ข่าวต่างประเทศ

จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในการเลือกตั้ง LDP

จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้

การเมืองญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ! วันนี้ (4 ตุลาคม) พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่น เตรียมเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ และผู้ที่ได้รับเลือกนั้นมีแนวโน้มสูงที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น ทำให้ จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้ เป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง

ในการชิงชัยครั้งนี้ มีผู้สมัครทั้งหมด 5 คน แต่มี 3 คนที่ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง ได้แก่ โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขานุการคณะรัฐมนตรี, ชินจิโร โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตร และ ซานาเอะ ทาคาอิจิ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายใน แต่ละคนต่างมีจุดแข็งและนโยบายที่แตกต่างกัน ทำให้การแข่งขันครั้งนี้เข้มข้นและน่าติดตามอย่างยิ่ง

ตามรายงานจากสำนักข่าวเกียวโด การตัดสินแพ้ชนะอาจไม่ได้ข้อสรุปในรอบแรก เนื่องจากต้องมีการนับคะแนนจากทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ LDP (295 คะแนน) และสมาชิกทั่วไปที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นและจ่ายค่าสมาชิกอย่างถูกต้อง (อีก 295 คะแนน) หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง จะต้องมีการลงคะแนนรอบสองระหว่างผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสองคน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งที่ผ่านมา ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เคยตามหลังทาคาอิจิในรอบแรก แต่กลับมาพลิกสถานการณ์ชนะในรอบสองได้ แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้และผลลัพธ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ใครจะเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไป?

ซานาเอะ ทาคาอิจิ วัย 64 ปี มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น และได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประชาชน ในขณะที่ ชินจิโร โคอิซูมิ วัย 44 ปี ลูกชายของอดีตนายกรัฐมนตรี จูนิชิโร โคอิซูมิ ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ทาคาอิจิเป็นที่รู้จักจากแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่ง ส่วนโคอิซูมิอาจกลายเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่นหลังสงคราม อย่างไรก็ตาม โยชิมาสะ ฮายาชิ วัย 64 ปี ซึ่งมีแนวคิดสายกลางและมีประสบการณ์ในตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง ก็เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองและกำลังไล่ตามอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัครอีก 2 ท่าน ได้แก่ ทาคายูกิ โคบายาชิ อดีตรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ โทชิมิตสึ โมเตกิ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งสองท่านจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียวและได้รับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเช่นเดียวกับฮายาชิ ทำให้การแข่งขันครั้งนี้เต็มไปด้วยบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของญี่ปุ่นในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น การจับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่สนใจในสถานการณ์โลก

การเปลี่ยนแปลงผู้นำครั้งนี้ อาจนำมาซึ่งนโยบายใหม่ๆ และมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราด้วย ดังนั้น เราจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้ อย่างใกล้ชิด เพราะผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลต่ออนาคตของญี่ปุ่นและโลกอย่างแน่นอน!

ที่มา – จับตาผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปในศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP วันนี้

กัมพูชา: นทท.ลด ยกเว้นจีน! _นักท่องเที่ยวเข้ากัมพูชา 8 เดือนแรกลดลง 5.6%_

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้มีข่าวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชามาอัปเดตให้ฟังกันครับ สถานการณ์โดยรวมอาจจะไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ เพราะมีรายงานว่า _นักท่องเที่ยวเข้ากัมพูชา 8 เดือนแรกลดลง 5.6%_ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศกัมพูชาประมาณ 4.05 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่ที่ 4.29 ล้านคน คิดเป็นการลดลงถึง 5.6% เลยทีเดียว

นักท่องเที่ยวเข้ากัมพูชา 8 เดือนแรกลดลง 5.6%

เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่านักท่องเที่ยวชาวไทยยังคงครองแชมป์เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ากัมพูชามากที่สุด ด้วยจำนวน 962,462 คน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตัวเลขนี้ก็ยังลดลงถึง 28.2% เลยทีเดียว ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามที่ 808,471 คน ซึ่งลดลง 6.9%

แต่มีเซอร์ไพรส์! นักท่องเที่ยวจีนกลับเพิ่มขึ้น

ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง แต่มีอยู่ชาติหนึ่งที่สวนกระแส นั่นก็คือนักท่องเที่ยวชาวจีนครับ โดยมีจำนวนถึง 784,965 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 45.7% เลยทีเดียว ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมาก

อาจารย์ทอง เมงเดวิด จาก Royal University of Phnom Penh ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอาจเป็นเพราะเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ชะลอตัว และการแข่งขันที่สูงขึ้นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ตาม อาจารย์ทองก็ยังมองโลกในแง่ดี โดยเชื่อว่า สนามบินนานาชาติเตโชแห่งใหม่ จะเป็นประตูสำคัญที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ากัมพูชาได้มากขึ้น ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย การเชื่อมต่อที่ดีขึ้น และการรองรับเที่ยวบินตรงทั้งระยะใกล้และระยะไกล

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจกัมพูชา นอกเหนือไปจากการส่งออกเสื้อผ้า เกษตรกรรม การก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยว กัมพูชา ช่วงนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง เพราะนักท่องเที่ยวอาจจะไม่เยอะเท่าช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้การเดินทางและการท่องเที่ยวสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ลองศึกษาข้อมูลและวางแผนการเดินทางให้ดี รับรองว่าจะได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจแน่นอนครับ

สถานการณ์ _นักท่องเที่ยวเข้ากัมพูชา 8 เดือนแรกลดลง 5.6%_ นี้ แสดงให้เห็นถึงความผันผวนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนก็เป็นสัญญาณบวกที่น่าจับตามอง กัมพูชาจะต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน

ที่มา – นักท่องเที่ยวเข้ากัมพูชา 8 เดือนแรกลดลง 5.6% นทท.จีนสวนทาง พุ่ง 45.7%

ดัชนีราคาอาหารโลกลดลง ก.ย. จริงหรือ?

สวัสดีค่าทุกคน! วันนี้เรามาอัปเดตข่าวสารเรื่อง ดัชนีราคาอาหารโลกลดลงในเดือนก.ย. หลังราคาน้ำตาล-ผลิตภัณฑ์นมปรับตัวลง กันค่ะ ใครที่กำลังจับตาดูสถานการณ์เศรษฐกิจและราคาสินค้าอยู่ ห้ามพลาดเลยนะคะ

ดัชนีราคาอาหารโลกลดลงในเดือนก.ย. หลังราคาน้ำตาล-ผลิตภัณฑ์นมปรับตัวลง

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เค้าออกมาเปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารโลกเนี่ย ปรับตัวลดลงในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำตาลและผลิตภัณฑ์นมที่ลดลงนั่นเองค่ะ

สำหรับตัวเลข ดัชนีราคาอาหารโลกลดลงในเดือนก.ย. หลังราคาน้ำตาล-ผลิตภัณฑ์นมปรับตัวลง ของ FAO ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงรายเดือนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารที่ซื้อขายกันทั่วโลกนั้น อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 128.8 จุด ลดลงจากเดือนสิงหาคมที่อยู่ที่ 129.7 จุดค่ะ

แต่อย่าเพิ่งดีใจกันนะคะ ถึงแม้ว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ดัชนีนี้ก็ยังสูงกว่าอยู่ถึง 3.4% เลยทีเดียว

แล้วทำไมราคาน้ำตาลและผลิตภัณฑ์นมถึงลดลงล่ะ?

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมราคาน้ำตาลและผลิตภัณฑ์นมถึงลดลง สาเหตุหลักๆ มาจากปัจจัยด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้น และความต้องการบริโภคที่ลดลงในบางภูมิภาคค่ะ

นอกจากนี้ FAO ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ผลผลิตธัญพืชโลกในปี 2568 ขึ้นเป็น 2.971 พันล้านเมตริกตัน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนก่อนที่ 2.961 พันล้านตัน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับความมั่นคงทางอาหารของโลกเลยค่ะ เพราะแนวโน้มล่าสุดนี้สูงกว่าผลผลิตในปี 2567 ถึง 3.8% เลยทีเดียว ถือว่าเป็นการขยายตัวรายปีครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ปี 2556 เลยนะคะ การปรับเพิ่มครั้งนี้เป็นเพราะแนวโน้มผลผลิตข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าวที่ดีขึ้นนั่นเอง

แล้ว ดัชนีราคาอาหารโลกลดลงในเดือนก.ย. หลังราคาน้ำตาล-ผลิตภัณฑ์นมปรับตัวลง จะส่งผลกระทบต่อพวกเรายังไงบ้าง? แน่นอนว่าเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารโลกปรับตัวลดลง ก็อาจจะส่งผลให้ราคาสินค้าอาหารในประเทศของเราปรับตัวลดลงตามไปด้วย ทำให้ค่าครองชีพของเราลดลงได้บ้าง แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ค่าขนส่ง ค่าแรง และนโยบายของรัฐบาลด้วยค่ะ

