UN เผย เฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา

UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา ทำเสียหายหนักสูงถึง 30% ของ GDP
เจ้าหน้าที่จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เปิดเผยว่า พายุเฮอริเคนเมลิสซา (Melissa) ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศจาเมกาเทียบเท่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
คิชาน โคเดย์ ผู้แทนของ UNDP ประจำบาฮามาส เบลีซ เบอร์มิวดา หมู่เกาะเคย์แมน จาเมกา หมู่เกาะเติกส์และเคคอส เปิดเผยในระหว่างการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอเมื่อวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) ว่า “จากการประเมินเบื้องต้นพบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเทียบเท่ากับ 30% ของ GDP ของจาเมกา และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวน่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก”
UNDP ประเมินว่า มีซากปรักหักพังเกือบ 5 ล้านเมตริกตันทั่วทั้งภาคตะวันตกของจาเมกา หลังพายุเฮอริเคนระดับ 5 พัดถล่มและสร้างความเสียหายอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกเลขาธิการ UN กล่าวว่า ทางการจาเมกายืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว 32 ราย และมีประชาชนราว 1.5 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนดังกล่าว
ฮักกล่าวเสริมว่า เพื่อสนับสนุนความพยายามในการรับมือและฟื้นฟู UNDP ได้จัดสรรเงินทุนเบื้องต้น 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการประเมินเบื้องต้นและให้การสนับสนุนในระยะแรกแก่พันธมิตรระดับชาติ ขณะที่โครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (WFP) กำลังจัดส่งอาหารทางอากาศจากบาร์เบโดส เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนกว่า 6,000 ครัวเรือนเป็นระยะเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจาก UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศเล็กๆ ที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเฮอริเคน “เมลิสซา”
ความเสียหายที่คิดเป็น 30% ของ GDP นั้นเป็นตัวเลขที่สูงมาก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของจาเมกา การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตดังเดิม จะต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรจำนวนมาก
นอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อม เช่น การท่องเที่ยวที่ลดลง การผลิตทางการเกษตรที่เสียหาย และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอีกด้วย การที่ UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา สร้างความเสียหายมากขนาดนี้ ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพอากาศ
การช่วยเหลือจากนานาชาติ เช่น การสนับสนุนจาก UNDP และ WFP เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและการฟื้นฟูประเทศ แต่ในระยะยาว จาเมกาจะต้องสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้า
- การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อสภาพอากาศ
- การพัฒนาแผนการอพยพและการช่วยเหลือประชาชน
สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการที่สำคัญในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต
การที่ UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปกป้องโลกของเราจากภัยพิบัติ
ที่มา – UN เผยเฮอริเคน “เมลิสซา” ถล่มจาเมกา ทำเสียหายหนักสูงถึง 30% ของ GDP