

ในฐานะเจ้าภาพ สี จิ้นผิง ใช้เวทีนี้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกรักษาความยุติธรรมและความถูกต้อง ส่งเสริมความร่วมมือแบบพหุภาคี และสนับสนุนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตลอดจนสร้างระบบธรรมาภิบาลโลกที่เป็นธรรมและสมดุลมากขึ้น

สี จิ้นผิง ระบุว่าประเทศสมาชิกควรต่อต้านแนวคิดสงครามเย็น การเผชิญหน้าของฝ่ายต่างๆ และพฤติกรรมการข่มเหง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการส่งสัญญาณไปยังนโยบายของทรัมป์ที่สร้างความไม่แน่นอนและสั่นคลอนเสถียรภาพของโลก

นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังย้ำว่าประเทศสมาชิกต้องยึดมั่นในระเบียบระหว่างประเทศที่มีองค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นศูนย์กลาง และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่มีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลางเช่นกัน

ด้านปูตินใช้เวทีนี้ย้ำจุดยืนเรื่องยูเครน โดยกล่าวว่าสันติภาพที่ยั่งยืนในยูเครนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดการกับปัญหาการขยายอิทธิพลของนาโตมาทางตะวันออก ซึ่งถือเป็นต้นตอของวิกฤต และเป็นสิ่งที่รัสเซียไม่อาจยอมรับได้

ปูตินชี้ให้เห็นว่าชาติตะวันตกพยายามดึงยูเครนเข้าร่วมกลุ่ม และพยายามชักจูงประเทศที่เคยอยู่ในอดีตสหภาพโซเวียตให้เข้าร่วมนาโต ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขจัดรากเหง้าของวิกฤตที่แท้จริงเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในยูเครนได้อย่างยั่งยืนและถาวร

แม้ว่ายูเครนและชาติมหาอำนาจยุโรปตะวันตกจะประณามการกระทำของรัสเซียว่าเป็นการรุกรานเพื่อหวังดินแดนอย่างโหดเหี้ยม แต่ปูตินกลับมองว่าสงครามครั้งนี้คือการต่อสู้กับโลกตะวันตก ซึ่งเขาเชื่อว่าชาติตะวันตกได้ละเมิดเกียรติของรัสเซียผ่านการขยายอิทธิพลของนาโตไปยังตะวันออก

การประชุมครั้งนี้ยังได้ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์พิพาทที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของโลก โดยเริ่มตั้งแต่การปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่โจมตีโครงการนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังร่วมประณามการกระทำของอิสราเอลที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อพลเรือนและวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างถาวรและทั่วถึง รวมทั้งเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่พื้นที่โดยไม่ถูกขัดขวาง

แถลงการณ์ยังประณามเหตุโจมตีในพื้นที่พาฮาลแกมของแคชเมียร์ฝั่งอินเดียเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งคร่าชีวิตผู้เสียชีวิตหลายสิบราย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นชนวนให้เกิดความตึงเครียดทางทหารระยะสั้นระหว่างประเทศสมาชิก SCO คืออินเดียและปากีสถาน

การประชุมครั้งนี้ยังมีมิติทางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ โดยประเทศสมาชิกได้ลงนามและเผยแพร่คำประกาศเทียนจิน (Tianjin Declaration) ที่ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมเน้นย้ำว่าประเทศสมาชิกสามารถพัฒนาและใช้ AI ได้อย่างเท่าเทียมกัน

คำประกาศยังระบุว่าสมาชิกพร้อมร่วมมือกันเพื่อลดความเสี่ยง และยกระดับความปลอดภัยและความรับผิดชอบของ AI เพื่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ตลอดจนมุ่งดำเนินแผนงานระยะยาวสำหรับความร่วมมือและการพัฒนา AI ร่วมกัน

นอกจากนี้ จีนได้เสนอให้จัดตั้งศูนย์ความร่วมมือด้านการประยุกต์ใช้ AI และผลักดันโมเดล AI แบบโอเพนซอร์สให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานการผลิต รวมทั้งแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีขั้นสูง แม้ว่าจะยังมีความท้าทายที่สำคัญในเรื่องของการกำกับดูแลการใช้โมเดลเหล่านี้ข้ามพรมแดน