ในภาพรวม ถึงแม้ว่า ดัชนีราคาอาหารโลกลดลงในเดือนก.ย. หลังราคาน้ำตาล-ผลิตภัณฑ์นมปรับตัวลง จะเป็นสัญญาณที่ดี แต่เราก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอาหารโลกนั้นมีความผันผวนอยู่เสมอ ทั้งปัจจัยด้านสภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ และสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ

ดังนั้น เราทุกคนควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง วางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้นะคะ

ที่มา – ดัชนีราคาอาหารโลกลดลงในเดือนก.ย. หลังราคาน้ำตาล-ผลิตภัณฑ์นมปรับตัวลง

EU จ่อปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซีย

สถานการณ์การคว่ำบาตรรัสเซียยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามอง ล่าสุดมีรายงานว่าสหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณามาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินของมหาเศรษฐีชาวรัสเซียเพื่อนำไปชดใช้ค่าเสียหายให้กับธนาคารต่างชาติ เรื่องนี้กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการดำเนินการ

ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) ระบุว่า EU กำลังพิจารณาที่จะปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซียที่เกี่ยวโยงกับ โอเล็ก เดริปาสกา มหาเศรษฐีชื่อดัง เพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าเสียหายให้กับธนาคารไรฟ์ไฟเซน แบงก์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Raiffeisen Bank International) ของออสเตรีย ตามคำสั่งศาลรัสเซีย เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากเป็นการดำเนินการที่สวนทางกับมาตรการคว่ำบาตรที่ EU เคยใช้กับรัสเซีย

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า ร่างมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่ของ EU มีข้อเสนอให้ปลดอายัดหุ้นในบริษัทสตราแบ็ก (Strabag) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างของออสเตรีย ที่เดริปาสกาเคยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย หุ้นส่วนนี้มีมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) การปลดอายัดดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อนำหุ้นเหล่านี้โอนให้กับธนาคารไรฟ์ไฟเซน เพื่อชดใช้ค่าปรับในจำนวนที่เท่ากัน ซึ่งเป็นผลมาจากคดีที่บริษัทราสเพเรีย (Rasperia) อดีตบริษัทของเดริปาสกา เป็นผู้ยื่นฟ้อง

EU จ่อปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซีย จริงหรือ?

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวก็เผชิญกับแรงต้านจากชาติสมาชิก EU หลายประเทศ FT รายงานว่า ชาติสมาชิกหลายประเทศไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ซึ่งมีออสเตรียเป็นผู้ริเริ่ม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยุโรปบางส่วนกังวลว่า การทำเช่นนี้อาจเป็นการยอมรับความชอบธรรมของศาลรัสเซีย ที่กำลังตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรด้วยการสั่งยึดทรัพย์สินของชาติตะวันตก นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่า การดำเนินการนี้อาจเปิดช่องให้มหาเศรษฐีคนอื่น ๆ ใช้ช่องทางเดียวกันนี้ในการฟ้องร้องเพื่อขอปลดอายัดทรัพย์สินของตนเองได้อีกด้วย

หุ้นของบริษัทสตราแบ็กถูกอายัดตามมาตรการคว่ำบาตรของ EU มาตั้งแต่ปี 2565 สืบเนื่องจากข้อกล่าวหาที่ว่าเดริปาสกาสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซีย หลังจากการบุกยูเครน การตัดสินใจที่จะปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซียในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

อนาคตของการปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซียจะเป็นอย่างไร?

ท่าทีของ EU ในเรื่องนี้ยังคงไม่แน่นอน และต้องติดตามกันต่อไปว่าชาติสมาชิกจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้หรือไม่ การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่าง EU และรัสเซีย รวมถึงต่อมาตรการคว่ำบาตรที่ EU บังคับใช้ นอกจากนี้ ยังเป็นบททดสอบความมุ่งมั่นของ EU ในการรักษากฎหมายและหลักการระหว่างประเทศอีกด้วย

ประเด็นที่น่าสนใจคือ หาก EU ตัดสินใจปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซียจริง จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรหรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อระบบกฎหมายของรัสเซียอย่างไร เรื่องนี้ยังคงเป็นคำถามที่รอคำตอบ

