ศาลฯ ไฟเขียว ทรัมป์กวาดล้างผู้อพยพ
ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ไฟเขียวรัฐบาลทรัมป์ เดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพ! คำตัดสินล่าสุดนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อชุมชนผู้อพยพในอเมริกา ติดตามรายละเอียดได้ที่นี่
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินครั้งสำคัญที่เปิดทางให้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถกลับมาใช้ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นผู้อพยพในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ได้อีกครั้ง โดยอาศัยข้อสังเกตจากเชื้อชาติหรือภาษาเป็นหลัก คำตัดสินนี้สร้างความกังวลและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
คำตัดสินนี้ส่งผลให้หน่วยลาดตระเวนของรัฐบาลสามารถกลับมาปฏิบัติการได้ทันที โดยได้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่เคยสั่งระงับปฏิบัติการดังกล่าวไว้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในหมู่ผู้อพยพและกลุ่มสนับสนุนสิทธิมนุษยชน
ผู้พิพากษาโซเนีย โซโตมายอร์ สมาชิกเชื้อสายฮิสแปนิกคนแรกของศาลสูงสุด ได้แสดงความเห็นอย่างรุนแรงว่า คำตัดสินนี้ “แทบจะประกาศอยู่แล้วว่าชาวลาติโนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือไม่ ที่ทำงานค่าแรงต่ำ จะเป็นเป้าหมายที่สามารถถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ” และตนไม่อาจ “ยืนดูอยู่เฉย ๆ ในขณะที่เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของเรากำลังสูญสิ้นไป”
ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ไฟเขียวรัฐบาลทรัมป์ เดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพ
เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวประณามว่า “เสียงข้างมากในศาลสูงสุดที่ทรัมป์เลือกมากับมือ เพิ่งจะกลายมาเป็นผู้นำขบวนแห่งความน่าสะพรึงกลัวทางเชื้อชาติในลอสแอนเจลิส” โดยพาดพิงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งผู้พิพากษาถึง 3 คนในคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดชุดปัจจุบันที่มีทั้งหมด 9 คน
นิวซัมย้ำว่า “นี่ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการพุ่งเป้าไปที่ชาวลาติโนและใครก็ตามที่หน้าตาหรือสำเนียงไม่เหมือน ‘คนอเมริกัน’ ในอุดมคติของสตีเฟน มิลเลอร์ (ที่ปรึกษาของทรัมป์)” ทัศนคติเช่นนี้สร้างความแตกแยกและส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวม
ในทางกลับกัน แพม บอนดี รัฐมนตรียุติธรรมที่ทรัมป์แต่งตั้ง ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดี โดยระบุว่านี่คือ “ชัยชนะครั้งใหญ่” ที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้โดยไม่ต้องถูก “ฝ่ายตุลาการเข้ามาจัดการในรายละเอียดปลีกย่อย” แต่การมองข้ามหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อแลกกับประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายนั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือไม่?
ขณะที่ผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยม เบรตต์ คาวานอห์ ซึ่งเห็นด้วยกับคำตัดสิน กล่าวเสริมว่า แม้ “ชาติพันธุ์เพียงอย่างเดียวไม่ถือเป็นเหตุอันควรสงสัย” แต่ก็สามารถใช้เป็น “ปัจจัยประกอบ” ร่วมกับข้อสังเกตอื่น ๆ ได้ และหากพบว่าบุคคลนั้นเป็นพลเมืองหรือพำนักอย่างถูกกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็จะปล่อยตัวไปทันที อย่างไรก็ตาม การใช้ชาติพันธุ์เป็นปัจจัยในการพิจารณาใดๆ ย่อมก่อให้เกิดความกังวลถึงการเลือกปฏิบัติ
ผลกระทบจากการ ไฟเขียวให้ ทรัมป์กวาดล้างผู้อพยพ
นโยบายตรวจคนเข้าเมืองอันแข็งกร้าวของทรัมป์ ซึ่งมีสตีเฟน มิลเลอร์ เป็นผู้วางแผนหลัก ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วชุมชนผู้อพยพ และนำไปสู่การประท้วงใหญ่ในลอสแอนเจลิส จนรัฐบาลต้องส่งทหารเข้าควบคุมสถานการณ์เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจและความกังวลของประชาชนต่อแนวทางที่รัฐบาลใช้
คดีนี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่กลุ่มชาวลาติโน ซึ่งบางคนเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาล โดยระบุว่าพวกเขาถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางเข้าหาและบังคับให้ตอบคำถามเพียงเพราะลักษณะภายนอก ทนายความของกลุ่มผู้ฟ้องยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อสู้กับ “แผนการเนรเทศที่เหยียดเชื้อชาติ” นี้ต่อไป การต่อสู้ทางกฎหมายนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการท้าทายความชอบธรรมของนโยบายดังกล่าว
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติหรือสถานะทางกฎหมายเป็นอย่างไร การ ไฟเขียวให้ ทรัมป์กวาดล้างผู้อพยพ อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสังคมและความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
การตัดสินใจของศาลสูงสุดครั้งนี้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติและสิทธิส่วนบุคคล เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบระยะยาวของนโยบายเหล่านี้ต่อสังคมอเมริกันและภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาของนานาชาติ
ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ไฟเขียวรัฐบาลทรัมป์ เดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพ เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน ซึ่งต้องการความเข้าใจและความเอาใจใส่จากทุกฝ่าย การมองข้ามความสำคัญของสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันอาจนำไปสู่ผลเสียที่ไม่อาจแก้ไขได้
ที่มา – ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ไฟเขียวรัฐบาลทรัมป์ เดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพ