มาเลเซีย

มาเลย์จ่อรับเงินทุน AI-ศูนย์ข้อมูลกว่า 4 หมื่นล้านดอลล์

มาเลเซียเตรียมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี! ด้วยข่าวดีที่ว่า มาเลย์จ่อรับเงินทุนด้าน AI-ศูนย์ข้อมูลกว่า 4 หมื่นล้านดอลล์ เพื่อสนับสนุนการจ้างงานในประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

บริษัทจัดหาบุคลากรระดับโลกอย่าง โรเบิร์ต วอลเทอร์ส (Robert Walters) คาดการณ์ว่า มาเลเซียมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับเงินลงทุนในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล คิดเป็นมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573

เงินลงทุนมหาศาลนี้ มาจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกและผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกระดับให้มาเลเซียกลายเป็นศูนย์กลาง AI และศูนย์ข้อมูลที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นการขยายบทบาทของประเทศในด้านการจ้างงานและบริการเอาท์ซอร์สที่มีมูลค่าสูงอีกด้วย

ตามรายงานระบุว่า การลงทุนครั้งนี้จะส่งผลดีต่อความต้องการบุคลากรในภาคส่วนบริการเอาท์ซอร์ส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจ้างงานในด้านการปฏิบัติการคลาวด์และศูนย์ข้อมูล วิศวกรรมคลาวด์ วิทยาศาสตร์ข้อมูลและการวิเคราะห์ รวมถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2568–2570

ฟิลล์ บราวน์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลด้านการตลาดของ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส กล่าวว่า การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของมาเลเซีย ในฐานะที่เป็นสถานที่เชิงกลยุทธ์สำหรับบริการเอาท์ซอร์ส

แนวโน้มการเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติของรัฐบาลในช่วงปี 2569-2573 ควบคู่ไปกับตัวเลขล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า มีการอนุมัติการลงทุนในภาค AI เป็นมูลค่า 1.329 หมื่นล้านริงกิต (ประมาณ 3.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างงานใหม่ได้ประมาณ 6,920 ตำแหน่ง

มาเลย์จ่อรับเงินทุนด้าน AI-ศูนย์ข้อมูลกว่า 4 หมื่นล้านดอลล์

ผลกระทบต่อตลาดงานจากเงินทุน AI กว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์

การลงทุนครั้งใหญ่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่หมายถึงโอกาสมหาศาลสำหรับคนทำงานในมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ลองจินตนาการถึงตำแหน่งงานใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งในด้านการพัฒนา AI, การจัดการข้อมูล, และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ แน่นอนว่าทักษะและความรู้ความสามารถในด้านเหล่านี้ จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงานอนาคต

มาเลย์จ่อรับเงินทุนด้าน AI-ศูนย์ข้อมูลกว่า 4 หมื่นล้านดอลล์ ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจดิจิทัล ทำให้มาเลเซียกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากทั่วโลก

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการทำงาน หรือต้องการพัฒนาทักษะของตนเอง การติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึง

การที่ มาเลย์จ่อรับเงินทุนด้าน AI-ศูนย์ข้อมูลกว่า 4 หมื่นล้านดอลล์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสครั้งสำคัญสำหรับทุกคนที่จะได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอนาคตของเทคโนโลยี และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก

ที่มา – มาเลย์จ่อรับเงินทุนด้าน AI-ศูนย์ข้อมูลกว่า 4 หมื่นล้านดอลล์ หนุนจ้างงานในประเทศ

Petronas มั่นใจเอเชียฯ รุกตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพโลก

ปิโตรนาส (Petronas) บริษัทน้ำมันและก๊าซของรัฐบาลมาเลเซีย กำลังเดินหน้าสร้างโรงกลั่นชีวภาพในเมืองเปงเงรัง รัฐยะโฮร์ เพื่อผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ 6.5 แสนตันต่อปี โดยเป็นการร่วมทุนกับเอนิไลฟ์ (Enilive) บริษัทในเครือเอนี (Eni) ของอิตาลี และยูกลีนา (Euglena) ของญี่ปุ่น ซึ่งโครงการนี้ตั้งเป้าเริ่มการผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2571

อาห์หมัด อัดลีย์ อาลิอาส รองประธานฝ่ายการกลั่น การตลาด และการค้าของปิโตรนาส กล่าวในการประชุมด้านปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์แห่งเอเชีย (APPEC) ที่สิงคโปร์ในวันนี้ (10 ก.ย.) ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกเชื้อเพลิงชีวภาพไปยังตลาดต่าง ๆ เช่น ยุโรป เนื่องจากกำลังการผลิตในภูมิภาคสูงเกินกว่าความต้องการใช้

เขากล่าวว่า จุดแข็งของเอเชียอยู่ที่การเข้าถึงวัตถุดิบ ความสามารถในการขยายกำลังผลิต และความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับการขนส่งในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะพุ่งขึ้นถึงราว 250 ล้านลิตรต่อปีภายในปี 2573 ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลกและสะท้อนถึงโอกาสขนาดใหญ่ในภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่ากำลังการผลิตเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนในเอเชียอาจแตะระดับ 4 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยหนุนให้ภูมิภาคอาเซียนสามารถใช้ศักยภาพดังกล่าวเพื่อเจาะตลาดยุโรปได้มากขึ้น

อนาคตของพลังงานสะอาดกำลังสดใสขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการผลักดันอย่างแข็งขันของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง Petronas ที่มองเห็นศักยภาพอันมหาศาลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกเชื้อเพลิงชีวภาพ การลงทุนในโรงกลั่นชีวภาพขนาดใหญ่ในมาเลเซีย สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น

Petronas มั่นใจศักยภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รุกตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพโลก

แผนการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจำนวนมหาศาลถึง 6.5 แสนตันต่อปี ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเล็งเห็นถึงโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดยุโรป ซึ่งมีความต้องการเชื้อเพลิงที่ยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การร่วมมือกับ Enilive และ Euglena ซึ่งเป็นผู้นำในเทคโนโลยีชีวภาพ ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการนี้

โอกาสทองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพ

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความสามารถในการขยายกำลังการผลิตและการเติบโตของความต้องการภายในภูมิภาคเอง ก็เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดนี้

การคาดการณ์ว่าความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับการขนส่งในเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก แสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่น่าดึงดูดใจสำหรับผู้ผลิตและผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ การที่ Petronas เล็งเห็นศักยภาพดังกล่าวและเดินหน้าลงทุนอย่างจริงจัง เป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกถึงการเติบโตของตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพในภูมิภาค

การผลิตเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าจับตามอง การที่เอเชียสามารถผลิต SAF ได้ถึง 4 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573 จะช่วยให้ภูมิภาคอาเซียนสามารถส่งออก SAF ไปยังตลาดยุโรป และตอบสนองความต้องการของสายการบินที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การรุกตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพของ Petronas ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน และการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การที่บริษัทพลังงานชั้นนำให้ความสำคัญกับเชื้อเพลิงชีวภาพมากขึ้น จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

เราทุกคนควรสนับสนุนและติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สะอาดและยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

ที่มา – Petronas มั่นใจศักยภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รุกตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพโลก

นักวิเคราะห์ยังมอง ภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซียในเชิงบวก

กลุ่มนักวิเคราะห์ยังคงมองภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซียในเชิงบวก หลังจากรัฐบาลมาเลเซียประกาศผลลัพธ์ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ และปรับลดอัตราค่าการเข้าถึงพลังงานหมุนเวียน

ซีจีเอส อินเตอร์เนชันนัล (CGS International) ระบุว่า การดำเนินโครงการริเริ่มตามแผนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานแห่งชาติ (NETR) อย่างต่อเนื่องของรัฐบาลมาเลเซียจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานของประเทศ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ขณะเดียวกัน ธนาคารเพื่อการลงทุนเมย์แบงก์ (Maybank) ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกต่อภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซียในเชิงบวก หลังจากรัฐบาลมาเลเซียดำเนินการปฏิรูปนโยบายสนับสนุนและการจัดสรรเงินทุนเพื่อโครงการต่างๆ อย่างรวดเร็ว

สถาบันวิจัยเอ็มบีเอสบี รีเสิร์ช (MBSB Research) มองว่า การปรับลดอัตราค่าพลังงานแสงอาทิตย์ล่าสุดช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านพลังงานหมุนเวียนขององค์กร มีแนวโน้มกระตุ้นการใช้งานในหมู่ผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ โดยเฉพาะศูนย์ข้อมูล

