สหรัฐฯ ระงับวีซ่ารักษาพยาบาลจากกาซา
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศระงับการออกวีซ่าสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางจากกาซาเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในสหรัฐฯ ชั่วคราว การตัดสินใจนี้มีขึ้นเพื่อตรวจสอบกระบวนการออกวีซ่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากมีการออกวีซ่าทางการแพทย์และมนุษยธรรมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางรายงานที่น่าสลดใจจากกระทรวงสาธารณสุขกาซา ซึ่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 50 รายจากการโจมตีของอิสราเอลในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และมีผู้บาดเจ็บอีก 831 ราย
นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอุบัติขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 จำนวนผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเป็น 61,776 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 154,906 ราย ตัวเลขเหล่านี้เน้นย้ำถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนและการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่จำกัดในพื้นที่
สหรัฐฯ ระงับวีซ่ารักษาพยาบาลจากกาซา กระทบเด็กป่วย
มูลนิธิช่วยเหลือเด็กปาเลสไตน์ (Palestine Children’s Relief Fund) แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของการระงับวีซ่า พวกเขาเน้นว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถของพวกเขาในการนำเด็กป่วยและบาดเจ็บสาหัสจากกาซามายังสหรัฐอเมริกาเพื่อรับการรักษาพยาบาลที่จำเป็นอย่างยิ่ง
การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ลอร่า ลูเมอร์ นักกิจกรรมฝ่ายขวาจัด ได้วิพากษ์วิจารณ์โครงการวีซ่าสำหรับชาวปาเลสไตน์บนแพลตฟอร์ม X และเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยุติโครงการดังกล่าว การเคลื่อนไหวนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับอิทธิพลของการเมืองต่อการเข้าถึงการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
มูลนิธิช่วยเหลือเด็กปาเลสไตน์เปิดเผยว่า ในปี 2567 พวกเขาได้อพยพเด็ก 169 คนจากกาซาภายใต้โครงการการรักษาในต่างประเทศ โดยส่งพวกเขาไปยังภูมิภาคต่างๆ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา เพื่อให้พวกเขาได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสม
ผลกระทบจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2566 ต่อการเข้าถึงวีซ่ารักษาพยาบาลจากกาซา
นับตั้งแต่การโจมตีของฮามาสต่ออิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 โครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ส่วนใหญ่ในกาซาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และปัจจุบันต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง สถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ทำให้การเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์เป็นเรื่องยากมากยิ่งขึ้น
กลุ่มด้านมนุษยธรรมได้กล่าวหาว่าการปิดล้อมของอิสราเอล ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้องค์กรพัฒนาเอกชนไม่สามารถส่งอาหารเข้าไปในกาซาได้อย่างเพียงพอ ข้อจำกัดเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของผู้ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา โดยเฉพาะเด็กและผู้ป่วย
แม้ว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยอมรับว่ามีสถานการณ์อดอยากเกิดขึ้นจริงในกาซา แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงให้การสนับสนุนนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู อย่างแข็งขัน การสนับสนุนนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสอดคล้องของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ กับความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขวิกฤตด้านมนุษยธรรม
การระงับการออกวีซ่ารักษาพยาบาลจากกาซาเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตัดโอกาสของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างมาก โดยเฉพาะเด็ก การตรวจสอบกระบวนการออกวีซ่าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็นเร่งด่วน
สถานการณ์ในกาซายังคงน่าเป็นห่วง และการแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรมควบคู่ไปกับการแสวงหาแนวทางแก้ไขทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การที่สหรัฐฯ ระงับการออกวีซ่ารักษาพยาบาลจากกาซา ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ในการบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง และแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศที่มีผลต่อชีวิตของผู้คน
การตัดสินใจระงับวีซ่ารักษาพยาบาลจากกาซานี้ ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน และแสวงหาแนวทางแก้ไขที่สมดุลซึ่งทั้งตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการวีซ่า และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็น
ที่มา – กระทรวงตปท.สหรัฐหยุดออกวีซ่าสำหรับการเดินทางเข้ารับการรักษาพยาบาลจากกาซา