ที่มา – EU จ่อปลดอายัดทรัพย์สินมหาเศรษฐีรัสเซีย เพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้ Raiffeisen Bank

UK แฉ! ถูกรัสเซียรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารทุกสัปดาห์

พลตรี พอล เท็ดแมน หัวหน้ากองบัญชาการอวกาศของสหราชอาณาจักร (UK) เปิดเผยว่า กองทัพรัสเซียพยายามรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารของสหราชอาณาจักรเป็นประจำทุกสัปดาห์ และยังเฝ้าจับตาดาวเทียมของประเทศอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

“พวกเขามีอุปกรณ์บนอวกาศที่สามารถตรวจจับดาวเทียมของเราได้ และกำลังพยายามรวบรวมข้อมูลจากดาวเทียมเหล่านั้น” เท็ดแมนกล่าว

อย่างไรก็ดี เขาระบุว่า สหราชอาณาจักรมีดาวเทียมทางทหารสำหรับการสื่อสารและการสอดแนมประมาณ 6 ดวง ซึ่งทั้งหมดติดตั้งเทคโนโลยีต่อต้านการรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารไว้แล้ว

ก่อนหน้านี้ เยอรมนีก็เคยประสบเหตุการณ์ในทำนองเดียวกัน โดยบอริส พิสตอริอุส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเยอรมนี เปิดเผยเมื่อเดือน ก.ย. ว่า รัสเซียพยายามติดตามความเคลื่อนไหวของดาวเทียมอินเทลแซต (Intelsat) จำนวน 2 ดวง ซึ่งกองทัพเยอรมนีใช้งานอยู่

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาจึงได้เคลื่อนย้ายดาวเทียมในอวกาศแบบประสานงานร่วมกันเป็นครั้งแรก โดยระหว่างวันที่ 4-12 ก.ย. ดาวเทียมของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนตำแหน่งวงโคจร เพื่อเข้าไปตรวจสอบดาวเทียมของสหราชอาณาจักร และยืนยันว่าทำงานได้ตามปกติ

ภารกิจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ โอลิมปิก ดีเฟนเดอร์ (Operation Olympic Defender) ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางทหารที่มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของดาวเทียมในการป้องกันและต้านทานภัยคุกคามในอวกาศ

UK เผย รัสเซียรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารต่อเนื่อง “ทุกสัปดาห์”

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีอวกาศ การที่รัสเซียพยายามรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารของ UK บ่งบอกถึงความพยายามที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงทางทหารและข่าวกรองของชาติพันธมิตร

ผลกระทบจากการรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหาร

การรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสามารถในการสื่อสารและการสอดแนมทางทหาร หากสัญญาณถูกรบกวน การสื่อสารที่สำคัญอาจถูกขัดขวาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า นอกจากนี้ การสอดแนมผ่านดาวเทียมอาจถูกบิดเบือน ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในสถานการณ์ที่สำคัญ

นอกจากนี้ การที่รัสเซียเฝ้าจับตาและพยายามรวบรวมข้อมูลจากดาวเทียมของ UK ยังเป็นการละเมิดความปลอดภัยทางอวกาศ การกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามต่อทรัพย์สินอวกาศของ UK และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับ

การตอบสนองของ UK และสหรัฐฯ ด้วยการเคลื่อนย้ายดาวเทียมเพื่อตรวจสอบและยืนยันการทำงานเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการปกป้องทรัพย์สินอวกาศของตนเอง การประสานงานร่วมกันในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามร่วมกัน

ปฏิบัติการ โอลิมปิก ดีเฟนเดอร์ เป็นกรอบความร่วมมือที่สำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและต้านทานภัยคุกคามในอวกาศ การลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันการรบกวนสัญญาณและการพัฒนาศักยภาพในการตอบโต้ภัยคุกคามเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงทางอวกาศ

การที่เยอรมนีเคยประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงกันก็ยิ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ จะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยทางอวกาศ การแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศพันธมิตรเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน

ในอนาคต เราอาจเห็นการแข่งขันในอวกาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศทั้งในด้านการทหารและพลเรือนจะยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศต่างๆ การรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงในอวกาศจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงและ процветание ของโลก

ที่มา – UK แฉ ถูกรัสเซียรบกวนสัญญาณดาวเทียมทหารต่อเนื่อง “ทุกสัปดาห์”