นอกจากนั้นสถาบันวิจัยฯ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อภาคส่วนย่อยของภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซียในเชิงบวก หลังจากรัฐบาลมาเลเซียดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างเพื่อเกื้อหนุนการลดปล่อยคาร์บอนอย่างสอดคล้องกับเป้าหมายภายใต้แผนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานแห่งชาติ

สถาบันวิจัยฯ เสริมว่า พลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตต่อไปอีกหลายปี ต่อยอดจากข้อกำหนดระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแวดวงวิศวกรรม การจัดซื้อ การก่อสร้าง และการว่าจ้าง

นักวิเคราะห์ยังมอง ภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซียในเชิงบวก

โอกาสและการเติบโตของภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซีย

มาเลเซียกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งพลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มตัว การสนับสนุนจากภาครัฐและการลงทุนจากภาคเอกชนกำลังผลักดันให้ภาคส่วนนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีศักยภาพอีกมากมายรอการพัฒนา ทั้งพลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานชีวมวล การปรับลดอัตราค่าพลังงานแสงอาทิตย์ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้องค์กรต่างๆ หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ เช่น ศูนย์ข้อมูล ที่ต้องการลดต้นทุนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การที่รัฐบาลมาเลเซียให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างจริงจัง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนและผู้ประกอบการ นี่เป็นโอกาสทองสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การติดตั้ง การบำรุงรักษา หรือการให้คำปรึกษา นอกจากนี้ การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การใช้พลังงานหมุนเวียนมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น

การลงทุนในภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซีย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างผลกำไร แต่ยังเป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศชาติและโลก การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเป้าหมายสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุเป้าหมายนี้

ด้วยนโยบายที่ชัดเจน การสนับสนุนจากภาครัฐ และความตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานหมุนเวียน ภาคพลังงานหมุนเวียนของมาเลเซียจึงมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า ผู้ที่มองเห็นโอกาสและพร้อมที่จะลงทุนในภาคส่วนนี้ จะเป็นผู้ที่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว

ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ลองพิจารณาลงทุนในภาคพลังงานหมุนเวียนของมาเลเซีย อาจเป็นก้าวสำคัญที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ

ที่มา – นักวิเคราะห์ยังมองภาคพลังงานหมุนเวียนมาเลเซียในเชิงบวก

มาเลเซียปราบแท็กซี่โก่งราคา หวังกู้ท่องเที่ยว

รัฐบาลมาเลเซียประกาศสงครามกับการโก่งราคาแท็กซี่! ปัญหาที่กัดกินภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศมานานหลายปี วันนี้มาเลเซียลุกขึ้นมาจัดการอย่างจริงจัง หวังที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเดินทาง

มาเลเซียปราบปรามแท็กซี่โก่งราคา หวังกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

แอนโทนี โลค รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย ออกมาเปิดเผยถึงปัญหาการโก่งราคาค่าโดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลเสียต่อประเทศอย่างมาก

รัฐมนตรีกล่าวว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมายังมาเลเซียด้วยความคาดหวังที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าประทับใจ แต่กลับต้องมาเผชิญกับการถูกเอารัดเอาเปรียบตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบสนามบิน ตัวอย่างเช่น การเรียกเก็บค่าโดยสารจากสนามบินไปยังกัวลาลัมเปอร์ในราคา 300-400 ริงกิต (ประมาณ 2,300-3,000 บาท) ในขณะที่ราคาที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 100 ริงกิต (ประมาณ 750 บาท) เท่านั้น

การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความไม่พอใจให้กับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยรวมอีกด้วย เมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้แบ่งปันประสบการณ์ที่ไม่ดีบนโซเชียลมีเดีย อาจทำให้นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ลังเลที่จะเดินทางมายังมาเลเซีย

มาตรการปราบปรามแท็กซี่โก่งราคา

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐมนตรีโลคได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบก (JPJ) ดำเนินการอย่างเข้มงวดกับแท็กซี่ที่โก่งราคาค่าโดยสาร โดยมีมาตรการต่าง ๆ ดังนี้:

  • ออกหมายเรียก (Summon)
  • ยึดรถ (Seizure of vehicles)
  • ดำเนินคดีตามกฎหมาย (Legal prosecution)

การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ และสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวว่าพวกเขาจะได้รับการบริการที่เป็นธรรมและโปร่งใส