สำหรับด้านการเงิน ที่ประชุมเห็นชอบการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา SCO (SCO development bank) เพื่อผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐสมาชิก รวมทั้งลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ

ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) ที่จีนร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2557 เพื่อสนับสนุนโครงการในประเทศกำลังพัฒนา และเป็นคู่แข่งโดยตรงกับธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) แต่แผนการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสี จิ้นผิง ในการวางตัวเองเป็น “สถาปนิก” ผู้วางกรอบธรรมาภิบาลโลกใหม่ที่จีนเป็นผู้นำ

นอกจากนี้ จีนยังให้คำมั่นว่าจะมอบเงินช่วยเหลือแบบไม่คิดดอกเบี้ยจำนวน 2 พันล้านหยวน (ประมาณ 9 พันล้านบาท) ในปีนี้ และให้กู้ยืมเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท) แก่ประเทศสมาชิก SCO ในอีก 3 ปีข้างหน้า

โดยสรุปแล้ว การส่องไฮไลต์ประชุม SCO แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างขั้วอำนาจใหม่ของโลก ท่ามกลางความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การประชุมครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระเบียบโลก และเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด

แม้การประชุมปิดฉากลงแล้ว การส่องไฮไลต์ประชุม SCO ครั้งนี้ยังคงทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้โลกต้องติดตามต่อ ทั้งเรื่องบทบาทของ 3 มหาอำนาจยูเรเชียในการสร้างระเบียบโลกใหม่ ความร่วมมือระหว่างสมาชิก รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจปะทุขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ไม่น่าจะนิ่งเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

การประชุม SCO สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์อำนาจโลก และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความท้าทายที่สหรัฐฯ จะต้องเผชิญในการรักษาบทบาทผู้นำของตนเองในเวทีโลก

ที่มา – In Focus: ส่องไฮไลต์ประชุม SCO เมื่อจีน-อินเดีย-รัสเซีย ผงาดขั้วอำนาจใหม่ต้านตะวันตก

อินเดียขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์!

อินเดียกำลังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์อย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดหลักในการส่งออกยาของอินเดีย การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมยาของอินเดียจะได้รับการยกเว้นภาษีจากมาตรการของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ผู้ผลิตยาของอินเดียยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอยู่

สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกยาที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของยอดการส่งออกยาทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญราคาไม่แพง ในปีงบประมาณ 2568 ยอดขายในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า อินเดียเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดรัสเซีย บราซิล เนเธอร์แลนด์ รวมถึงบางส่วนของยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะกระจายห่วงโซ่อุปทานของการส่งออก และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับสากลให้มากขึ้น

ตลาดส่งออกยาอันดับสองของอินเดียคือสหราชอาณาจักร ซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 914 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยบราซิลที่ 778 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเนเธอร์แลนด์และรัสเซีย มียอดขาย 616 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 577 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ในปีงบประมาณ 2568

แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยศักยภาพในการผลิตยาภายในประเทศ อินเดียจึงมีความสามารถที่จะเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ได้อีกถึง 20% อย่างไรก็ตาม ตลาดใหม่เหล่านี้ยังไม่สามารถทดแทนรายได้ที่ได้รับจากสหรัฐอเมริกาได้ทั้งหมด ซึ่งยังคงมีความสำคัญต่ออินเดียอยู่ ดังนั้น เป้าหมายหลักของอินเดียคือการสำรวจหาตลาดใหม่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

อินเดียมีแผนที่จะจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในตลาดต่างประเทศ ในงาน International Pharmaceutical Exhibition ที่กรุงนิวเดลี ซึ่งคาดว่าจะมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านกฎระเบียบจากทั่วโลกเข้าร่วมงานนี้

แหล่งข่าวชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มการส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที แต่จำเป็นต้องมีการหารืออย่างละเอียดเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

รัฐบาลอินเดียได้เริ่มเจรจากับกลุ่มผู้ผลิตยา โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรภายหลังจากที่ได้มีการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยคาดการณ์ว่า สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NHS) จะเพิ่มการจัดซื้อยาสามัญและส่วนประกอบยาที่จำเป็นอย่างมีนัยสำคัญ

อินเดียขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์

ทำไมอินเดียถึงขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์?

