ข่าวต่างประเทศ

ทรัมป์ลั่น! ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบปั่นป่วน

ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social เมื่อวานนี้ (11 สิงหาคม) ว่า “ทองคำจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า!” สร้างความโล่งอกให้กับนักลงทุนและผู้ค้าทองคำทั่วโลก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเกิดความสับสนอลหม่านในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับการขึ้นภาษีครั้งล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทองคำแท่งบางประเภท

ก่อนหน้านี้ มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) โดยอ้างอิงข้อมูลจากจดหมายที่ส่งโดยหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ระบุว่า สหรัฐฯ ได้เริ่มเรียกเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งที่มีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดทองคำทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

จดหมายดังกล่าว ซึ่งลงวันที่ 31 กรกฎาคม ระบุว่า ทองคำแท่งที่มีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และ 100 ออนซ์ ควรถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษี ทำให้เกิดความกังวลว่าต้นทุนในการนำเข้าทองคำไปยังสหรัฐฯ จะสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวได้ออกมาให้ข้อมูลในวันต่อมาว่า รัฐบาลจะออกมาชี้แจงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำแท่ง เพื่อแก้ไขความสับสนที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับรหัสศุลกากร ซึ่งส่งผลให้บางบริษัทต้องหยุดการส่งทองคำแท่งไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะทองแท่งขนาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดทองคำสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก

การประกาศของทรัมป์ที่ระบุว่า ไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าทองคำ จึงเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ดำเนินนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าทองคำ และช่วยลดความผันผวนในตลาดทองคำโลก หลังจากที่เกิดความไม่แน่นอนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการตัดสินใจนี้เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ต้องการรักษาเสถียรภาพของตลาดทองคำและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ

นอกจากนี้ การประกาศดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายที่ผ่านมาของทรัมป์ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดภาระทางภาษีและส่งเสริมการค้าเสรี การตัดสินใจที่จะไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

การที่ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังตลาดโลก และน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ค้าทองคำ การยกเลิกความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำจะช่วยให้การซื้อขายทองคำเป็นไปอย่างราบรื่น และส่งผลดีต่อราคาทองคำในระยะยาว

ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ เป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมทองคำ การตัดสินใจครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าทองคำไปยังสหรัฐฯ และส่งเสริมการค้าทองคำระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในทองคำ

การประกาศยกเลิกแผนเก็บภาษีนำเข้าทองคำของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในกลไกตลาดโลก และความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การตัดสินใจครั้งนี้ น่าจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของราคาทองคำในระยะยาว และเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก

ที่มา – ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก

สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วันแล้ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะกลับไปสูงถึงเลขหลักร้อย

เดิมที ข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีกำหนดจะสิ้นสุดในวันนี้ (12 ส.ค.) เวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หรือ 11:01 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย คำสั่งดังกล่าวจึงช่วยยับยั้งไม่ให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ พุ่งแตะ 125%

ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีในอัตรา 30% ซึ่งประกอบด้วยอัตราพื้นฐาน 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลอีก 20% ส่วนจีนก็ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ลงมาที่ 10% เช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายเคยประกาศพักรบในข้อพิพาทการค้าหลังการเจรจาที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค. โดยตกลงระยะเวลา 90 วันสำหรับเจรจาต่อไป ก่อนจะพบกันอีกครั้งที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ปลายเดือนก.ค. แต่ไม่ได้ประกาศขยายเวลาพักรบการค้าเพิ่มเติม

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากช่วยลดความผันผวนและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเลื่อนขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลามากขึ้นในการเจรจาและหาทางออกร่วมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน นี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในหลายประเทศ ผู้ประกอบการจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน

การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน นั้น มีนัยสำคัญหลายประการ ประการแรก แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจากับจีน และพร้อมที่จะหาทางออกร่วมกันผ่านการเจรจา ประการที่สอง สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นต่อเศรษฐกิจของตนเอง

การเลื่อนขึ้นภาษียังมีผลต่อตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย ข่าวนี้อาจช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนและช่วยให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง

ในส่วนของผู้บริโภค การเลื่อนขึ้นภาษีอาจช่วยชะลอการขึ้นราคาสินค้าบางประเภทที่นำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ผู้บริโภคอาจยังคงต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป

ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้บริโภคควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดโลก การติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การเจรจาและการประนีประนอมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถหาทางออกร่วมกันได้ แต่การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน

ที่มา – สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ก่อนเส้นตายไม่กี่ชั่วโมง

ทรัมป์สั่ง! คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ปราบอาชญากรรม

ทรัมป์ประกาศกร้าวคนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ยกระดับปราบปรามอาชญากรรม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวว่า คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน พร้อมให้คำมั่นว่าจะปราบปรามอาชญากรรมในเมืองแห่งนี้อย่างจริงจัง สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน

ทรัมป์ระบุผ่านโพสต์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า “คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตันทันที เราจะหาที่อยู่ให้ แต่ต้องไกลจากเมืองหลวง ส่วนอาชญากรไม่ต้องไปไหน เราจะจับพวกคุณเข้าคุกที่พวกคุณควรจะอยู่” นอกจากนี้เขายังกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์เกี่ยวกับแผนที่จะทำให้เมืองปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อให้การจับกุมคนไร้บ้านง่ายขึ้น และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงจากตำรวจสวนสาธารณะสหรัฐฯ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด เอฟบีไอ (FBI) และสำนักงานตำรวจศาลสหรัฐฯ เข้าควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมในพื้นที่กรุงวอชิงตัน ที่เขาเห็นว่าอยู่ในระดับที่เกินการควบคุมไปมาก

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุสาธารณะแห่งชาติ (National Public Radio) ว่า ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางลงพื้นที่มากถึง 450 นาย ในคืนวันเสาร์

เหตุผลเบื้องหลังการผลักดัน คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากอดีตพนักงานวัย 19 ปีของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ถูกทำร้ายร่างกายจากความพยายามในการขโมยรถในกรุงวอชิงตัน โดยทรัมป์ได้ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมโพสต์รูปเหยื่อที่เปื้อนเลือด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อปัญหาคนไร้บ้านในกรุงวอชิงตัน ก่อนหน้านี้เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเมืองหลวง

อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้ คนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และอาจนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การผลักดันให้คนเหล่านี้ไปอยู่ในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงความช่วยเหลือ

นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน หากเพียงแค่ย้ายคนไร้บ้านออกจากเมืองหลวง ปัญหาที่แท้จริงก็จะยังคงอยู่ การแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน และหาทางช่วยเหลือพวกเขาให้สามารถกลับมายืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน

ปัญหาคนไร้บ้านเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และการลงมือทำอย่างจริงจัง

ที่มา – ทรัมป์ประกาศกร้าวคนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ยกระดับปราบปรามอาชญากรรม

นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง

ผลสำรวจชี้นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง

ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป (Bank of America Corp – BofA) เปิดเผยผลสำรวจรายเดือนที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-7 ส.ค. 2568 โดยสอบถามผู้จัดการกองทุน 169 ราย ซึ่งบริหารสินทรัพย์รวม 4.13 แสนล้านดอลลาร์ พบว่า ประมาณ 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า หุ้นสหรัฐฯ มีราคาสูงเกินจริง ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดในประวัติการณ์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2544

แม้ว่าการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2568 แต่ยังคงมีผู้จัดการกองทุน 16% ที่ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ

ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีจำนวนมากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ไมเคิล ฮาร์ทเน็ตต์ นักกลยุทธ์ของ BofA ระบุว่า นักลงทุนมองว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง นับตั้งแต่เดือนม.ค. 2568 ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในตลาด

หุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่จากผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์และความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้คาดการณ์หลายราย เช่น ซิตี้กรุ๊ป มองในแง่บวกต่อแนวโน้มดัชนี S&P500 ในครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์บางคน เช่น ฮาร์ทเน็ตต์ เตือนว่า การปรับตัวขึ้นนี้อาจเสี่ยงกลายเป็นฟองสบู่ เนื่องจากนโยบายการเงินและกฎระเบียบทางการเงินที่อาจผ่อนคลายลง