นอกจากมาตรการทางกฎหมายแล้ว รัฐบาลมาเลเซียยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้บริการขนส่งสาธารณะที่ถูกกฎหมายและมีราคาที่สมเหตุสมผล เช่น รถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง และบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว

การปราบปรามแท็กซี่โก่งราคา ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับปรุงและยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมาเลเซียให้มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีและน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมาเยือนประเทศ

ทำไมนักท่องเที่ยวถึงสำคัญ? นักท่องเที่ยวคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมาเลเซีย การมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่าง ๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า และสถานที่ท่องเที่ยว นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของประเทศอีกด้วย

การแก้ไขปัญหาแท็กซี่โก่งราคาจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และชื่อเสียงของมาเลเซียในเวทีโลก

การที่รัฐบาลมาเลเซียออกมาตรการเด็ดขาดเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการปราบปรามมาเลเซียปราบปรามแท็กซี่โก่งราคา หวังกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวนั้น ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ให้บริการขนส่ง ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวเอง

ในฐานะนักท่องเที่ยว การเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะที่ถูกกฎหมายและมีราคาที่เป็นธรรม การตรวจสอบราคาค่าโดยสารก่อนใช้บริการ และการรายงานการกระทำผิด ถือเป็นวิธีที่เราสามารถช่วยสนับสนุนให้การท่องเที่ยวของมาเลเซียเป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

หากมาเลเซียสามารถแก้ไขปัญหาการโก่งราคาแท็กซี่ได้สำเร็จ จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาคล้ายคลึงกัน และเป็นการยืนยันว่าการท่องเที่ยวที่ซื่อสัตย์และโปร่งใส คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมนี้ โดยรวมแล้ว การที่มาเลเซียปราบปรามแท็กซี่โก่งราคา หวังกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง

ที่มา – มาเลเซียปราบปรามแท็กซี่โก่งราคา หวังกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

จีนช่วยมาเลเซีย แปรรูปแร่หายาก เฉพาะรัฐวิสาหกิจ

มาเลเซียเผย จีนยื่นมือช่วยเหลือด้านเทคนิคในการแปรรูปแร่หายากแก่มาเลเซีย แต่มีข้อแม้ว่าความร่วมมือนี้จะต้องจำกัดเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเท่านั้น มาฟังรายละเอียดกันครับ

เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของมาเลเซีย คุณโยฮารี อับดุล กานี ได้ออกมาเปิดเผยว่า จีนแสดงความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและเทคโนโลยีในการแปรรูปแร่หายากแก่มาเลเซีย โดยมีเงื่อนไขว่าความร่วมมือใด ๆ จะต้องเกิดขึ้นเฉพาะกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเท่านั้น

เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้แสดงความพร้อมที่จะช่วยเหลือมาเลเซียในด้านแร่หายาก ระหว่างการเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยคุณโยฮารีกล่าวว่า เนื่องจากจีนให้ความสำคัญกับการปกป้องเทคโนโลยี ประธานาธิบดีสีจึงขอให้ความร่วมมือดังกล่าวต้องเกี่ยวข้องเฉพาะกับบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นเท่านั้น

การหารือในเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงใด ๆ ระหว่างสองประเทศ

ทำไมมาเลเซียถึงให้ความสนใจในเรื่องนี้? ก็เพราะว่ามาเลเซียกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาขีดความสามารถด้านการทำเหมืองและการแปรรูปแร่หายาก เพื่อที่จะสามารถคว้าโอกาสจากความต้องการแร่หายากทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแร่เหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการทหาร

คุณโยฮารี กล่าวเสริมว่า ความช่วยเหลือจากจีนมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจีนมีความได้เปรียบในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแยกธาตุแร่หายาก และยังจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของมาเลเซียในฐานะประเทศเดียวที่มีเทคโนโลยีการแปรรูปทั้งจากจีนและไม่ใช่จีน โดยอ้างถึงโรงงานแปรรูปของบริษัทเหมืองแร่ไลนาสของออสเตรเลียในรัฐปะหัง

เป็นที่ทราบกันดีว่า จีนเป็นผู้ทำเหมืองและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก และมีท่าทีเข้มงวดในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาด โดยการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการแปรรูปบางประเภท

ก่อนหน้านี้ มาเลเซียได้สั่งห้ามการส่งออกแร่หายากในรูปวัตถุดิบ และอนุญาตเฉพาะการส่งออกที่ผ่านการแปรรูปแล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรและการถูกเอาเปรียบทางการค้า