เหตุผลหลักที่อินเดียตัดสินใจขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์ ก็เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคงและหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้ การขยายตลาดไปยังประเทศเหล่านี้ยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกอีกด้วย

การที่อินเดียพยายามกระจายตลาดส่งออกยาไปยังรัสเซีย บราซิล และเนเธอร์แลนด์ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และมองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จในครั้งนี้จะไม่เพียงแต่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยาของอินเดียเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย

อินเดียมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศเหล่านี้ และสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งในระยะยาว นี่เป็นก้าวสำคัญในการเป็นผู้นำด้านการผลิตยาในระดับโลก

การส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์ เป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับอินเดียในการแสดงศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก การพัฒนาอุตสาหกรรมยาอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

ที่มา – อินเดียขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์ หวังลดพึ่งพาสหรัฐฯ

อินเดียเร่งนำเข้า LNG จ่อเพิ่มกำลังการรับก๊าซ

อินเดียเร่งเครื่องนำเข้า LNG จ่อเพิ่มกำลังการรับก๊าซอีก 27% แตะ 66.7 ล้านตันต่อปี

อินเดียกำลังเดินหน้าอย่างเต็มกำลังเพื่อเพิ่มศักยภาพในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรทีป สิงห์ ปุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันอินเดีย ประกาศผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า อินเดียมีแผนที่จะขยายขีดความสามารถในการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นอีกถึง 27% ภายในปี 2573 ทำให้มีกำลังการรับก๊าซโดยรวมสูงถึง 66.7 ล้านเมตริกตันต่อปี การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้จะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างสถานีรับ LNG เพิ่มอีก 2 แห่ง

ปัจจุบัน อินเดียมีสถานีรับ LNG ที่เปิดดำเนินการแล้ว 8 แห่ง ซึ่งมีกำลังการรับก๊าซรวมกันอยู่ที่ 52.7 ล้านตันต่อปี ทำให้เป็นผู้นำเข้าก๊าซรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก การลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของอินเดียในการตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แผนการขยายกำลังการนำเข้า LNG นี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่านั้น คือการเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซในโครงสร้างพลังงานของประเทศ จากประมาณ 6% ในปัจจุบัน ให้เป็น 15% ภายในปี 2573 เป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นสำหรับอินเดีย

ทำไมอินเดียจึงเร่งเครื่องนำเข้า LNG?

อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่สะอาดกว่าอย่าง LNG จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2613 ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในภาคพลังงาน หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือการส่งเสริมการใช้ LNG ในภาคยานยนต์ รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสถานีบริการ LNG สำหรับยานยนต์ให้ครบ 1,000 แห่งทั่วประเทศ

รัฐมนตรีปุรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในสิ้นเดือนธันวาคมปีนี้ คาดว่าจำนวนสถานีบริการ LNG จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 13 แห่งในปัจจุบัน เป็น 49 แห่ง แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าอย่างรวดเร็วในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

การเร่งเครื่องนำเข้า LNG ของอินเดียสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายพลังงานของประเทศ อินเดียกำลังวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำในการใช้พลังงานสะอาดในภูมิภาค และการลงทุนใน LNG เป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศที่ทะเยอทะยาน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของอินเดียด้วยการสร้างงานและส่งเสริมการเติบโตในภาคพลังงาน

ที่มา – อินเดียเร่งเครื่องนำเข้า LNG จ่อเพิ่มกำลังการรับก๊าซอีก 27% แตะ 66.7 ล้านตันต่อปี

ปูตินชม โมดี “มิตรแท้” อินเดียพร้อมเคียงข้างรัสเซีย

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยกย่องนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียว่าเป็น “มิตรแท้” ในการพบปะหารือทวิภาคีเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา โดยอินเดียให้คำมั่นว่าจะยืนหยัดเคียงข้างรัสเซียในยามยากลำบาก