ผลสำรวจเดือนส.ค. 2568 ยังแสดงให้เห็นว่า เงินสดคิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับสัญญาณการขายหุ้นในตลาด

นอกจากนี้ ผู้ร่วมสำรวจประมาณ 68% คาดว่า เศรษฐกิจโลกใน 12 เดือนข้างหน้าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft landing) ขณะที่ 22% เชื่อว่าจะไม่มีการชะลอตัว และเพียง 5% คาดว่าจะเกิดการชะลอตัวรุนแรง (hard landing)

ในส่วนของหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) นั้น มีผู้ร่วมสำรวจ 49% ที่มองว่า ยังมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2567

ความคาดหวังเกี่ยวกับเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดย 18% ของผู้ร่วมสำรวจคาดว่า จะเห็นตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น

สำหรับความเสี่ยงสำคัญที่ผู้จัดการกองทุนกังวล ได้แก่ สงครามการค้าที่อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (29%), เงินเฟ้อสูงที่กดดันเฟดไม่ให้ลดดอกเบี้ย (27%), การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและผิดปกติของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (20%), ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (14%) และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (6%)

สำหรับการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ร่วมสำรวจ ได้แก่ การถือหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven (45%), การขายชอร์ตดอลลาร์ (23%) และการถือครองทองคำ (12%)

ผลสำรวจชี้นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง

ผลสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนจำนวนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับ ราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง แม้ว่าความเชื่อมั่นในตลาดจะฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วก็ตาม สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ และนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

การที่นักลงทุน กังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง นั้น อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดได้ในอนาคต การติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

โดยรวมแล้ว ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่ระมัดระวังของนักลงทุนในปัจจุบัน แม้ว่าตลาดหุ้นจะดูสดใสขึ้น แต่ความกังวลเกี่ยวกับ ราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังคงมีอยู่

ที่มา – ผลสำรวจชี้นักลงทุนกังวลราคาหุ้นสหรัฐฯ สูงเกินจริง ขณะความเชื่อมั่นในตลาดฟื้นตัว

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนสองรัฐ

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐ! แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้ออกมาประกาศถึงความตั้งใจที่จะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่กำลังจะมาถึง การตัดสินใจนี้มีขึ้นตามรอยผู้นำจากฝรั่งเศส อังกฤษ และแคนาดา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐให้เป็นจริง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของออสเตรเลียเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินต่อไปในตะวันออกกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหวังและโอกาสในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน อัลบาเนซีกล่าวกับนักข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การรับรองดังกล่าวเป็นไปตามพันธกรณีที่ออสเตรเลียได้รับมาจากทางการปาเลสไตน์ ซึ่งครอบคลุมถึงการที่กลุ่มฮามาสจะไม่เข้ามามีบทบาทต่อรัฐในภายภาคหน้า

“แนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐเป็นความหวังที่ดีที่สุดของมนุษยชาติในการทลายวงจรแห่งความรุนแรงในตะวันออกกลาง และนำจุดจบมาสู่ความขัดแย้ง ความทุกข์ทรมาน และความหิวโหยในฉนวนกาซา” อัลบาเนซีกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี

ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ประกาศดังกล่าวของออสเตรเลียมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงผลักดันที่มากขึ้นสู่การแก้ไขปัญหาแบบสองรัฐในภูมิภาค เช่นเดียวกับประกาศในลักษณะเดียวกันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียหวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ หันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

อัลบาเนซีระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือและการเจรจากับคู่เจรจาจากนานาประเทศ รวมถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล การปรึกษาหารือเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

การที่ออสเตรเลีย รับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง แนวทางแก้ปัญหาสองรัฐเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค การรับรองนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียในการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในตะวันออกกลาง

การสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐของออสเตรเลียสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี รัฐบาลออสเตรเลียเชื่อว่าการสร้างรัฐปาเลสไตน์ที่สามารถอยู่ร่วมกับอิสราเอลอย่างสันติสุขเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