คุณโยฮารียังระบุด้วยว่า มาเลเซียมีแหล่งแร่หายากประมาณ 16.1 ล้านตัน ตามการคาดการณ์ของกรมธรณีวิทยาและแร่ธาตุในปี 2562 แต่ยังต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินปริมาณที่สามารถทำเหมืองได้ โดยมีข้อกำหนดห้ามการทำเหมืองในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ถาวร พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และเขตอนุรักษ์

จีนเสนอช่วยเหลือด้านเทคนิคแปรรูปแร่หายากแก่มาเลเซีย แต่จำกัดเฉพาะบริษัทของรัฐ

แล้วความร่วมมือนี้จะส่งผลดีต่อมาเลเซียอย่างไร?

ความร่วมมือกับจีนในการแปรรูปแร่หายาก จะช่วยให้มาเลเซียสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางการผลิตแร่หายากที่สำคัญในภูมิภาคอีกด้วย

ถึงแม้ว่าเงื่อนไขของจีนที่จำกัดความร่วมมือไว้เฉพาะกับรัฐวิสาหกิจอาจจะทำให้เกิดข้อจำกัดบางอย่าง แต่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่มาเลเซียจะได้รับเทคโนโลยีและ know-how จากจีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากของประเทศในระยะยาว

สิ่งที่น่าสนใจคือมาเลเซียจะสามารถบริหารจัดการความร่วมมือนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การแปรรูปแร่หายากเป็นไปอย่างยั่งยืน

ที่มา – จีนเสนอช่วยเหลือด้านเทคนิคแปรรูปแร่หายากแก่มาเลเซีย แต่จำกัดเฉพาะบริษัทของรัฐ

มาเลเซีย: ความเชื่อมั่นทางธุรกิจไตรมาส 3 แผ่ว

ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซียแผ่วลงในไตรมาส 3

สำนักงานสถิติแห่งชาติของมาเลเซีย (DOSM) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (28 ส.ค.) ว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซียแผ่วลงในไตรมาส 3 ของปี 2568 ลดลง โดยสะท้อนจากดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นที่เป็นบวกที่ +0.1%

DOSM เปิดเผยในแถลงการณ์ว่า บรรดาธุรกิจของมาเลเซียคาดการณ์ว่า บรรยากาศทางธุรกิจในไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยยังคงมีแรงหนุนจากดัชนีความเชื่อมั่นที่เป็นบวกที่ +0.1% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกที่ยังคงมีอยู่ แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ +2%

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากภาคส่วนทั้งหมดที่สำรวจ ภาคบริการยังคงมีมุมมองเชิงบวกในไตรมาส 3/2568 โดยมีดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ +1.5% เทียบกับ +6.9% ในไตรมาสก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างคงที่แม้จะมีการชะลอตัว ภาคบริการยังคงเป็นเสาหลักสำคัญที่ช่วยพยุงความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซียแผ่วลงในไตรมาส 3 นี้ไว้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี แม้จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบอยู่บ้าง

ขณะที่ภาคการก่อสร้างมีดัชนีความเชื่อมั่นที่ -2% ในไตรมาส 3/2568 เมื่อเทียบกับ +4.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ประกอบการเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคการก่อสร้างอาจมาจากต้นทุนวัสดุที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และความไม่แน่นอนของโครงการภาครัฐ

ภาคอุตสาหกรรมยังคงแสดงความเชื่อมั่นเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยมีดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแตะ +2.2% จาก +1.9% ในไตรมาส 2/2568 ภาคอุตสาหกรรมของมาเลเซียยังคงมีความสามารถในการปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซียแผ่วลงในไตรมาส 3 โดยรวม

สำหรับภาคค้าส่งและค้าปลีก ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ -7.3% ในไตรมาส 3/2568 ลดลงเล็กน้อยจาก -6.7% ในไตรมาส 2/2568 สะท้อนว่าความระมัดระวังในภาคส่วนนี้ยังคงมีอยู่ ภาคค้าส่งและค้าปลีกได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง และการแข่งขันที่รุนแรงจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซีย

  • ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
  • อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
  • อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง

ถึงแม้ว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซียแผ่วลงในไตรมาส 3 แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของมาเลเซีย เช่น การลงทุนจากต่างประเทศ การท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศ

