การประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO Summit ประจำปี 2568 ที่นครเทียนจิน ประเทศจีน ได้เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศเข้าร่วม การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคยูเรเชีย แต่ยังเกิดขึ้นในบริบทของความผันผวนจากนโยบายต่างประเทศและการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นที่จับตามองของทั่วโลก เนื่องจากเป็นโอกาสให้มหาอำนาจอย่างจีน อินเดีย และรัสเซีย ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวคิดในการสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ท้าทายการครอบงำของสหรัฐฯ อีกด้วย
ส่องไฮไลต์ประชุม SCO ผนึกกำลังสร้างระเบียบโลกใหม่
องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Cooperation Organization ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือความร่วมมือด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้ายในระดับภูมิภาค ต่อมา SCO ได้ขยายบทบาทไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทหาร โดยมีจีนและรัสเซียเป็นแกนหลักสำคัญ ทำให้ SCO มักถูกมองว่าเป็นการรวมกลุ่มเพื่อต่อต้านตะวันตก หรือเพื่อสร้างสมดุลกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ปัจจุบัน สมาชิก SCO ประกอบด้วย จีน รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน และเบลารุส
ในการประชุมปีนี้ จีนในฐานะเจ้าภาพได้เชิญชาติสมาชิกถาวรอีก 9 ประเทศ พร้อมด้วยประเทศผู้สังเกตการณ์และคู่เจรจาอีก 16 ประเทศ เข้าร่วมการประชุมระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน เพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งในหมู่ประเทศ “โลกใต้” (Global South) ท่ามกลางความผันผวนจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งทำให้หลายประเทศหันมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
เจเรมี ชาน นักวิเคราะห์อาวุโสจากยูเรเชีย กรุ๊ป กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของจีนในฐานะ “พันธมิตรทางเลือก” นอกเหนือจากกลุ่มอำนาจตะวันตกที่เป็นผู้กำหนดระเบียบโลกในปัจจุบัน โดยนโยบายของทรัมป์กลับกลายเป็นตัวเร่งความสำคัญของ SCO และเปิดโอกาสให้จีนนำเสนอแนวทางการทูตที่น่าเชื่อถือมากกว่าสหรัฐฯ
ซุน หยุน นักวิชาการอาวุโสและผู้อำนวยการโครงการจีนที่สถาบันสติมสัน กล่าวเสริมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความพยายามของจีนในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มประเทศโลกใต้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าสหรัฐฯ จะเข้าร่วมด้วยหรือไม่
จีน-อินเดีย: ก้าวข้ามความขัดแย้งชายแดน
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการประชุมคือการพบปะกันระหว่างนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบ 7 ปี สะท้อนถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจแห่งเอเชีย
ผู้นำทั้งสองย้ำถึงวิสัยทัศน์ในการร่วมมือกันในฐานะหุ้นส่วน ไม่ใช่คู่แข่ง พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะยกระดับความร่วมมือและแก้ไขปัญหาชายแดนที่ยืดเยื้อมานาน โมดีย้ำว่าอินเดียมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความไว้วางใจและเคารพซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งกล่าวว่าผู้แทนพิเศษของทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการบริหารจัดการชายแดน ซึ่งเคยเป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงหลังจากการปะทะกันในปี 2563
สี จิ้นผิง ตอบรับโดยกล่าวว่า ตราบใดที่ทั้งสองประเทศยังคงยึดมั่นในทิศทางนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติก็จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมทั้งระบุว่าจีนและอินเดียควรเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน และเป็นหุ้นส่วนที่ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยไม่ควรปล่อยให้ปัญหาชายแดนมาเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์
การปรับความสัมพันธ์ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เวนดี้ คัตเลอร์ รองประธานอาวุโสของสถาบันนโยบายเอเชียกล่าวว่า โมดีและสีใช้ทุกถ้อยคำทางการทูตเพื่อส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาษีของสหรัฐฯ
นอกจากการพบปะกับสี จิ้นผิงแล้ว โมดียังได้หารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย นอกรอบการประชุม SCO ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเป็นสองเท่า เพื่อเป็นการลงโทษที่อินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง แม้อินเดียจะยืนกรานว่าไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งก็ตาม
ปูตินยกย่องโมดีว่าเป็น “มิตรแท้” เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษและไว้วางใจกันมานานหลายทศวรรษ และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคต
โมดีย้ำว่าอินเดียและรัสเซียจะยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมอ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ความร่วมมืออันใกล้ชิดนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ยังมีความสำคัญต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก
แม้จะถูกกดดันจากมาตรการภาษีของทรัมป์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าอินเดียจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยปัจจุบันอินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยอาศัยส่วนลดที่รัสเซียเสนอให้หลังจากที่ยุโรปและสหรัฐฯ เลิกซื้อน้ำมันรัสเซีย และออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การบุกยูเครนเมื่อปี 2565
ในฐานะเจ้าภาพ สี จิ้นผิง ใช้เวทีนี้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกรักษาความยุติธรรมและความถูกต้อง ส่งเสริมความร่วมมือแบบพหุภาคี และสนับสนุนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตลอดจนสร้างระบบธรรมาภิบาลโลกที่เป็นธรรมและสมดุลมากขึ้น