อนาคตของปาเลสไตน์และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่การตัดสินใจของออสเตรเลียในการ รับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความหวังและการสนับสนุนจากนานาชาติ การสนับสนุนนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่สันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคในที่สุด

ที่มา – ออสเตรเลียรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ หนุนแนวทางแก้ปัญหาสองรัฐ

อินวิเดีย-เอเอ็มดี มอบรายได้ให้สหรัฐฯ แลกส่งออก

กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการเทคโนโลยี เมื่อ อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก ข้อตกลงนี้สร้างความฮือฮาและคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของการค้าและการแข่งขันในตลาดชิปโลก

อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ให้สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก จริงหรือ?

บริษัทชิปยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อย่างอินวิเดีย (Nvidia) และเอเอ็มดี (AMD) ได้ตกลงที่จะมอบรายได้ 15% ของยอดขายชิปเซมิคอนดักเตอร์ในจีนให้กับสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการได้รับใบอนุญาตในการส่งออกไปยังจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการชิปสูง

ตามข้อตกลงนี้ อินวิเดียจะมอบรายได้ 15% จากการจำหน่ายชิป H20 ในจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะที่เอเอ็มดีจะมอบรายได้ในสัดส่วนเดียวกันจากรายได้ของชิป MI308 ข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการควบคุมและเข้าถึงส่วนแบ่งรายได้จากตลาดเทคโนโลยีในจีน

อินวิเดียได้เปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีว่า “เราปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สหรัฐฯ กำหนดไว้สำหรับการเข้าสู่ตลาดทั่วโลก แม้ว่าเราจะไม่ได้จัดส่งชิปรุ่น H20 ไปยังจีนมาหลายเดือนแล้ว แต่เราหวังว่าระเบียบการควบคุมการส่งออกจะช่วยให้อเมริกาสามารถแข่งขันในจีนและทั่วโลกได้”

นอกจากนี้ อินวิเดียยังกล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯ ทำผิดพลาดซ้ำรอย 5G และสูญเสียความเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมได้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของอเมริกาสามารถเป็นมาตรฐานของโลกได้ หากเราแข่งขันกัน” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลว่าการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เอเอ็มดีไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ในประเด็นนี้

อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก

ชาร์ลี ได รองประธานและนักวิเคราะห์หลักของฟอร์เรสเตอร์ (Forrester) บริษัทวิจัยระดับโลก กล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าว “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ซึ่งเน้นย้ำถึงต้นทุนที่สูงในการเข้าถึงตลาด ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าด้านเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้น ข้อตกลงนี้สร้างแรงกดดันทางการเงินอย่างมหาศาลและความไม่แน่นอนเชิงกลยุทธ์แก่บรรดาผู้จำหน่ายเทคโนโลยี

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามไม่ให้อินวิเดียจำหน่ายชิป H20 ให้กับจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แม้ว่าบริษัทเพิ่งประกาศว่าข้อห้ามดังกล่าวจะถูกยกเลิกก็ตาม โดยชิปประสิทธิภาพสูงเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในแอปพลิเคชัน AI ต่างๆ

ข้อตกลงที่ อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก นี้ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความผันผวนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต ผู้บริโภคและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมควรติดตามความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิด

การที่ อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของตลาดเทคโนโลยีโลก สิ่งนี้อาจนำไปสู่รูปแบบใหม่ของการแข่งขัน การกำกับดูแล และความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ในอนาคต

ที่มา – อินวิเดีย-เอเอ็มดี ตกลงมอบรายได้ 15% ของยอดขายในจีนแก่สหรัฐฯ แลกใบอนุญาตส่งออก

มือยิงสำนักงาน CDC โบ้ยวัคซีนโควิด-19 เหตุป่วย

จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สำนักงาน CDC ในสหรัฐอเมริกา มีรายงานว่ามือปืนผู้ก่อเหตุได้กล่าวโทษวัคซีนโควิด-19 เป็นเหตุให้ป่วยและซึมเศร้า ทำให้เกิดข้อสงสัยและประเด็นถกเถียงมากมายเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนกับการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพจิตและร่างกายของผู้รับวัคซีน