โดยสรุป แม้ว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจในมาเลเซียจะลดลงเล็กน้อยในไตรมาส 3 แต่เศรษฐกิจของประเทศยังคงมีความแข็งแกร่งและมีโอกาสในการเติบโตในอนาคต ผู้ประกอบการควรจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้

ที่มา – ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของมาเลเซียแผ่วลงในไตรมาส 3

มาเลย์เสนอแผน ยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม

มาเลเซียกำลังพิจารณาแผนการยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม เพื่อลดภาระให้กับผู้ผลิตในประเทศ ชาน ฟุง ฮิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ของมาเลเซีย ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าในเรื่องนี้ต่อรัฐสภา โดยระบุว่ากระทรวงฯ ได้ยื่นเรื่องต่อกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณายกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม

มาเลเซียชงแผนยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม หวังลดภาระผู้ผลิต

วัตถุดิบที่เสนอให้มีการยกเว้นภาษี ได้แก่ น้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (Crude Palm Kernel Oil) และน้ำมันโอเลอินจากเมล็ดในปาล์ม (Palm Kernel Olein Oil) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมี การยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์มนี้ มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการจัดเก็บภาษีการขายและบริการ (SST) ที่ขยายขอบเขตเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มและโอเลโอเคมี ทำให้วัตถุดิบทั้งสองรายการถูกจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5

เหตุผลในการเสนอแผนยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้เหตุผลว่า การยกเว้นภาษีมีความสมเหตุสมผล เนื่องจากวัตถุดิบดังกล่าวเป็นเพียงส่วนประกอบในการผลิตโอเลโอเคมีภัณฑ์ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่รัฐบาลต้องการเก็บภาษี ความเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลมาเลเซียในการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ

“การยกเว้นภาษีดังกล่าวมีเหตุผลอันสมควร เนื่องจากสินค้าทั้งสองชนิดเป็นเพียงวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตโอเลโอเคมีภัณฑ์ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่รัฐบาลมุ่งจัดเก็บภาษี” ชาน ฟุง ฮิน กล่าว

นอกจากนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังพิจารณาข้อเสนออื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม รวมถึงการพิจารณายกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม หรือลดหย่อนภาษี SST สำหรับภาคบริการบางประเภทที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงาน เพื่อลดแรงกดดันด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ

การตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะมีการยกเว้นภาษีหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม การเสนอแผนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและความใส่ใจของรัฐบาลมาเลเซียต่อความท้าทายที่ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มกำลังเผชิญอยู่

การยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม หากได้รับการอนุมัติ จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมี เนื่องจากต้นทุนการผลิตจะลดลง ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ว่ารัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในยามที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ

ที่มา – มาเลเซียชงแผนยกเว้นภาษีวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม หวังลดภาระผู้ผลิต

มาเลเซียเปิดตัวชิป AI รุ่นแรก หวังชิงตลาดโลก

มาเลเซียประกาศศักดา เปิดตัว ชิป AI รุ่นแรก ของประเทศ! นี่คือความหวังที่จะทำให้มาเลเซียก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เรามาดูรายละเอียดของการเปิดตัว ชิป AI รุ่นแรก นี้กัน

มาเลเซียเปิดตัวชิป AI รุ่นแรก หวังชิงส่วนแบ่งห่วงโซ่เซมิคอนดักเตอร์โลก

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มาเลเซียได้ฤกษ์เปิดตัว ชิป AI รุ่นแรก ของประเทศอย่างเป็นทางการ โดยใช้ชื่อว่า MARS1000 ชิปนี้ได้รับการพัฒนาโดย SkyeChip ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของมาเลเซียเอง ทำให้เกิดความฮือฮาในวงการเทคโนโลยีพอสมควร

ตามข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มาเลเซีย ชิป MARS1000 นี้ถูกจัดอยู่ในประเภท Edge AI Processor ซึ่งหมายความว่ามันสามารถประมวลผลข้อมูลได้โดยตรงภายในอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ซึ่งต่างจากชิปประมวลผลที่ต้องส่งข้อมูลไปประมวลผลบนคลาวด์ก่อน

Edge AI Processor คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

Edge AI Processor มีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยลดความหน่วง (latency) ในการประมวลผล ทำให้ระบบตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำและทันท่วงที ยกตัวอย่างเช่น ระบบขับขี่อัตโนมัติในรถยนต์ หรือระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม

ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของชิป Edge AI อาจจะยังไม่เทียบเท่ากับชิปของ Nvidia ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ แต่การที่มาเลเซียสามารถพัฒนาชิปประเภทนี้ได้เอง ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมาเลเซียในการเป็นส่วนหนึ่งของตลาด AI ระดับโลก

มาเลเซียมีจุดแข็งในด้านการบรรจุชิป (chip packaging) และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของผู้ผลิตอุปกรณ์รายใหญ่อย่าง Lam Research นอกจากนี้ การลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Oracle และ Microsoft ในการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ในประเทศ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรม AI ของมาเลเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ยังได้ประกาศแผนการลงทุนกว่า 25,000 ล้านริงกิต เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับการออกแบบชิป การผลิตเวเฟอร์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล AI

อย่างไรก็ตาม มาเลเซียอาจต้องเผชิญกับความท้าทายจากมาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่รัฐบาลมาเลเซียยืนยันว่าจะควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบส่งต่อไปยังประเทศอื่น

การเปิดตัว ชิป AI รุ่นแรก MARS1000 ของมาเลเซีย ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศในการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีระดับโลก และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่ง

ที่มา – มาเลเซียเปิดตัวชิป AI รุ่นแรก หวังชิงส่วนแบ่งห่วงโซ่เซมิคอนดักเตอร์โลก

มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค. พุ่งสวนทางคาดการณ์

มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค. พุ่ง 6.8% สวนทางคาดการณ์ของตลาด! ข้อมูลล่าสุดจากมาเลเซียเผยยอดส่งออกเดือนกรกฎาคมเติบโตอย่างแข็งแกร่งเกินคาด ดันเศรษฐกิจโดยรวมให้มีทิศทางที่ดีขึ้น มาเจาะลึกรายละเอียดกันเลย!

ข้อมูลจากทางการมาเลเซียซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 ส.ค. แสดงให้เห็นว่ายอดการส่งออกในเดือนกรกฎาคมขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากยอดจัดส่งสินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวเลขนี้สร้างความประหลาดใจให้กับนักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าการส่งออกของมาเลเซียอาจหดตัวลง 3.9% เมื่อเทียบรายปี

โมฮัมมัด อูซีร์ มาฮีดิน หัวหน้าสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า การขยายตัวของ มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค. เป็นไปในทิศทางเดียวกับการส่งออกต่อ (re-export) ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงยอดจัดส่งสินค้าประเภทเครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์ม และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์และวิทยาศาสตร์

จากข้อมูลของกรมสถิติและกระทรวงการค้า พบว่าการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของมาเลเซีย พุ่งสูงขึ้นถึง 22.2% ในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศจีนเติบโต 6.8% และยอดจัดส่งไปยังสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 3.8%

ในส่วนของการนำเข้า เดือนกรกฎาคมมีการขยายตัว 0.6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 2.9%

การนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวถึง 20.6% แต่การนำเข้าสินค้าขั้นกลางและสินค้าอุปโภคบริโภคกลับปรับตัวลดลง 17.8% และ 5% ตามลำดับ

ผลจากการเติบโตของการส่งออกและการนำเข้าที่ค่อนข้างทรงตัว ส่งผลให้มาเลเซียเกินดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมเป็นมูลค่า 1.5 หมื่นล้านริงกิต (3.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าที่ผลสำรวจคาดการณ์ไว้ที่ 5.4 พันล้านริงกิต

มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค.พุ่ง 6.8% YoY สวนทางคาดการณ์ตลาด

สรุปได้ว่า มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค. เติบโตอย่างน่าประทับใจ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะยังมีความผันผวนอยู่มาก การเติบโตนี้เป็นสัญญาณบวกที่บ่งบอกถึงความสามารถในการแข่งขันของสินค้ามาเลเซียในตลาดโลก

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของ มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค.

  • ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น: ตลาดโลกยังคงมีความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาเลเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของสินค้ากลุ่มนี้
  • การฟื้นตัวของการค้าโลก: แม้จะยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่การค้าโลกก็เริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกของมาเลเซีย
  • การส่งเสริมการค้าและการลงทุน: รัฐบาลมาเลเซียมีนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและความผันผวนของค่าเงินริงกิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของมาเลเซียในอนาคต

มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค. ที่พุ่งสูงขึ้นนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจมาเลเซีย และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคต แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ที่มา – มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค.พุ่ง 6.8% YoY สวนทางคาดการณ์ตลาด

แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน! เกิดอะไรขึ้น?