การพบปะดังกล่าวเกิดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นมิตร โดยมีการแลกเปลี่ยนรอยยิ้มและจับมือทักทายระหว่างผู้นำทั้งสอง รวมถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน

ปธน.ปูตินกล่าวกับนายกฯ โมดีเป็นภาษารัสเซียว่า “ท่านนายกรัฐมนตรีที่รัก มิตรแท้ของผม” พร้อมเสริมว่า “รัสเซียและอินเดียมีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษและไว้วางใจกันมานานหลายทศวรรษ นี่คือรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ของเราต่อไปในอนาคต”

นายกฯ โมดีตอบว่า “แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด อินเดียและรัสเซียก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมอ ความร่วมมืออันใกล้ชิดของเราไม่เพียงสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ยังสำคัญต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก”

ภายหลังการหารือ นายกฯ โมดีได้โพสต์ภาพของตนเองกับปธน.ปูตินในรถยนต์หุ้มเกราะ Aurus ของผู้นำรัสเซียผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ สร้างความฮือฮาและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

จีนและอินเดียเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของน้ำมันดิบรัสเซีย แม้สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดีย แต่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

ในประเด็นสงครามยูเครน นายกฯ โมดีแสดงความยินดีต่อความพยายามในการแก้ไขความขัดแย้ง และหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน

ปูตินยก โมดี “มิตรแท้” อินเดียพร้อมเคียงข้างรัสเซีย

รถยนต์ Aurus เป็นรถประจำตำแหน่งที่ปธน.ปูตินใช้ในการเดินทางต่างประเทศบ่อยครั้ง และเคยเชิญผู้นำชาติอื่นร่วมโดยสาร หรือมอบให้เป็นของขวัญ เช่นที่มอบให้คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ

“มิตรแท้” ในสายตาปูติน

การที่ปูตินยกย่องโมดีว่าเป็น “มิตรแท้” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยาวนานระหว่างรัสเซียและอินเดีย แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากชาติตะวันตก รัสเซียและอินเดียยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงานและการป้องกันประเทศ

อินเดียยังคงเป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซียในภูมิภาคเอเชียใต้ และทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันในการต่อต้านการก่อการร้ายและส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาค

การที่อินเดียประกาศพร้อม “เคียงข้างรัสเซียในยามยาก” แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งต่อไป แม้ว่าสถานการณ์โลกจะมีความผันผวนก็ตาม

ความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัสเซียและอินเดียนี้ มีความสำคัญต่อสมดุลอำนาจโลก และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต

การที่ปูตินเรียกว่าโมดีว่า มิตรแท้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ปูตินมีต่อนายกรัฐมนตรีอินเดีย และยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังนานาชาติว่ารัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว และยังมีพันธมิตรที่เข้มแข็งที่พร้อมจะสนับสนุนรัสเซียในเวทีโลก

ที่มา – ปูตินยกโมดี “มิตรแท้” ด้านอินเดียลั่น พร้อมเคียงข้างรัสเซียยามยาก

“ปูติน” ย้ำ! สันติภาพยูเครนต้องหยุดขยายอิทธิพลนาโต

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวว่า สันติภาพที่ยั่งยืนในยูเครนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดการกับปัญหาการขยายอิทธิพลขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) มาทางตะวันออก ซึ่งถือเป็นต้นตอของวิกฤตการณ์ โดยท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย

บรรยากาศนอกรอบการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจินเป็นไปอย่างชื่นมื่น โดยนายกฯ โมดีได้จับมือปธน.ปูตินขณะเดินเข้าพบปธน.สี ซึ่งผู้นำทั้งสามได้พูดคุยกันพร้อมรอยยิ้ม

ปธน.ปูตินกล่าวในที่ประชุมสุดยอดว่า ชาติตะวันตกได้พยายามดึงยูเครนเข้าเป็นพวก และพยายามชักจูงยูเครนให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารกับนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ

“การจะคลี่คลายสถานการณ์ในยูเครนได้อย่างยั่งยืนและถาวรนั้น จำเป็นต้องขจัดรากเหง้าของวิกฤตที่แท้จริง ซึ่งผมได้กล่าวไปแล้วและเคยย้ำอยู่หลายครั้ง” ปธน.ปูตินกล่าว