ภาคบริการรัสเซียหดตัว! แรงสุดในรอบ 3 ปี

เศรษฐกิจรัสเซียกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อภาคบริการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องจักรสำคัญ กลับมาส่งสัญญาณหดตัวอย่างน่ากังวล ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี อันเป็นผลมาจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ สถานการณ์นี้สร้างความกังวลให้กับนักวิเคราะห์และผู้ประกอบการเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต

เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ได้เปิดเผยผลสำรวจที่น่าตกใจในวันนี้ (3 ตุลาคม 2568) ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี โดยเป็นการหดตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 สาเหตุหลักมาจากการที่คำสั่งซื้อใหม่ลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

ดัชนี PMI กิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการได้ลดลงอย่างน่าใจหาย สู่ระดับ 47.0 จาก 50.0 ในเดือนสิงหาคม การที่ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวที่ชัดเจน ขณะที่ดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัวของภาคบริการ สถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

การลดลงของดัชนี PMI มีสาเหตุหลักมาจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ร่วงลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 บริษัทต่างๆ รายงานว่า จำนวนลูกค้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด และกำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และความสามารถในการดำเนินธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ การจ้างงานในภาคบริการกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นผลมาจากการที่ธุรกิจต่างๆ พยายามสะสางงานที่คั่งค้าง และเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นนี้อาจช่วยบรรเทาผลกระทบจากการหดตัวของภาคบริการได้บ้าง

ในส่วนของต้นทุนการผลิต พบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในด้านซัพพลายเออร์ ค่าแรง และค่าสาธารณูปโภค แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทต่างๆ ก็พยายามปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการในอัตราที่พอเหมาะ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด แม้ว่าการปรับราคาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรก็ตาม

ดัชนี PMI รวม ซึ่งรวมทั้งภาคการผลิตและบริการ ลดลงสู่ระดับ 46.6 จาก 49.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการหดตัวของการผลิตภาคเอกชนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เศรษฐกิจรัสเซียกำลังเผชิญอยู่ ทั้งจากความต้องการที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

รายงานยังระบุอีกว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความเป็นไปได้ที่จำนวนลูกค้าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี

ผลกระทบของ ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี

การที่ ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน ตั้งแต่การลดลงของรายได้ของธุรกิจ การจ้างงานที่อาจชะลอตัว ไปจนถึงการลดลงของกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลรัสเซียอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการหดตัวของภาคบริการ มาตรการเหล่านี้อาจรวมถึงการลดภาษี การให้เงินอุดหนุนแก่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน การที่ ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจรัสเซียกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ผู้กำหนดนโยบายและนักธุรกิจจำเป็นต้องจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

สัญญาณการ ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี เป็นสิ่งที่น่ากังวล การฟื้นตัวของเศรษฐกิจรัสเซียหลังจากนี้คงต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งนโยบายของรัฐบาล สถานการณ์โลก และความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการ

ที่มา – ภาคบริการรัสเซียหดตัวแรงสุดในรอบเกือบ 3 ปี หลังคำสั่งซื้อใหม่ลดฮวบ

ยอดดับไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามพุ่ง แบงก์เตรียมช่วย

สถานการณ์ความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามยังคงน่าเป็นห่วง ยอดผู้เสียชีวิตจากยอดดับจากไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามเพิ่มเป็น 51 ราย แบงก์จ่อช่วยเหลือบริษัทถูกกระทบแล้ว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก

สำนักงานจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลเวียดนามได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดว่า พายุไต้ฝุ่นบัวลอยที่พัดกระหน่ำเวียดนามเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายพื้นที่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก นอกเหนือจากยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ยังมีผู้สูญหายอีก 14 ราย และผู้บาดเจ็บอีกกว่า 164 ราย ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุไต้ฝุ่นครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชีวิตผู้คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ถนนหนทาง โรงเรียน และสำนักงานต่างๆ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ระบบไฟฟ้าถูกตัดขาด ทำให้ประชาชนหลายหมื่นครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ บ้านเรือนกว่า 230,000 หลังได้รับความเสียหายหรือถูกน้ำท่วม พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรกว่า 89,000 เฮกตาร์ถูกทำลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ฝ่าม ตันห์ ฮา รองผู้ว่าการธนาคารกลางเวียดนาม ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณามาตรการช่วยเหลือต่างๆ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการระงับการชำระคืนเงินกู้ สำหรับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินและช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถฟื้นตัวได้โดยเร็ว