สี จิ้นผิง ระบุว่าประเทศสมาชิกควรต่อต้านแนวคิดสงครามเย็น การเผชิญหน้าของฝ่ายต่างๆ และพฤติกรรมการข่มเหง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการส่งสัญญาณไปยังนโยบายของทรัมป์ที่สร้างความไม่แน่นอนและสั่นคลอนเสถียรภาพของโลก
นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังย้ำว่าประเทศสมาชิกต้องยึดมั่นในระเบียบระหว่างประเทศที่มีองค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นศูนย์กลาง และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่มีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลางเช่นกัน
ด้านปูตินใช้เวทีนี้ย้ำจุดยืนเรื่องยูเครน โดยกล่าวว่าสันติภาพที่ยั่งยืนในยูเครนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดการกับปัญหาการขยายอิทธิพลของนาโตมาทางตะวันออก ซึ่งถือเป็นต้นตอของวิกฤต และเป็นสิ่งที่รัสเซียไม่อาจยอมรับได้
ปูตินชี้ให้เห็นว่าชาติตะวันตกพยายามดึงยูเครนเข้าร่วมกลุ่ม และพยายามชักจูงประเทศที่เคยอยู่ในอดีตสหภาพโซเวียตให้เข้าร่วมนาโต ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขจัดรากเหง้าของวิกฤตที่แท้จริงเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในยูเครนได้อย่างยั่งยืนและถาวร
แม้ว่ายูเครนและชาติมหาอำนาจยุโรปตะวันตกจะประณามการกระทำของรัสเซียว่าเป็นการรุกรานเพื่อหวังดินแดนอย่างโหดเหี้ยม แต่ปูตินกลับมองว่าสงครามครั้งนี้คือการต่อสู้กับโลกตะวันตก ซึ่งเขาเชื่อว่าชาติตะวันตกได้ละเมิดเกียรติของรัสเซียผ่านการขยายอิทธิพลของนาโตไปยังตะวันออก
การประชุมครั้งนี้ยังได้ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์พิพาทที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของโลก โดยเริ่มตั้งแต่การปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่โจมตีโครงการนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายน
นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังร่วมประณามการกระทำของอิสราเอลที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อพลเรือนและวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างถาวรและทั่วถึง รวมทั้งเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่พื้นที่โดยไม่ถูกขัดขวาง
แถลงการณ์ยังประณามเหตุโจมตีในพื้นที่พาฮาลแกมของแคชเมียร์ฝั่งอินเดียเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งคร่าชีวิตผู้เสียชีวิตหลายสิบราย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นชนวนให้เกิดความตึงเครียดทางทหารระยะสั้นระหว่างประเทศสมาชิก SCO คืออินเดียและปากีสถาน
การประชุมครั้งนี้ยังมีมิติทางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ โดยประเทศสมาชิกได้ลงนามและเผยแพร่คำประกาศเทียนจิน (Tianjin Declaration) ที่ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมเน้นย้ำว่าประเทศสมาชิกสามารถพัฒนาและใช้ AI ได้อย่างเท่าเทียมกัน
คำประกาศยังระบุว่าสมาชิกพร้อมร่วมมือกันเพื่อลดความเสี่ยง และยกระดับความปลอดภัยและความรับผิดชอบของ AI เพื่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ตลอดจนมุ่งดำเนินแผนงานระยะยาวสำหรับความร่วมมือและการพัฒนา AI ร่วมกัน
นอกจากนี้ จีนได้เสนอให้จัดตั้งศูนย์ความร่วมมือด้านการประยุกต์ใช้ AI และผลักดันโมเดล AI แบบโอเพนซอร์สให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานการผลิต รวมทั้งแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีขั้นสูง แม้ว่าจะยังมีความท้าทายที่สำคัญในเรื่องของการกำกับดูแลการใช้โมเดลเหล่านี้ข้ามพรมแดน
สำหรับด้านการเงิน ที่ประชุมเห็นชอบการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา SCO (SCO development bank) เพื่อผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐสมาชิก รวมทั้งลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ
ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) ที่จีนร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2557 เพื่อสนับสนุนโครงการในประเทศกำลังพัฒนา และเป็นคู่แข่งโดยตรงกับธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) แต่แผนการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสี จิ้นผิง ในการวางตัวเองเป็น “สถาปนิก” ผู้วางกรอบธรรมาภิบาลโลกใหม่ที่จีนเป็นผู้นำ
นอกจากนี้ จีนยังให้คำมั่นว่าจะมอบเงินช่วยเหลือแบบไม่คิดดอกเบี้ยจำนวน 2 พันล้านหยวน (ประมาณ 9 พันล้านบาท) ในปีนี้ และให้กู้ยืมเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท) แก่ประเทศสมาชิก SCO ในอีก 3 ปีข้างหน้า
โดยสรุปแล้ว การส่องไฮไลต์ประชุม SCO แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างขั้วอำนาจใหม่ของโลก ท่ามกลางความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การประชุมครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระเบียบโลก และเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด
แม้การประชุมปิดฉากลงแล้ว การส่องไฮไลต์ประชุม SCO ครั้งนี้ยังคงทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้โลกต้องติดตามต่อ ทั้งเรื่องบทบาทของ 3 มหาอำนาจยูเรเชียในการสร้างระเบียบโลกใหม่ ความร่วมมือระหว่างสมาชิก รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจปะทุขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ไม่น่าจะนิ่งเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
การประชุม SCO สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์อำนาจโลก และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความท้าทายที่สหรัฐฯ จะต้องเผชิญในการรักษาบทบาทผู้นำของตนเองในเวทีโลก
ที่มา – In Focus: ส่องไฮไลต์ประชุม SCO เมื่อจีน-อินเดีย-รัสเซีย ผงาดขั้วอำนาจใหม่ต้านตะวันตก