ทั้งนี้ รัสเซียได้ส่งทหารหลายหมื่นนายบุกยูเครนเมื่อเดือนก.พ. 2565 หลังจากเกิดการสู้รบยืดเยื้อ 8 ปีในภาคตะวันออกของยูเครนระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียสนับสนุนกับกองทัพยูเครน โดยปัจจุบันรัสเซียสามารถควบคุมดินแดนยูเครนได้เกือบหนึ่งในห้า

ยูเครนและชาติมหาอำนาจยุโรปตะวันตกประณามการกระทำของรัสเซียว่าเป็นการรุกรานเพื่อหวังดินแดนอย่างโหดเหี้ยม แต่ปธน.ปูตินมองว่าสงครามครั้งนี้คือการต่อสู้กับโลกตะวันตก ซึ่งเขาเชื่อว่าชาติตะวันตกได้หยามเกียรติรัสเซียด้วยการขยายอิทธิพลของนาโตมาทางตะวันออก

ก่อนหน้านี้ ในการประชุมสุดยอดที่กรุงบูคาเรสต์เมื่อปี 2551 ผู้นำนาโตเคยเห็นพ้องที่จะรับยูเครนและจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิกในอนาคต และต่อมาในปี 2562 ยูเครนได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการเข้าเป็นสมาชิกนาโตและสหภาพยุโรปอย่างสมบูรณ์

ปธน.ปูตินยังเปิดเผยว่า “ความเข้าใจร่วมกัน” ที่เขาบรรลุกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในการประชุมสุดยอดที่รัฐอะแลสกาเมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดทางไปสู่สันติภาพในยูเครน และเขาจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับผู้นำชาติอื่น ๆ ในการประชุม SCO ครั้งนี้

“เราขอชื่นชมความพยายามและข้อเสนอจากจีนและอินเดียที่มุ่งส่งเสริมให้การแก้ไขวิกฤตยูเครนลุล่วงไปด้วยดี” ปธน.ปูตินกล่าว “และผมหวังว่าความเข้าใจร่วมกันที่เกิดขึ้นในการพบปะระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ที่อะแลสกา ก็จะมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน”

ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า เขาได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับผลการหารือกับปธน.ทรัมป์ให้ปธน.สีได้รับทราบแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (31 ส.ค.) รวมถึงความคืบหน้าในการแก้ไขความขัดแย้ง และจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมในการประชุมทวิภาคีกับผู้นำจีนและชาติอื่น ๆ ต่อไป

ปัจจุบัน จีนและอินเดียคือลูกค้ารายใหญ่ที่สุดที่ซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก แม้ปธน.ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเพื่อตอบโต้ แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าทั้งสองชาติจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

“ปูติน” ผนึกจีน-อินเดีย ย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต

จากสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ การออกมาเน้นย้ำถึงเงื่อนไขสันติภาพของปูติน โดยการยุติการขยายอิทธิพลของนาโต ถือเป็นจุดยืนที่แข็งกร้าวและอาจนำไปสู่การเจรจาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น การที่จีนและอินเดียเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขวิกฤต อาจเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่สันติภาพได้ แต่ต้องจับตาดูว่าชาติตะวันตกจะมีท่าทีอย่างไรต่อข้อเสนอนี้

ปูตินย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน: ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต

การที่ “ปูติน” ออกมาย้ำถึงเงื่อนไขสันติภาพยูเครน โดยเน้นย้ำถึงการยุติขยายอิทธิพลของนาโตนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะรักษาสถานะเดิมของรัสเซียในภูมิภาค การที่จีนและอินเดียเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจา อาจนำไปสู่แนวทางแก้ไขที่เป็นกลางและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ แต่ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในยูเครนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สถานการณ์ในยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และการเจรจาเพื่อสันติภาพยังคงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายก็ตาม การที่ “ปูติน” ผนึกจีน-อินเดีย ย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ที่มา – “ปูติน” ผนึกจีน-อินเดีย ย้ำเงื่อนไขสันติภาพยูเครน ต้องยุติขยายอิทธิพลนาโต

อินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลี หลังพบไข้หวัดนก

ทางการอินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลีเป็นการชั่วคราว หลังตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ในนกกระเรียนที่เสียชีวิตสองตัว นี่เป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลและจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

อินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลีชั่วคราว หลังตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกในนกกระเรียน

ตามรายงานจากสำนักข่าวไทมส์ ออฟ อินเดีย (Times of India) การตัดสินใจปิดสวนสัตว์มีขึ้นหลังจากผลการตรวจยืนยันว่านกกระเรียน 2 ตัวที่ตายในสวนสัตว์ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงสูง สวนสัตว์เดลีจะปิดให้บริการแก่ประชาชนจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

ขณะนี้ ทางการกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบตัวอย่างจากนกที่ตายอีกตัวหนึ่ง เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อไข้หวัดนกหรือไม่ พร้อมกันนี้ ทางสวนสัตว์ได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มงวด และเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสไปยังสัตว์อื่นๆ ภายในสวนสัตว์ และเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ผลกระทบและความกังวลจากสถานการณ์ อินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลีชั่วคราว หลังตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกในนกกระเรียน

การแพร่ระบาดของไข้หวัดนกเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลและอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อฝูงสัตว์ ทำให้เกิดข้อจำกัดทางการค้า และที่สำคัญที่สุดคือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในมนุษย์ ดังนั้น การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

เชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 เป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากในอุตสาหกรรมปีกทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไวรัสจะกลายพันธุ์และแพร่กระจายสู่คนได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาดใหญ่ทั่วโลก

ถึงแม้ว่าความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในมนุษย์จะยังคงต่ำ แต่การเฝ้าระวังและการเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกกำลังทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันและรักษาการติดเชื้อไข้หวัดนก

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่ง อินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลีชั่วคราว หลังตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกในนกกระเรียน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่อง และความจำเป็นในการตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การบังคับใช้มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพที่เข้มงวด และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงและวิธีการป้องกันตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบของการระบาดของไข้หวัดนก

การปิดสวนสัตว์เดลีเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปเยี่ยมชมสวนสัตว์ ดังนั้นจึงควรติดตามข่าวสารและประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิด

ในขณะที่สถานการณ์ อินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลีชั่วคราว หลังตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกในนกกระเรียน ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม การตระหนักถึงความเสี่ยงและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไข้หวัดนกและปกป้องสุขภาพของประชาชนและสัตว์

ที่มา – อินเดียสั่งปิดสวนสัตว์เดลีชั่วคราว หลังตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกในนกกระเรียน

อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ เสริมเศรษฐกิจมั่นคง 10 ปี

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้เห็นพ้องกันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 ส.ค.) ในการที่จะกระชับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอินเดียบนเวทีโลก ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ภายหลังการเจรจาในกรุงโตเกียว ท่านอิชิบะและท่านโมดีได้เปิดตัววิสัยทัศน์ร่วม ซึ่งระบุถึงเป้าหมายความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ได้แก่ การเพิ่มการลงทุนของญี่ปุ่นในอินเดียให้ถึง 10 ล้านล้านเยน (หรือประมาณ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) และการเพิ่มการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกันให้ได้ถึง 5 แสนคน ภายในระยะเวลา 5 ปี

ทั้งสองประเทศยังได้แสดงความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ตามแถลงการณ์ร่วมฉบับแยกต่างหาก ซึ่งเน้นย้ำถึงการเคลื่อนไหวทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นในน่านน้ำดังกล่าว

อิชิบะกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกันภายหลังการเจรจาว่า ญี่ปุ่นและอินเดียมีความรับผิดชอบร่วมกันในการธำรงรักษาและส่งเสริมระเบียบระหว่างประเทศที่เสรีและเปิดกว้าง โดยยึดมั่นในหลักนิติธรรม

นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังได้ออกคำประกาศร่วมด้านความมั่นคง ซึ่งได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับขั้นตอนใหม่ของความเป็นหุ้นส่วน โดยให้คำมั่นที่จะขยายการฝึกซ้อมร่วมกันระหว่างกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นและกองทัพอินเดีย ซึ่งเอกสารฉบับนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มใช้ในปี 2551