มีการประเมินความเสียหายเบื้องต้นจากพายุไต้ฝุ่นและน้ำท่วมครั้งนี้สูงถึง 15.9 ล้านล้านดอง (603 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

ยอดดับจากไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามเพิ่มเป็น 51 ราย แบงก์จ่อช่วยเหลือบริษัทถูกกระทบ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวียดนามเป็นเครื่องเตือนใจให้เราทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ การวางแผนอพยพที่รัดกุม และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง สามารถช่วยลดความเสียหายและปกป้องชีวิตผู้คนได้

มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากยอดดับจากไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามเพิ่มเป็น 51 ราย แบงก์จ่อช่วยเหลือบริษัทถูกกระทบ

  • การให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม
  • การจัดหาที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ที่บ้านเรือนถูกทำลาย
  • การให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ
  • การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหาย
  • การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ขณะนี้ หน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่างๆ ในเวียดนามกำลังเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้

ยอดดับจากไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามเพิ่มเป็น 51 ราย แบงก์จ่อช่วยเหลือบริษัทถูกกระทบ เป็นข่าวที่น่าเศร้าและแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เราหวังว่าเวียดนามจะสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ และขอส่งกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกคน

ที่มา – ยอดดับจากไต้ฝุ่นบัวลอยในเวียดนามเพิ่มเป็น 51 ราย แบงก์จ่อช่วยเหลือบริษัทถูกกระทบ

สนามบินมิวนิกเปิดแล้ว! หลังโดรนป่วนยกเลิก 17 เที่ยวบิน

สนามบินมิวนิกเปิดแล้ว! หลังโดรนป่วนยกเลิก 17 เที่ยวบิน ที่เยอรมนีได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ววันนี้ (3 ต.ค.) หลังจากต้องปิดสนามบินตลอดคืนเพราะมีผู้พบเห็นโดรนหลายครั้ง เหตุการณ์นี้ทำให้เที่ยวบินหลายสิบเที่ยวต้องถูกยกเลิกและเปลี่ยนเส้นทาง และยังสร้างความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในยุโรป

สนามบินกลับมาให้บริการได้อีกครั้งในช่วงเช้ามืดวันศุกร์ โดยเที่ยวบินแรกซึ่งมาจากกรุงเทพฯ ลงจอดเมื่อเวลาประมาณ 5:25 น. ทางสนามบินเปิดเผยว่า การสั่งระงับควบคุมจราจรทางอากาศเมื่อค่ำวันพฤหัสบดี (2 ต.ค.) ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินไป 17 เที่ยว ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารเกือบ 3,000 คน ส่วนเที่ยวบินขาเข้าอีก 15 เที่ยวก็ต้องเปลี่ยนไปลงจอดที่เมืองอื่นแทน เช่น ชตุทการ์ท นูเรมเบิร์ก และแฟรงก์เฟิร์ต

โฆษกตำรวจให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บิลด์ (Bild) ว่า มีคนเห็นโดรนหลายลำบินอยู่เหนือสนามบินในช่วงค่ำ และเสริมว่าเพราะเป็นเวลากลางคืนและมืดมาก จึงไม่สามารถระบุขนาดหรือชนิดของโดรนได้

เหตุการณ์วุ่นวายที่มิวนิกครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากกรณีคล้ายกันที่เดนมาร์กและนอร์เวย์ ซึ่งสนามบินของทั้งสองประเทศก็เพิ่งปิดชั่วคราวเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะถูกโดรนบุกรุกน่านฟ้าเช่นกัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ในการประชุมสุดยอดเมื่อวันพุธ (1 ต.ค.) บรรดาผู้นำสหภาพยุโรปได้เห็นชอบแผนเสริมความแข็งแกร่งด้านการป้องกันโดรนของกลุ่มประเทศสมาชิก

“ยุโรปต้องป้องกันตัวเองได้” เมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก กล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุม

แม้ทางการจะยังไม่ชี้ชัดว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุที่มิวนิก แต่เจ้าหน้าที่ยุโรปบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า รัสเซียอาจอยู่เบื้องหลังการก่อกวนครั้งอื่น ๆ ที่ผ่านมา

“รัสเซียพยายามทดสอบเรา และในขณะเดียวกันก็พยายามสร้างความแตกแยกและความวิตกกังวลในสังคมของเรา” เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวเมื่อวันพุธ