เกิดเรื่องสุดฮือฮา เมื่อแอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบินในเกาหลีใต้! สายการบินแอร์เอเชีย (AirAsia) สายการบินราคาประหยัดชื่อดังจากมาเลเซีย กำลังเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังเที่ยวบิน D7 506 ซึ่งเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ กลับไปลงจอดที่สนามบินนานาชาติกิมโป แทนที่จะเป็นจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้คือ สนามบินอินชอน

ตามรายงานข่าว เที่ยวบินดังกล่าวมีกำหนดการเดินทางถึงสนามบินอินชอนในวันที่ 13 สิงหาคม เวลา 19:50 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเกาหลีใต้ แต่กลับไปปรากฏตัวที่สนามบินกิมโปในเวลา 20:08 น. หลังจากที่เครื่องบินได้บินวนอยู่เหนือท้องฟ้าเป็นเวลานานพอสมควร

หนึ่งในผู้โดยสารของเที่ยวบินดังกล่าวได้ออกมาเล่าว่า เมื่อเครื่องบินทำการจอดสนิท กัปตันได้ประกาศว่าพวกเขาได้เดินทางมาถึงสนามบินอินชอนแล้ว ทำให้ผู้โดยสารต่างพากันลุกขึ้นเพื่อที่จะนำสัมภาระของตนเองลงมาจากช่องเก็บเหนือศีรษะ แต่แล้วก็เกิดความโกลาหลขึ้น เมื่อผู้โดยสารที่นั่งริมหน้าต่างสังเกตเห็นความผิดปกติและตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของตนเอง พบว่าเครื่องบินไม่ได้อยู่ที่สนามบินอินชอน แต่กลับเป็นสนามบินกิมโป! ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ดูเหมือนว่าลูกเรือเองก็ไม่ทราบว่าเครื่องบินได้ลงจอดผิดสนามบิน จนกระทั่งผู้โดยสารเข้าไปแจ้งให้ทราบ

ทางด้านบริษัทท่าอากาศยานเกาหลี ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า เหตุการณ์ที่เครื่องบินแอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบินนั้น เกิดจาก “สภาพอากาศแปรปรวน” เหนือสนามบินอินชอน ทำให้เครื่องบินต้องเปลี่ยนไปลงจอดที่สนามบินกิมโปเป็นการชั่วคราว โดยเครื่องบินได้แวะเติมน้ำมันที่สนามบินกิมโป ก่อนที่จะออกเดินทางอีกครั้งไปยังสนามบินอินชอนในอีกประมาณ 2 ชั่วโมงต่อมา และสุดท้าย เครื่องบินลำดังกล่าวก็สามารถลงจอดที่สนามบินอินชอนได้อย่างปลอดภัยในเวลา 22:59 น.

แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน: ความจริงคืออะไร?

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยและการสื่อสารของสายการบินแอร์เอเชีย หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดลูกเรือจึงไม่ทราบว่าเครื่องบินลงจอดผิดสนามบิน และเหตุใดจึงไม่มีการแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้โดยสารตั้งแต่แรกเริ่ม

ผลกระทบจากเหตุการณ์แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน

เหตุการณ์ แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน ไม่เพียงแต่สร้างความสับสนวุ่นวายและความไม่สะดวกแก่ผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของสายการบินด้วย ผู้โดยสารหลายคนแสดงความไม่พอใจและกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางกับสายการบินแอร์เอเชียในอนาคต

นอกจากนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการควบคุมการจราจรทางอากาศของท่าอากาศยานในเกาหลีใต้ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ

ถึงแม้ว่าทางสายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกมาให้ข้อมูลและชี้แจงถึงสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและนำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้โดยสารทุกคน

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้แต่สายการบินที่มีชื่อเสียงก็สามารถเผชิญกับความผิดพลาดได้ สิ่งสำคัญคือการที่สายการบินมีความโปร่งใสในการสื่อสารและดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความไว้วางใจจากผู้โดยสาร

ที่มา – แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบินในเกาหลีใต้ งงทั้งลูกเรือ-ผู้โดยสาร