เจ้าหน้าที่และแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า แพตทริก ไวต์ วัย 30 ปี ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เชื่อว่าวัคซีนโควิด-19 เป็นเหตุให้ป่วยและซึมเศร้า โดยในขณะที่เขากำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพต่างๆ เขาก็เริ่มปักใจเชื่อว่าวัคซีนคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด

เพื่อนบ้านของไวต์ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า ไวต์มักบ่นอยู่เสมอว่าหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 เขามีน้ำหนักลดลงอย่างมาก มีปัญหาในการกลืนอาหาร และระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ

มือยิงสำนักงาน CDC โบ้ยวัคซีนโควิด-19 เป็นเหตุให้ป่วยและซึมเศร้า

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อได้ออกมาให้ข้อมูลเพื่อคลายความกังวล โดยยืนยันว่าวัคซีน mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 นั้น ได้รับการศึกษาและวิจัยมานานหลายทศวรรษแล้ว และวัคซีนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19

ข้อมูลจาก CDC เองก็ระบุว่า ถึงแม้วัคซีนโควิด-19 จะตกเป็นประเด็นทางการเมืองและถูกบิดเบือนข้อมูลอย่างมากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค นอกจากนี้ อาการไม่พึงประสงค์ระยะยาวจากวัคซีนโควิด-19 นั้นพบได้น้อยมาก

เหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา สร้างความเสียใจและความสะเทือนใจให้กับผู้คนในวงกว้าง

ทาง CDC ได้สั่งการให้พนักงานขององค์กรทั่วประเทศทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ในวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม เพื่อความปลอดภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัฐจอร์เจียกำลังเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

การกล่าวโทษวัคซีนโควิด-19 เป็นเหตุให้ป่วยและซึมเศร้า: มุมมองที่ต้องพิจารณา

แม้ว่าจะมีผู้ที่ออกมากล่าวอ้างว่าวัคซีนโควิด-19 เป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่างๆ แต่ก็ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นเพียงพอที่จะยืนยันความเชื่อมโยงดังกล่าวได้ ปัญหาสุขภาพจิตและร่างกายอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยที่ซับซ้อนหลายประการ และการด่วนสรุปว่าวัคซีนเป็นสาเหตุเพียงอย่างเดียวนั้น อาจเป็นการมองข้ามปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไป

การรับฟังข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองและตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสม การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการยืนยัน อาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและความเข้าใจผิดในสังคมได้

ดังนั้น การเสพข่าวอย่างมีวิจารณญาณ การพิจารณาข้อมูลจากหลายแหล่ง และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจสถานการณ์และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล อย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน และให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรอบด้าน

ที่มา – มือยิงสำนักงาน CDC สหรัฐฯ โบ้ยวัคซีนโควิด-19 เป็นเหตุให้ป่วยและซึมเศร้า

อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา: จริงหรือ?

กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่า สามารถสังหารนักข่าวจากอัลจาซีรา ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้นำกลุ่มย่อยของกลุ่มฮามาสได้

ประเด็นเรื่อง อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงกว้าง โดยกองทัพอิสราเอลได้ออกมาแถลงการณ์ว่า อานัส อัล ชารีฟ วัย 28 ปี ซึ่งถูกสังหารระหว่างการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา แท้จริงแล้วคือผู้นำกลุ่มย่อยของกลุ่มฮามาส และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยจรวดที่มุ่งเป้าไปยังพลเรือนและกองกำลังของอิสราเอล ข้อมูลนี้มาจากการอ้างอิงข่าวกรองและหลักฐานที่พบในพื้นที่กาซา

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเสรีภาพสื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเตือนว่า ชีวิตของ อัล ชารีฟ ตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากการรายงานข่าวที่เกี่ยวกับสถานการณ์สงครามในฉนวนกาซา ไอรีน ข่าน ผู้รายงานพิเศษของ UN ได้กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ข้อกล่าวหาของอิสราเอลที่มีต่อเขานั้นไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของการกระทำที่นำไปสู่การ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา

แหล่งข่าวจากกาซาและสำนักข่าวอัลจาซีราได้ยืนยันว่า อัล ชารีฟ เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมข่าวอัลจาซีราจำนวน 4 คน และผู้ช่วยอีก 1 คน ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์โจมตีทางอากาศที่เกิดขึ้นใกล้กับโรงพยาบาลชีฟาในเมืองกาซาซิตี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตอีก 2 รายจากเหตุการณ์เดียวกัน

กลุ่มนักข่าวและสำนักข่าวอัลจาซีราได้ออกมาประณามเหตุการณ์ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา ในครั้งนี้ว่าเป็น “การสังหารหมู่” นอกจาก อัล ชารีฟ แล้ว ยังมีนักข่าวคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ โมฮัมเหม็ด เกรย์เกห์, อิบราฮิม ซาเฮอร์ และโมฮัมเหม็ด นูฟาล เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่นักข่าวต้องเผชิญในการทำหน้าที่รายงานข่าวในพื้นที่สงคราม

อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ประชาคมโลกหันมาให้ความสนใจกับความปลอดภัยของนักข่าวในพื้นที่ขัดแย้งมากยิ่งขึ้น การที่ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา จุดประกายให้เกิดการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิตและสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองนักข่าวในพื้นที่สงคราม ว่ามีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากพอหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดใจเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต การที่นักข่าวถูกมองว่าเป็นเป้าหมายในการโจมตี ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและขัดต่อหลักการเสรีภาพสื่อ

โดยรวมแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการ อิสราเอลสังหารนักข่าวอัลจาซีรา ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจและควรได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าความเป็นธรรมจะได้รับการนำมาซึ่งทั้งผู้เสียชีวิตและครอบครัวของพวกเขา และเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ความปลอดภัยของนักข่าวในการทำหน้าที่รายงานข่าวในพื้นที่ขัดแย้ง ควรเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการคุ้มครองอย่างแท้จริง

ข้อเท็จจริงที่ว่านักข่าวต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อรายงานข่าวสารสู่สายตาประชาชนทั่วโลกนั้น เป็นสิ่งที่เตือนใจให้เราตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อ และความจำเป็นที่จะต้องปกป้องสิทธิของนักข่าวในการทำหน้าที่ของตนโดยปราศจากความกลัวและการคุกคาม

ที่มา – อิสราเอลสังหารนักข่าวจากอัลจาซีรา-ชี้เป็นผู้นำกลุ่มย่อยฮามาส

ตุรกีระทึก! แผ่นดินไหว 6.1 เขย่าบาลิเกซีร์ ดับ 1

อาลี เยอร์ลิกายา กระทรวงมหาดไทยตุรกี ประกาศว่า มีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บ 29 ราย จากแผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี ในวันอาทิตย์ (10 ส.ค.)

สถานการณ์แผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี ส่งผลกระทบต่อประชาชนและอาคารบ้านเรือนเป็นอย่างมาก อาลี เยอร์ลิกายายืนยันในการแถลงข่าวว่า ผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุวัย 81 ปี และเสริมว่า ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือได้สิ้นสุดลงแล้ว

เยอร์ลิกายายังเผยอีกว่า มีอาคารพังถล่มรวมทั้งสิ้น 16 หลัง ในพื้นที่ชนบทขตจังหวัด โดยอาคาร 12 หลังเป็นอาคารร้าง เหตุการณ์แผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี ครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 19:53 น. ตามเวลาท้องถิ่น สร้างความตื่นตระหนกอย่างกว้างขวางทั่วภูมิภาค ประชาชนรวมตัวกันในพื้นที่โล่งแจ้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้เรียกร้องให้ประชาชนอยู่ห่างจากอาคารที่ได้รับความเสียหาย

ผลกระทบและความเสียหายจากแผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี

ผลกระทบจากแผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสูญเสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและจิตใจของผู้คนในพื้นที่อีกด้วย อาคารที่พังถล่ม 16 หลังแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของแผ่นดินไหว และความจำเป็นในการตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารในพื้นที่เสี่ยงภัย

ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นหลังแผ่นดินไหวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติและการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตนเมื่อเกิดแผ่นดินไหว การรวมตัวกันในที่โล่งแจ้งของผู้คนเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยจากสิ่งปลูกสร้างที่อาจพังทลายลงมาด้วย

ในระยะยาว การฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การเยียวยาผู้ประสบภัย การสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

  • หากอยู่ในอาคาร ให้อยู่ห่างจากหน้าต่างและประตู
  • หลบใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง
  • หากอยู่นอกอาคาร ให้อยู่ห่างจากอาคาร เสาไฟฟ้า และสายไฟ
  • ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากทางการ

เหตุการณ์แผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกี ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความไม่แน่นอนของภัยธรรมชาติ และความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ การเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการปรับปรุงมาตรการป้องกันภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มา – แผ่นดินไหว 6.1 แมกจูดเขย่า เขตบาลิเกซีร์ของตุรกีดับ 1 เจ็บ 29

ยูเครน-EU จี้! มีส่วนร่วมข้อตกลงหยุดยิง

สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกจับตามอง ล่าสุด คาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า ยูเครน-EU จี้ เรื่องนี้จะต้องมีส่วนร่วมในข้อตกลงใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการหยุดยิงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ท่ามกลางความพยายามในการเจรจาเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤตที่เกิดขึ้น

EU ย้ำชัด ยูเครนต้องมีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิง

คัลลาสกล่าวว่า “ข้อตกลงใด ๆ ก็ตามระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะต้องให้ยูเครนและ EU เข้าร่วมด้วย ในประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของยูเครนและทั้งยุโรป” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ EU ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความต้องการที่จะมีบทบาทในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาค

เธอยังเปิดเผยอีกว่า จะมีการจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ EU ออนไลน์ในวันจันทร์ (11 ส.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการขั้นถัดไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการหาทางออกร่วมกัน

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย มีกำหนดการพบปะกันในวันที่ 15 ส.ค. ที่รัฐอลาสกาของสหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับการหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นในยูเครน ซึ่งถือเป็นการเจรจาครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสองนับตั้งแต่ปี 2564 การเจรจานี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการหาทางออกให้กับความขัดแย้ง แต่ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมได้หรือไม่

ยูเครน-EU จี้ ต้องมีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิง

การที่ยูเครน-EU จี้ ให้ตัวเองมีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิงนั้น มีเหตุผลที่สมควรอยู่หลายประการ ประการแรก ยูเครนคือประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้ง ดังนั้นการตัดสินใจใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยุติสงครามจึงควรต้องได้รับความเห็นชอบจากยูเครนด้วย ประการที่สอง EU เป็นพันธมิตรที่สำคัญของยูเครน และมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใกล้ชิด การที่ EU เข้ามามีส่วนร่วมจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นเป็นไปอย่างยุติธรรมและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของยูเครน-EU จี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังรัสเซียว่า ประชาคมระหว่างประเทศกำลังจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซงหากจำเป็น ซึ่งอาจช่วยยับยั้งการกระทำที่อาจนำไปสู่การขยายตัวของความขัดแย้ง

สถานการณ์ในยูเครนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แต่ความพยายามในการเจรจาเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีนั้นเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนอย่างยิ่ง การที่ยูเครนและ EU เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การตัดสินใจของสหรัฐฯ และรัสเซียที่จะหารือกันนั้นเป็นสัญญาณที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำให้แน่ใจว่ายูเครนและ EU จะมีบทบาทสำคัญในการเจรจา การกีดกันพวกเขาออกไปอาจนำไปสู่ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ยั่งยืน ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก

ท้ายที่สุดแล้ว การแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การที่ยูเครน-EU จี้ ให้มีการรวมพวกเขาไว้ในกระบวนการเจรจาเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องและจำเป็นต่อการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค

การจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการสนับสนุนกระบวนการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายควรให้ความร่วมมือ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ายูเครนและยุโรปจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายนี้ไปได้อย่างสันติ

ที่มา – ยูเครน-EU จี้ ต้องได้มีส่วนร่วมในข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียด้วย