ขณะที่เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้กล่าวเชิงติดตลกว่าจะไม่ส่งโดรนไปบินเหนือเดนมาร์กอีก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลรัสเซียยังคงปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด

เหตุการณ์ป่วนสนามบินครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดในเมืองมิวนิกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเทศกาลเบียร์อ็อกโทเบอร์เฟสต์อันโด่งดังเพิ่งถูกสั่งปิดชั่วคราวจากการขู่วางระเบิด ประกอบกับมีการค้นพบวัตถุระเบิดในอาคารที่พักอาศัยทางตอนเหนือของเมืองด้วย

สนามบินมิวนิกเปิดแล้ว! หลังโดรนป่วนยกเลิก 17 เที่ยวบิน

ล่าสุด สนามบินมิวนิกเปิดแล้ว! หลังโดรนป่วนยกเลิก 17 เที่ยวบิน ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสารจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของสนามบินและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอื่นๆ

ผลกระทบจากเหตุการณ์ สนามบินมิวนิกเปิดแล้ว! หลังโดรนป่วนยกเลิก 17 เที่ยวบิน

เหตุการณ์ที่ สนามบินมิวนิกเปิดแล้ว! หลังโดรนป่วนยกเลิก 17 เที่ยวบิน ทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อผู้โดยสารที่ต้องเดินทางผ่านสนามบินมิวนิก เที่ยวบินถูกยกเลิกและเปลี่ยนเส้นทาง ทำให้ผู้โดยสารจำนวนมากต้องตกค้างและเสียเวลาในการเดินทาง นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของสนามบินมิวนิกอีกด้วย

เหตุการณ์โดรนรบกวนการดำเนินงานของสนามบินมิวนิกเป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจจับและสกัดกั้นโดรน รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าสนามบินและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอื่นๆ จะปลอดภัยจากภัยคุกคามจากโดรน

ที่มา – สนามบินมิวนิกกลับมาเปิดแล้ว หลังเจอโดรนป่วนจนต้องยกเลิก 17 เที่ยวบิน

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอล

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อชาวมาเลเซียหลายพันคนออกมาประท้วงด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ เร่งกดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนกาซา

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นต่อการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดการเดินทางมายังมาเลเซียในเดือนนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

กองทัพเรืออิสราเอลได้เข้าสกัดกั้นเรือหลายลำในขบวนเรือ “โกลบอล ซูมูด โฟลทิลลา” (Global Sumud Flotilla หรือ GSF) ขณะกำลังเดินทางเข้าสู่ชายฝั่งกาซาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีการควบคุมตัวผู้โดยสารทั้งหมดไปยังท่าเรือของอิสราเอล

สำนักข่าวเบอร์นามารายงานว่า กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้สหรัฐฯ กดดันอิสราเอลให้ยอมเปิดทางให้กองเรือเหล่านี้สามารถนำความช่วยเหลือไปยังชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และปล่อยตัวผู้ที่อยู่บนกองเรือดังกล่าว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุว่า ชาวมาเลเซีย 23 คนที่อยู่บนเรือเหล่านั้นถูกอิสราเอลควบคุมตัว

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเปิดเผยว่า ทางกระทรวงได้รับข้อมูลว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดบนเรือปลอดภัยและมีสุขภาพดี และจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศที่ 3 โดยรัฐบาลจะยังคงดำเนินการเพื่อปกป้องความปลอดภัยของชาวมาเลเซียในต่างประเทศต่อไป

เดิมทีนั้น แผนการของปธน.ทรัมป์ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมทั้งกลุ่มอาเซียนและมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพ แต่ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากในมาเลเซียซึ่งมีความกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับสงครามในฉนวนกาซา ต่างก็รู้สึกโกรธเคืองจากข่าวการควบคุมตัวนักกิจกรรมบนเรือบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

รายงานระบุว่า พรรคพีเอเอส (PAS) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซียกำลังวางแผนจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ หากทรัมป์เดินทางมาเยือน เพื่อประท้วงการที่สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอล ขณะที่มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกคำเชิญทรัมป์ เนื่องจากมองว่าทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

ขณะที่อิสราเอลมองว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของกองเรือดังกล่าวคือการยั่วยุ โดยกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลระบุว่า มีหลักฐานว่ากองเรือเหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มฮามาส

มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26-28 ต.ค. โดยอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุว่า ปธน.ทรัมป์ได้ยืนยันการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่านเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะเข้าร่วมการประชุมเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า หลังจากปธน.ทรัมป์เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดอาเซียน เขาจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจูในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.

ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นในตะวันออกกลาง รวมถึงความเห็นต่างและการแสดงออกทางการเมืองในระดับนานาชาติ การที่ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงจุดยืนของประชาชนชาวมาเลเซียต่อประเด็นดังกล่าว

ทำไมชาวมาเลเซียถึงประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา?

การประท้วงเกิดขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา และความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการกดดันให้อิสราเอลเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าไปถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าประเด็นความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้คนทั่วโลก รวมถึงในมาเลเซีย การที่ประชาชนออกมาแสดงออกอย่างสันติวิธีเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและเคารพ

เหตุการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้อย่างแท้จริง และเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

การที่ชาวมาเลเซียออกมาแสดงออกถึงความกังวลและความห่วงใยต่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์และความปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ท่าทีของนานาชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

ที่มา – ชาวมาเลเซียประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ จี้ทรัมป์บีบอิสราเอลเปิดทางเรือช่วยเหลือกาซา

ร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี: เหตุผลคือ?

เกิดอะไรขึ้นกับเบียร์อาซาฮีสุดฮิตในญี่ปุ่น? หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ถึงหาร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี Super Dry ซึ่งเป็นที่นิยมกันนัก นั่นก็เป็นเพราะว่าบริษัทอาซาฮี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิต ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้การผลิตและการจัดจำหน่ายหยุดชะงักไปชั่วคราว

เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง 7-Eleven, Lawson และ FamilyMart ที่เริ่มแจ้งลูกค้าว่าอาจเกิดการร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี และสินค้าอื่นๆ ของอาซาฮีได้ โดยบางสาขาของ 7-Eleven ถึงกับขึ้นป้ายประกาศงดส่งเบียร์อาซาฮีเลยทีเดียว

ทางบริษัทอาซาฮีได้ออกแถลงการณ์ว่า ต้องเลื่อนการเปิดตัวสินค้าใหม่ถึง 12 รายการ เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ล่มจากการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือ ransomware ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา และขณะนี้ได้แจ้งความกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบสวนแล้ว

ร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี

การโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าของบริษัทในเครืออาซาฮีในญี่ปุ่น ทำให้ต้องระงับการดำเนินการชั่วคราว เจ้าหน้าที่ของอาซาฮีเองก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะสามารถกู้คืนระบบให้กลับมาเป็นปกติได้เมื่อใด และในบางสาขาต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบ manual แทนระบบอัตโนมัติไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ทางอาซาฮียืนยันว่า ผลกระทบจากการโจมตีจำกัดอยู่เฉพาะการดำเนินงานในญี่ปุ่นเท่านั้น และยังไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลลูกค้ารั่วไหลออกไป

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทญี่ปุ่น รวมถึง supply chain ด้านโลจิสติกส์และดิจิทัลที่ซับซ้อน มีความเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์เพียงครั้งเดียว ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงชั้นวางสินค้าในร้านสะดวกซื้อ

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาในการกู้คืนระบบ ส่งผลให้หุ้นของอาซาฮีร่วงลงถึง 12% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาซาฮีถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ Kirin Holdings และ Suntory Beverage & Food ในตลาดญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันสูง

ผลกระทบต่อร้านอาหารและผู้บริโภคจากร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี

เชนร้านอาหารบางแห่งเปิดเผยว่า อาจต้องเปลี่ยนไปใช้เบียร์ของ Suntory, Kirin หรือแบรนด์อื่นๆ หากสินค้าคงคลังของอาซาฮีหมดลง ซึ่งแน่นอนว่าการร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์อาซาฮี จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ชื่นชอบเบียร์อาซาฮีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับใครที่กำลังมองหาเบียร์อาซาฮีในช่วงนี้ อาจจะต้องลองสอบถามกับทางร้านค้าปลีกดูก่อน หรือลองมองหาเบียร์แบรนด์อื่นๆ ที่มีรสชาติใกล้เคียงกันไปพลางๆ ก่อนก็ได้ครับ

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกองค์กรเห็นถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ที่มา – ร้านค้าปลีกญี่ปุ่นขาดแคลนเบียร์ หลัง “อาซาฮี” ถูกโจมตีทางไซเบอร์