เป็นที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่ลึกซึ้งกับอินเดีย โดยทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกของกลุ่มควอด (Quad) ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ เสริมความร่วมมือเศรษฐกิจ-ความมั่นคง 10 ปี

ความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและอินเดียในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตและความมั่นคงของภูมิภาค

การที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะเพิ่มการลงทุนและแลกเปลี่ยนบุคลากร มีส่วนช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะสำหรับประชาชนของทั้งสองประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นและอินเดียแสดงความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อนาคตความร่วมมือ อิชิบะ-โมดี เปิดวิสัยทัศน์ 10 ปี

การประกาศวิสัยทัศน์ร่วมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคม

การที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอินเดียในเวทีโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของอินเดียในการเป็นผู้นำและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ระดับโลก

การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและอินเดียในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม โดยจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง

โดยรวมแล้ว อิชิบะ-โมดีเปิดวิสัยทัศน์ ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน การที่สองผู้นำให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในระยะยาวนั้น เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีในอนาคตอย่างแท้จริง

ที่มา – อิชิบะ-โมดีเปิดวิสัยทัศน์ เสริมความร่วมมือเศรษฐกิจ-ความมั่นคง 10 ปี

รูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวน: ผลดีต่อใคร?

ค่าเงินรูปีของอินเดียอ่อนค่าทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวนออฟชอร์: โอกาสสำหรับผู้ส่งออก?

ค่าเงินรูปีของอินเดียได้อ่อนตัวลงทำสถิติใหม่อีกครั้งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหยวนออฟชอร์ในการซื้อขายล่าสุด นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าสถานการณ์นี้อาจเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกของอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากสหรัฐอเมริกา

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนและรูปีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าระหว่างประเทศของอินเดีย เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เช่น สิ่งทอ สินค้าวิศวกรรม และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์

การที่ค่าเงิน รูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวน ทำให้อินเดียมีความได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากจีน ทำให้สินค้าของอินเดียมีราคาที่น่าสนใจมากขึ้นในตลาดโลก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ได้บางส่วน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินรูปีอาจช่วยให้อินเดียสามารถลดการขาดดุลการค้ากับจีนได้อีกด้วย

ในปัจจุบัน ค่าเงินรูปีได้อ่อนตัวลงไปอยู่ที่ระดับ 12.3307 รูปีต่อหยวนออฟชอร์ ซึ่งส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงแล้วประมาณ 1.2% และหากนับย้อนหลังไปในรอบหนึ่งเดือน ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงไปแล้ว 1.6% และหากพิจารณาย้อนหลังไปถึง 4 เดือน จะพบว่าค่าเงินรูปีได้ทรุดตัวลงไปแล้วเกือบ 6% เมื่อเทียบกับเงินหยวน

นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าการอ่อนค่าของเงิน รูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวน เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย ซึ่งทำให้ภาระภาษีโดยรวมที่อินเดียต้องแบกรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกัน อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนและรูปีเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด โดย RBI อาจมองว่าการอ่อนค่าของเงินรูปีเมื่อเทียบกับเงินหยวนในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินรูปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จนอยู่ในระดับที่น่ากังวล

รูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวน: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

แน่นอนว่าการที่ค่าเงิน รูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวน ไม่ได้มีแค่ด้านบวกเท่านั้น ภาคธุรกิจที่ต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าผลดีต่อภาคการส่งออกมีมากกว่าผลเสีย

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินรูปีอาจส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของอินเดีย เนื่องจากทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวในอินเดียได้ในราคาที่ถูกลง ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศเติบโตได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไปคือท่าทีของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ว่าจะมีการออกมาตรการใดๆ เพื่อดูแลค่าเงินรูปีหรือไม่ หากค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ RBI อาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน

โดยสรุปแล้ว การที่ค่าเงินรูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวน ถือเป็นสถานการณ์ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจอินเดีย ผู้ประกอบการและนักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ที่มา – รูปีอินเดียดิ่งทำสถิติใหม่เมื่อเทียบหยวนออฟชอร์ ชี้เป็นผลดีต่อส่งออก-สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